2 ตอน คำขอเป็นเพื่อนที่รอการตอบรับ
โดย Aki_Kaze
เจเจนั่งรถบัสมาลงที่ท่าในเซ็นเตอร์ ตกเย็นแบบนี้ก็เริ่มเห็นผู้คนมากขึ้นผิดกับยามเช้า หญิงสาวแวะซื้ออาหารสำเร็จรูปจากซูเปอร์มาร์เก็ต ก่อนจะเดินกลับแฟลตที่อยู่ห่างไปแค่ห้านาที
“อ้าว ว่าไง แพร์” เธอทักสาวไทยที่เป็นนักศึกษาปีสามที่อาศัยอยู่ในแฟลตเดียวกัน ตรงหน้าทางเข้าที่พัก
“หวัดดี เจสซี่”
“มีรายงานต้องส่งเหรอ” เจเจถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายอุ้มหนังสือเล่มหนาสามเล่มในมือ
“ใช่ค่ะ ทั้งงานเดี่ยว งานกลุ่มเยอะไปหมด ขอบคุณค่ะ” แพร์ผงกศีรษะเมื่อเจเจเปิดประตูทางเข้าให้
“โอ๊ะ ลิปสติกสีใหม่หรือเปล่า สวยจัง ยี่ห้ออะไรเหรอ”
“แบรนด์เกาหลีน่ะ” อีกฝ่ายมีท่าทางเก้อเขินเล็กน้อย
“จากร้านที่เคยให้เว็บไซต์มาใช่ไหม ฉันอยากสั่งบ้าง แต่พอเห็นแล้วมันก็เยอะจนเลือกไม่ถูก แถมค่าส่งก็ใช่ย่อยเลย”
“ไว้คราวหลังถ้าฉันสั่งจะส่งข้อความบอกนะ เผื่อสั่งพร้อมกัน” แพร์เสนอ
“ดีเลย ขอบคุณมาก ไว้เจอกันนะ” เจเจกล่าวลาเมื่อเดินขึ้นบันไดมาถึงห้องของตัวเอง อีกฝ่ายส่งยิ้มให้แล้วเดินขึ้นบันไดต่อ
หญิงสาวเปิดประตูเข้าห้อง เปิดไฟ แล้วแขวนเสื้อโค้ตกับที่แขวนใกล้ทางเข้า ก่อนนำกระเป๋าไปวางไว้บนโซฟาแล้วเข้าครัวไปอุ่นอาหาร ระหว่างรอเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มีสิ่งหนึ่งที่เธอต้องทำเป็นประจำทันทีที่กลับถึงบ้าน นั่นคือการโทรศัพท์บอกแม่ หากวันไหนเข้าเวรบ่ายเธอจะส่งข้อความแทน
อีกฝ่ายคงรออยู่แล้วถึงได้รับสายรวดเร็วแบบนี้
“ถึงบ้านแล้วนะคะ แม่”
“วันนี้เป็นไงบ้างจ๊ะ ลูก” วิเวียนถามกลับ
“ก็เหมือนเดิม วันนี้มีตรวจรถ ตรวจบ้าน” พอนึกถึงบ้านหลังนั้น หญิงสาวก็ใจเต้นตึกตักขึ้นมา แต่เธอรีบสลัดความรู้สึกนั้นทิ้ง “จริงสิ แม่ ตอนนี้ต้องระวังให้มากขึ้นแล้วนะคะ ล่าสุดมีคนร้ายบุกเข้าบ้าน แต่ไม่ได้ขโมยของมีค่าออกไปนะ เหมือนจะไปนอนบนที่นอนแหละ น่ากลัวมากแม่”
“ตายแล้ว ลูกต่างหากที่ต้องระวัง อยู่คนเดียวด้วย”
“ที่นี่มีกล้องวงจรปิดนะแม่ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“กล้องวงจรปิดมันกันได้จริงที่ไหนล่ะ ถ้าคนร้ายมันจะบุกรุก มันก็หาวิธีได้” เธอแย้ง อาจเพราะเคยได้ยินเรื่องเล่าหลายอย่างมาจากพ่อของเจเจ
“จริงสิ พ่อโทรหายังคะ”
“ยังเลย สงสัยงานจะยุ่ง คงมีเรื่องปวดหัวทุกวัน”
เจเจยิ้มแห้ง พ่อของเธอเป็นสารวัตรสืบสวนอยู่ที่สำนักงานตำรวจนครบาลกรุงลอนดอน สืบสวนสอบสวนคดีอุกฉกรรจ์มานักต่อนัก ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุน่าสยดสยองนับไม่ถ้วน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อยากให้ลูกสาวของตัวเองดำเนินรอยตามตน
แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วทั้งคู่จะทำงานในสายเดียวกัน
“นี่ เจสซี่ ไม่ต้องคิดเรื่องกลับมาอยู่กับแม่เลยนะ” คงเห็นเธอเงียบไปนาน วิเวียนถึงได้พูดแบบนั้น
“แต่แม่ต้องอยู่บ้านคนเดียวนี่คะ แม่น่าจะย้ายไปอยู่กับพ่อด้วยเลย”
“ไม่เอาหรอก บ้านหลังนี้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันมานาน เป็นบ้านหลังแรกของพวกเรา แม่ไม่ย้ายหรอก อีกอย่างนะ ไปอยู่ลอนดอน เดี๋ยวจะเกะกะการทำงานของพ่อเปล่า ๆ ยิ่งขี้เป็นห่วงด้วย แม่ไม่อยากฟังเขาบ่น”
เจเจหัวเราะลั่น พวกเขาพูดคุยเรื่องทั่วไปต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะวางสายไป หญิงสาวมองจอสมาร์ทโฟนแล้วกดเข้าแอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ เธอไล่ดูการแจ้งเตือนใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามชั่วโมงที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่พบการแจ้งเตือนที่ตัวเองต้องการ
“อาจจะนอนอยู่ก็ได้” เจเจพูดขึ้น “ใช่ ต้องนอนอยู่แหละ เลยยังไม่เห็น เขาบอกว่ายังไม่ได้นอนนี่นะ”
หญิงสาวปลอบใจตัวเองแล้วลุกไปหยิบอาหารออกจากไมโครเวฟ แต่ก็พบว่ามันเย็นไปเรียบร้อยแล้ว จึงต้องอุ่นใหม่อีกรอบ
หลังมื้อเย็น เจเจนอนบนเตียงโดยมีละครจากคอมพิวเตอร์เปิดทิ้งไว้ ส่วนสายตายังคงจับจ้องไปยังหน้าโปรไฟล์ของสก็อตบนสมาร์ทโฟนในมือ
“หรือเขาไม่รับคนแปลกหน้านะ แต่เคยเจอหน้าแล้วก็ไม่ถือเป็นคนแปลกหน้าสิ”
คราวนี้หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง
“ฉันไม่น่าส่งคำขอเป็นเพื่อนไปเลย คิดอะไรอยู่เนี่ย” เธอก้มหน้าก้มตา กุมศีรษะตัวเอง “เขาต้องกลัวฉันไปแล้วแน่ ๆ เลย เพิ่งเจอกันวันแรกดันตามเจอโซเชียลมีเดียแล้ว คิดดูสิ เป็นเรา เราก็กลัวใช่ไหมล่ะ เจเจ เธอบ้าไปแล้ว”
เจเจทิ้งตัวลงนอนไปอีกครั้ง รู้สึกถึงเส้นเลือดเต้นตุบตับข้างขมับ นี่เป็นเรื่องชวนปวดหัวยิ่งกว่าการพยายามหาหลักฐานในที่เกิดเหตุเสียอีก
“ยกเลิกคำขอเป็นเพื่อนดีไหมนะ” เธอเข้าหน้าคำขอเป็นเพื่อนที่ส่งไป นิ้วโป้งเลื่อนไปมาเหนือหน้าจอ ก่อนจะวางมือถือลงข้างตัว “ไม่ ไม่ เขาคงเพลียเลยหลับยาว อาจจะไม่ใช่คนติดโซเชียลก็ได้ ถ้าเขาอยากรู้จักเรา เดี๋ยวเขาก็รับเป็นเพื่อนเอง ใช่ เป็นเพื่อน แค่อยากเป็นเพื่อนด้วยเอง”
หลังจากสะกดจิตตัวเองได้แล้ว เจเจก็หันกลับไปสนใจละครต่อ เธอต้องย้อนกลับไปเล็กน้อยเพราะก่อนหน้านั้นดูไม่รู้เรื่อง ราว ๆ สี่ทุ่ม หญิงสาวก็เข้านอน
ตอนที่สก็อตรู้สึกตัวตื่น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเวลากี่โมง ของวันไหน แล้วเขาต้องเข้ากะเช้า บ่าย หรือดึก ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์จากชั้นวางของข้างเตียงมาดูเวลา
“สองทุ่ม” เขาพึมพำ มันยังเป็นวันเดียวกันกับที่เขาเข้านอนไป ชายหนุ่มขยี้ตาด้วยความงัวเงีย แล้วเดินลงไปด้านล่าง
พอผ่านห้องนั่งเล่นก็เห็นรถตำรวจตรวจตราแล่นผ่านไป สก็อตได้แต่หวังว่าพอตำรวจเข้มงวดมากขึ้นคนร้ายก็จะไม่กลับมาอีก
เสียงท้องร้องเรียกความสนใจของเขาไปจากหน้าต่าง ในตู้เย็นมีอาหารแช่แข็งหลายประเภทที่ซื้อตุนไว้เกือบทั้งสัปดาห์ สก็อตเลือกเนื้อสเต็กหมักสำเร็จรูปเป็นมื้อเย็น ระหว่างกินอาหารเขาก็นั่งดูละครย้อนหลังผ่านสมาร์ทโฟนไปด้วย เพื่อไม่ให้บ้านเงียบจนเกินไป
เดิมทีเขาไม่คิดจะเช่าบ้านหลัง เพราะมันหมายถึงการอยู่ร่วมกันกับคนอื่น หรือต้องหาคนอื่นมาช่วยหารค่าเช่า เขามองหาห้องในอพาร์ตเมนต์ใกล้เซ็นเตอร์ แต่น้องสาวก็ถามขึ้นมาว่าถ้าเธอจะมาเยี่ยม จะไปอยู่ยังไง สุดท้ายเขาเลยได้บ้านหลังนี้มา โดยน้องสาวยืนยันว่าจะจ่ายค่าเช่าในเดือนที่เธอมาอยู่ด้วย
สำหรับเขาแล้วมันก็ไม่เลวร้ายอะไรนักกับการมีบ้านเช่าเป็นของตัวเอง ไม่ต้องวุ่นวายกับใคร ไม่ต้องลุ้นว่าเปิดตู้เย็นมาแล้วของในตู้จะยังอยู่ไหม ไม่ต้องรอเพื่อนร่วมบ้านนำผ้าออกจากเครื่องซักผ้า เขาอยู่หอในมหาวิทยาลัยมาก่อน และมันไม่ใช่ความทรงจำที่ดีเท่าไรนัก
หลังดูละครจบและเก็บล้างทำความสะอาดเครื่องใช้ในครัวเรียบร้อยแล้ว สก็อตก็กลับขึ้นห้องนอนไปเปิดเกมเล่น เขาเจอเพื่อนทางออนไลน์ที่กำลังเล่นเกมเดียวกันพอดิบพอดี
“สก็อตตี้~~” เสียงของเจเรมี่ดังเข้าหูฟัง ระหว่างที่พวกเขาเล่นเกมด้วยกัน
เขาเป็นเพื่อนออนไลน์ที่กลายมาเป็นเพื่อนในชีวิตจริง อีกฝ่ายทำงานในร้านอาหารไทยในลอนดอน ถึงจะรู้จักกันมาหลายปี แต่พวกเขาเพิ่งเคยเจอกันสามครั้ง นับตั้งแต่ปีที่แล้ว จากการไปงานที่ลอนดอนสองครั้งและที่เบอร์มิงแฮมหนึ่งครั้ง เจเรมี่อยากมาเยี่ยมเขาที่มิดเดิลสโบรห์ตั้งหลายครั้งแต่ยังไม่มีโอกาสขึ้นมาเสียที
“มีเรื่องตลกปนสยองขวัญมาเล่าให้ฟัง” หลังจากนอนหลับไปหนึ่งตื่น สก็อตก็ทำใจได้กับการที่บ้านโดนงัดแล้วมีคนมานอนบนเตียง เขาสบายใจทุกครั้งที่คุยกับเจเรมี่ เหมือนกับที่อีกฝ่ายมักเอาเรื่องราวทั้งมีสาระและไร้สาระมาเล่าให้เขาฟัง “สตรีมอยู่หรือเปล่า”
“เปล่า”
ชายหนุ่มไม่มั่นใจเลยใช้สมาร์ทโฟนเปิดเข้าแอปสตรีมเกมและพบว่าอีกฝ่ายพูดจริง
“บ้านโดนงัดว่ะ”
เจเรมี่สบถออกมา นั่นเป็นปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่ายจนกระทั่งเขาเล่าจบ
“แล้วยังนอนเตียงเดิมได้อยู่เนี่ยนะ”
“จะให้ซื้อใหม่หรือไง เอาตังมาดิ”
“ทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีสิบปอนด์” เจเรมี่แกล้งบีบเสียงให้ฟังดูน่าสงสาร
“ทางนี้ไม่มีตังจนแม้แต่โจรยังไม่เหลียวแล”
“เออว่ะ พี่ ชีวิตพี่เศร้ากว่าผมเยอะ” อีกฝ่ายหัวเราะร่วน ขัดกับประโยคเห็นอกเห็นใจที่เพิ่งพูดมาชัด ๆ “นี่พี่ เมื่อวานมีลูกค้ามาจีบอีกแล้ว”
เจเรมี่เป็นผู้ชายหน้าตาดี ตัวสูง ผมทอง ตาฟ้า พูดจาฉะฉานน่าฟัง เป็นคนที่แค่ได้เดินสวนกันก็ต้องเหลียวหลังไปมอง สก็อตเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นบ่อยมากตอนเดินกับอีกฝ่ายในงานเกม อีกฝ่ายมักมีเรื่องเล่าประเภทนี้ให้ฟังเสมอ เดี๋ยวก็มีผู้หญิงมาจีบ มีผู้ชายมาขอเบอร์โทรศัพท์ แต่ไม่เห็นว่าจะสนใจใครสักที
“แล้วนี่ยังไม่มีใครมาจีบอีกเหรอ ชีวิตพี่น่าสงสารจัง”
สก็อตอยากรู้นักว่า บรรดาคนที่มาจีบผู้ชายคนนี้ ถ้ามาได้ยินอีกฝ่ายพูดจาไม่เข้าหูอย่างนี้ ยังจะอยากจีบอีกไหม
“ที่นั่นไม่มีใครน่าสนใจ หรือวัน ๆ ทำแต่งานจนไม่สนใจใคร”
ชายหนุ่มตอบในใจว่ายังไม่สนใจใคร แต่แล้วใบหน้ายิ้มแย้มของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานคนนั้นก็แวบเข้ามาในหัว เขาอดไม่ได้ที่จะหยิบสมาร์ทโฟนจากข้างตัวขึ้นมาดู และพบว่าคำขอเป็นเพื่อนจากอีกฝ่ายเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน
“แต่พี่ก็ขี้อายนี่นา คงไม่กล้าจีบใครก่อน” เจเรมี่ยังพูดต่อ “จำตอนที่เราเจอกันได้ไหมพี่ กว่าผมจะแงะปากพี่ให้พูดได้ก็เกือบครึ่งวัน”
สก็อตย่อมจำได้แน่นอน มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ไปลอนดอน แถมยังไปงาน MCM London Comic Con ที่เขาอยากไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต ที่สำคัญคือเขาจดจำสาเหตุที่ทำให้ตัวเองคุยกับเจเรมี่ไม่หยุดได้อย่างแม่นยำ
“ใครแงะปากใคร” เขาแย้ง
“อ๋อ ไม่ใช่ผม แต่เป็นเกมต่างหาก ใครจะไปคิดว่าเดโม่เกมเด็กถือกุญแจจะทำให้พี่พล่ามไม่หยุดได้ แถมยังลากผมไปต่อแถวเป็นชั่วโมง ๆ อีกแหนะ”
“เกมในตำนานเชียวนะ”
จู่ ๆ พวกเขาต่างก็เงียบกันไปทั้งคู่ ไม่ใช่เพราะไม่มีเรื่องคุย แต่เป็นเพราะเกมกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลยต้องใช้สมาธิในการเล่นมากกว่าช่วงแรก ก่อนจะจบเกมไปด้วยการเป็นทีมที่ชนะ
“เฮ้ย ไฮไลท์พี่ว่ะ มาว่ะ ผู้ชายคนนี้”
สก็อตหักข้อนิ้วด้วยความเคยชิน ริมฝีปากอมยิ้มด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่พวกเขาจะเล่นเกมกันต่อ
“ถามไรหน่อยดิ”
“ว่ามา”
ชายหนุ่มลังเล
“อะไรล่ะพี่ พูดสิ” คู่สนทนาเร้า
“สมมติว่าวันนี้ได้เจอคน ๆ หนึ่ง แล้วภายในวันเดียวกันคน ๆ นั้นมาขอเป็นเพื่อนในโซเชียลมีเดีย นายจะทำไง”
“พี่ให้แอคเคาน์คน ๆ นั้นไปเหรอ”
“เปล่า”
“อีกฝ่ายหาเจอเอง”
“คงงั้น”
“โอ้โห”
เจเรมี่ร้องแค่นั้นแล้วก็เงียบไป
“แล้ว...” ชายหนุ่มถาม
“คน ๆ นั้นคงสนใจพี่มั้ง ไม่งั้นใครเขาจะมาเสียเวลานั่งหาชื่อพี่ในแอปฯ นั้นล่ะ อย่างกับแอคเคาน์พี่หาง่ายอย่างนั้น รูปตัวเองไม่ยอมใช้ อย่างสมัยผมใช้รูปไรนะ ที่แคปมาจากเกม แล้วตอนนี้ก็ขิงรูปเครื่องเล่นใหญ่ โจรนี่ตาถั่วจริง ๆ ไม่ยอมขโมยไป”
สก็อตเห็นด้วยกับประโยคสุดท้าย
“ถ้าคน ๆ นั้นรู้แค่ชื่อ แล้วยังตามมาถูกนี่ไม่ธรรมดา” เจเรมี่ทำเสียงตกใจแล้วพูดต่อ “หรือจะเป็นโจรคนนั้น เขาตามพี่เหรอ”
“ไม่ใช่ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานต่างหาก”
ชายหนุ่มรู้ตัวว่าทำพลาดก็ตอนได้ยินเสียงผิวปากมาจากคู่สนทนา
“ผมเคยได้ยินแต่พรหมลิขิตบันดาลชักพา นี่มันโจรบันดาลชักพาชัด ๆ”
“เจเรมี่”
“ครับ สก็อตตี้” อีกฝ่ายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ว่าแต่พี่ตอบรับเขาไปยัง”
“ยัง ฉันควรตอบรับเหรอ”
“เขาไม่น่าสนใจเหรอ” เจเรมี่ถามกลับ “ถ้าไม่น่าสนใจก็ปล่อยผ่านก็ได้ แต่ผมก็ว่ามันเป็นโอกาสที่ดีนะ พี่เป็นโสดมากี่ปีแล้วล่ะ อาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้”
คู่สนทนาคงเห็นว่าสก็อตเงียบไปนานแล้วพูดต่อ
“พี่กลัวว่าจะเป็นแบบเชอร์ริลน่ะเหรอ ใช่ว่าทุกคนจะเป็นแบบนั้นสักหน่อย อีกอย่างมันผ่านมาหลายปีแล้วนะ พี่ย้ายบ้านแล้วด้วย พี่คงไม่คิดว่า...”
เพียงแค่ได้ยินชื่อนั้น สก็อตก็สามารถรับรู้รสชาติของกินเนสในปาก และได้กลิ่นของลาเวนเดอร์ติดจมูก ทั้งที่ไม่มีของสองอย่างนี้อยู่ในบ้าน ทุกอณูในร่างกายของเขาตึงเครียดขึ้นมาทันที
เจเรมี่ทราบเรื่องนั้นดีเพราะเขาเคยเล่าให้ฟัง และเมื่อรวมเหตุการณ์วันนี้เข้าไปด้วยแล้ว ชายหนุ่มก็คาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้
“ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้”
“นั่นสิ เป็นไปไม่ได้หรอก” เจเรมี่ย้ำ
พวกเขาเงียบไป ต่างฝ่ายต่างก็ทบทวนคำพูดของตัวเอง สก็อตอยากเชื่อคำพูดของตัวเอง
“ว่าแต่สวยไหมพี่ ขอดูรูปหน่อย ถ้าพี่ไม่สน เผื่อผมสน” เสียงของเจเรมี่แทรกเข้าในความคิด
“หยุดพูดแล้วรีบวิ่งเข้าพอยต์ที ไม่มีใครอยู่เลย”
“อ้าว ดุซะงั้น ก็แค่หยอกเล่นเอง”
สก็อตไม่ได้ตอบอะไร เขานั่งเล่นเกมจนดึกดื่นโดยมีโทรศัพท์สีดำวางอยู่ข้างกายกับคำขอเป็นเพื่อนที่ยังไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดี