“นี่คือสมาชิกใหม่ของทีมการตลาดตั้งแต่นี้ไป แนะนำตัวสิ”

 

เดือนเมฆละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้าเพื่อมองคนแปลกหน้าผู้ที่มาในฐานะพนักงานในทีมคนใหม่ ส่วนสูงที่ดูยังไงก็มากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ดวงตาคมถูกบดบังด้วยแว่นทรงกลมที่เหมือนใส่เป็นแฟชั่นมากกว่าใส่เพื่อแก้ไขสายตา รูปร่างสมส่วนที่ผู้ชายด้วยกันดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นสายเล่นกีฬา คนตรงหน้าดูดีไม่น้อย

 

แต่ในเรื่องของฝีมือการทำงาน มันตัดสินจากภายนอกไม่ได้หรอก

 

“ชื่อกองทัพครับ อายุยี่สิบหกปี ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

 

น้ำเสียงทุ้มกล่าวเอ่ยแนะนำตัว ภาษาไทยสำเนียงแปลก ๆ นั้นทำให้เดือนเมฆถึงกับขมวดคิ้วทันที อีกฝ่ายก็ดูหน้าตาเหมือนคนไทยแท้ ทำไมถึงได้มีสำเนียงเหมือนคนต่างชาติเวลาพูดภาษาไทยเลยนะ

 

“กองทัพอยู่ที่แคนาดาตั้งแต่เด็กก็เลยพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดมากนัก ถึงจะพูดเก่งแต่สำเนียงก็จะฟังจากนิดหน่อย ช่วยแนะนำกันด้วยล่ะ”

“ครับ/ค่ะ”

 

สิ้นคำอธิบายของหัวหน้าทีมก็ทำให้ข้อสงสัยของเดือนเมฆนั้นถูกไขจนกระจ่าง เขาไม่ได้สนใจในตัวพนักงานใหม่อะไรมากมายจึงเลือกที่จะหันกลับมาสนใจงานที่อยู่เบื้องหน้าของตนเองเหมือนเดิม เขารู้สึกเหมือนเสียงรอบข้างนั้นเงียบหายไปจากโสตประสาท ก่อนจะสะดุ้งเมื่อถูกสะกิดจากด้านหลังโดยหัวหน้าทีม

 

“งั้นให้เมฆดูแลเด็กใหม่ชั่วคราวสักสามเดือนแล้วกัน”

“อะไรนะครับ!?”

 

เดือนเมฆถึงเบิกตากว้าง

 

เขามองหน้าของหัวหน้าสลับกับเด็กใหม่ที่อายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปี ส่งเสียงคัดค้านภาระหน้าที่ใหม่อยู่ในใจเป็นหมื่นล้านคำ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถบอกให้หัวหน้าฟังได้เลยสักคำ

 

ชีวิตเอ๋ยชีวิต

 

อย่าสิ้นคิดด้วยการปฏิเสธหัวหน้า

 

“สามเดือนเลยเหรอครับ”

“หรือจะหกเดือน”

“สามก็ได้ครับ”

 

เดือนเมฆทำได้เพียงกลืนคำพูดของตัวเองลงคอแล้วกัดฟันเอ่ยประโยคสุดทรมานออกมา เขาไม่ชอบการเป็นพี่เลี้ยงใคร เพราะนั่นมันหมายถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น และเวลาพักผ่อนที่น้อยลง !

 

เพราะเขาต้องคอยตรวจงานของเด็กใหม่ไงล่ะ

 

“ฝากตัวด้วยนะครับ”

 

เวลาชีวิตกำลังจะสูญหายไป

 

“…คุณเมฆ ^^”

 

เกลียดมันโว้ยย!

 

 

 

 

“สถานที่ภายในที่ควรรู้ก็มีเท่านี้แหละ ว่าง ๆ ก็เดินดูโซนอื่นเอาเองแล้วกัน”

 

เดือนเมฆเปิดปากหาวสำหรับกิจกรรมน่าเบื่อที่กินเวลาทำงานของเขาเสียเหลือเกิน แทนที่จะได้เอาเวลาไปเครียงานที่ค้างอยู่ เขากลับต้องพาเด็กใหญ่เดินดูรอบ ๆ ที่ทำงานอีก เขาเกลียดนักเกลียดหนากับการดูแลหรือแนะนำคนอื่น

 

เฮ้อ อยากลาบวชจังโว้ยยย

 

“พักกลางวันก็สิบเอ็ดโมงครึ่งถึงบ่ายโมง ข้าวที่อร่อยที่สุดคือข้าวร้านขวามือข้างตึก”

“ที่โรงอาหารไม่ดีเหรอครับ”

“แดกไม่ได้เลย”

 

สิ้นประโยคนั้นของรุ่นพี่ที่ทำงานก็สร้างเสียงหัวเราะในลำคอแก่พนักงานคนใหม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เดือนเมฆเกาแก้มตัวเองราวกับแก้เขิน ก่อนที่จะส่งเสียงในลำคอให้อีกฝ่ายหยุดหัวเราะเขาเสียที

 

“คุณอายุเท่าไหร่”

“ถามทำไม”

“ผมจะได้รู้ว่าเรียกพี่ได้หรือเปล่า”

 

เดือนเมฆฏมองหน้าของคนใจกล้าข้างกาย จู่ ๆ เขาก็รู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขานึกถึงภาพจำของแฟ้มประวัติกองทัพที่เปิดดูเมื่อเช้า เมื่อนึกถึงรายละเอียดข้างในแล้วก็ถึงกับแอบยกยิ้มที่มุมปากเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

 

“จะเรียกอะไรก็เรียกเถอะ”

“อายุเท่าผมเหรอ”

“มากกว่าแค่ปีเดียว”

“…”

“แต่จะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ ไม่ถือ”

 

กองทัพเบิกตากว้างขึ้นอย่างประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะอายุมากกว่าเขา นึกว่าอีกคนจะอายุน้อยกว่าเขาไม่ต่ำกว่าสามถึงสี่ปีด้วยซ้ำ พอได้รู้ว่าเขานั้นคิดผิดก็แปลกใจอยู่มากโข

 

“แล้วปกติ ตอนกลางวันรุ่นพี่ไปทานข้าวกับใครเหรอครับ”

“คนเดียว”

“…”

“คนอื่นกินแล้วก็คุย ผมชอบอยู่เงียบ ๆ ก็เลยกินคนเดียว”

“งั้นวันนี้ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ”

“…”

“ถือว่าเลี้ยงขอบคุณล่วงหน้าสำหรับการสอนงานผมก็ได้ครับ”

 

เดือนเมฆจ้องคนที่ความสูงมากกว่าเขาไม่กี่เซนติเมตร รอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัยทำให้เขาถึงกับรู้สึกหายใจติดขัด ความรู้สึกแปลกที่ตัวเขาเองรู้ดีว่ามันคืออะไรกำลังถาโถมเข้ามา เดือนเมฆส่งเสียงกระแอมในลำคอ พลางแสร้งหันหน้าไปทางอื่นที่ไม่ต้องเห็นหน้าอีกฝ่าย

 

ความจริงแล้วเขากลัวที่จะให้อีกคนเห็นหน้าเขาเสียมากกว่า

 

“กลางวันไม่ว่าง วันนี้ต้องแวะไปซื้อของ”

“…”

“กลางคืนแล้วกัน เจอกันที่ร้านเหล้าสองทุ่ม เดี๋ยวส่งโลเคชั่นไป”

“ร้านเหล้าเหรอครับ”

“พรุ่งนี้วันเสาร์นี่ ไม่เกี่ยงใช่เปล่า”

“ก็ได้อยู่นะครับ”

“ก็ตามนั้นแหละ”

“…”

“แยกกันไปกินข้าวนะ ตอนเย็นเจอกัน”

 

 

 

 

 

โชคดีที่วันนี้เป็นวันศุกร์ หากเป็นวันเสาร์คงยากที่จะเห็นเดือนเมฆออกไปตามนัดกับใครในตอนกลางคืน วันหยุดของเขาถูกจองด้วยเจ้าของแอคเคาท์นามว่า ‘_26xxknp’ เสมอ เสาร์อาทิตย์ของเขาหมดไปกับการอยู่กับอีกฝ่ายผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์เสมอ

 

เดือนเมฆก้มลงมองดูนาฬิกา อีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลาที่นัดไว้กับอีกฝ่ายแล้ว

 

“รุ่นพี่ครับ”

 

กองทัพในตอนนี้ช่างต่างกับกองทัพคนเมื่อเช้าอย่างสิ้นเชิงแว่นตาที่ใช้บดบังใบหน้าคม ณ บัดนี้มันได้หายไปแล้ว พอไม่มีมันบดบังใบหน้าอันหล่อเหลา เขาก็ค้นพบว่าอีกฝ่ายมีไฝอยู่ที่ข้างดวงตาขวา

 

เดือนเมฆจ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่นาน

 

นานจนคนที่โดนจ้องกำลังทำตัวไม่ถูก

 

“อะฮึ่ม! ทำไมถึงนัดมาร้านเหล้าละครับ”

“ก็แค่อยากมา”

“...”

“แต่ไม่อยากมาคนเดียว”

 

เดือนเมฆพูดออกไปตามที่ใจคิด เขามองว่ากองทัพนั้นไร้พิษภัย ถึงแม้ว่าทั้งตัวเขาและอีกคนละรู้จักกันวันนี้เป็นวันแรก แต่ต้องยอมรับเลยว่าเขารู้สึกสบายใจ

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอีกคนเป็นคนง่าย ๆ หรือว่าเขาเปิดใจให้อีกฝ่ายมากไป

 

กองทัพเป็นคนอันตรายจริง ๆ

 

“ได้เอารถมาเปล่า”

“เอามาครับ...”

“งั้นฝากพากลับบ้านด้วยแล้วกัน”

“ครับ ?”

“ผมไม่ได้เอารถมา”

 

ผมกดแชร์โลเคชั่นคอนโดของผมส่งให้อีกฝ่ายในไลน์ทั้งที่อีกคนกำลังยืนงงกับภารกิจที่ได้รับโดยไม่คาดคิด นับว่าเป็นเรื่องดีที่กองทัพยอมมากับเขาในวันนี้ มิเช่นนั้นเขาคงต้องนั่งเก็บความเครียดไว้ในใจ นั่งระบายกับเบียร์ที่ไม่อร่อยในห้องอยู่คนเดียว

 

 

 

เสียงดนตรีที่เล่นสร้างบรรยากาศให้แก่ภายในร้านตอนนี้ช่างเหมาะเจาะเสียจริง สมแล้วที่เลือกมาระบายความเจ็บปวดนอกสถานที่ วันนี้เขาตั้งใจที่จะนั่งร้องไห้เหมือนหมาให้ได้มากที่สุดเลย

 

ก็มีกองทัพพากลับบ้านนี่

 

ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว

 

“พี่ดื่มเยอะไปแล้วหรือเปล่า”

“แค่นี้มันล้างความเจ็บปวดที่มีไม่ได้หรอก”

 

เดือนเมฆยังคงปล่อยให้บรรยากาศและเสียงเพลงนำพาอารมณ์ไป เมื่อแอลกอฮอล์ในเลือดเริ่มสูงขึ้น ภาพเหกตุการณ์ในอดีตก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาดั่งสายธาร 

 

 

 

“คนอย่างมึงมีสิทธิพูดแบบนี้กับกูด้วยเหรอ!!!

เดือนเมฆมองมือตัวเองที่สั่นเทา หยาดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่มี่ท่าทีว่าจะเหือดแห้ง เขากัดริมฝีปากจนมันแดงราวกับห่อเลือด รสชาติคาวปากเป็นเครื่องบอกอย่างดีว่ามีนไม่ได้เกินจริง ความเจ็บปวดบนฝ่ามือที่เกิดจากการกำมือของเขาเองนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บในจิตใจที่เกิดขึ้นด้วยภาพที่เห็นก่อนหน้า สองร่างแสนคุ้นตาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทกำลังร่วมรักกันบนเตียงของเขาอย่างสุขสม เป็นการกระทำที่ทำลายจิตใจของคนพบเห็นอย่างเขาจนไม่เหลือชิ้นดี

 

ยังไม่รวมกับคำพูดที่เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

 

“พี่ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง”

 

เสียงของเขากำลังสั่นเทา

 

“พวกมึงเอากันในที่ของกูได้ยังไง!!

 

เหมือนโลกของเขากำลังแตกสลาย

 

โดนคนรอบกายย่ำยีอย่างไม่ปราณี

 

เดือนเมฆลุกขึ้นจากพื้นที่เย็นเฉียบ สองมือพุ่งเข้าไปกระชากเสื้อเชิ้ตของเขาที่ถูกสวมใส่โดยเพื่อนสนิทอย่างรวดเร็วตามแรงอารมณ์ จ้องเข้าไปในดวงตาที่คุ้นเคยแต่บัดนี้มันกลับผิดแปลกไป

 

นี่สินะ ความในใจของมัน

 

“มึงไม่หันกลับมามองตัวเองหน่อยเหรอวะเมฆ”

“นี่มึงจะบอกว่าการกระทำเหี้ย ๆ ของพวกมึง มันเกิดจากตัวกูเหรอ!

“เออ!!

“...”

“ถ้ามึงมันดีพอ แฟนมึงจะมาหากูเหรอ!

“หุบปาก!!

“...”

“มึงอย่าเอาตัวกูไปเป็นข้ออ้างของมึง!

 

เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำนั้นมันผิดมากเพียงใด

 

“พวกมึงสองตัว! ไม่สมควรยืนหายใจร่วมกับกูด้วยซ้ำ!

 

เขากล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์รู้สึกเจ็บมากที่สุดนั้นไม่ใช่การเจ็บปวดทางกาย

 

แต่เป็นการโดนทำร้ายจากคนที่ไว้ใจมากที่สุดต่างหากที่ทำให้เจียนตายที่สุด

 

“ไปตายกันให้หมดเลย”

 

เพล้ง!

 

 

 

 

“ถึงมันจะผ่านมาครึ่งปีแล้ว ผมก็ยังจำไม่ลืม”

 

หลังจากจบบทสนทนา เดือนเมฆก็จัดการยกเหล้าเข้ากรอกปากยกใหญ่อีกหนึ่งที เมื่อกองทัพเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเมาจนแทบจะนั่งไม่ตรงแล้วจึงตัดสินใจคว้าแก้วที่สองที่อีกคนกำลังยกขึ้นออกมา แล้วถือวิสาสะยกดื่มเองจนเดือนเมฆได้แต่นั่งมึนงง

 

“พี่ฟังผมนะ”

“...”

“ผมจะเป็นคนนึงที่พี่ไว้ใจได้แน่ ๆ”

“...”

“ผมจะไม่อยากพี่เจอเรื่องผิดหวังแบบที่พี่เคยเจอ”

“...”

“เพราะฉะนั้น...”

“...”

“หยุดคิดถึงอดีต หยุดเสียใจไปกับมัน”

“...”

“ลืมมันไปเถอะนะครับ”

 

เขาเคยพูดแล้วใช่ไหม...

 

กองทัพน่ะ...อันตราย

 

 

 


 

 

กองทัพอันตรายแค่ไหน ตอนหน้ารู้กันครับ

 

#แฟนของแอคนั้น