1 ตอน บทนำ
โดย NRI_07042538
ภายในชุมชนที่อึดอัดคับแคบ บ้านดินถูกสร้างอย่างเรียงรายเบียดเสียด บ้านบางหลังนั้นชายคาซ้อนทับกันจนไม่น่าดู แต่ที่มากกว่าความไม่น่าดูก็คือกลิ่นที่ไม่น่าพิสมัย
“แค่ก ๆ” เสียงไอแห้ง ๆ ดังออกมาจากคนบนแคร่ไม้ไผ่ผุ ๆ ไอเพราะสำลักควันจากการเผาไหม้ที่ลอดผ่านเข้ามา
“พ่อหนุ่ม ตื่นแล้วหรือ” เสียงแห้ง ๆ อ่อนโรยแรงดังขึ้นแว่ว ๆ ในหูของคนที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ผุ ๆ ทำให้เปลือกตาสีมุกขยับไปมาก่อนที่จะค่อย ๆ เปิดเปลือยขึ้นเผยให้เห็นนัยตาสีดำที่หาได้ยากยิ่ง
และมันคงจะหาได้ยากจริง ๆ เพราะเมื่อเจ้าของเสียงอ่อนโรยแรงเห็นสีดวงตาของผู้ที่เพิ่งเปิดเปลือกตาขึ้นมา มือไม้ก็อ่อนแรง ถ้วยผุ ๆ ที่อยู่ในมือถูกปล่อยกระแทกลงกับพื้น ก่อนที่เจ้าตัวจะทรุดตัวลงไปคุกเข่า โขกศีรษะอยู่กับพื้น
“ท่าน ท่านเทพ ท่านเทพ ข้า ไม่ ๆ กระ กระหม่อม…..” เสียงร้อนรนอย่างจับใจความไม่ได้ทำให้คนที่เพิ่งเปิดเปลือกตาขึ้นมานั้นสับสนมึนงงไปเลย
ดวงตาสีดำมองเพดานที่ทำจากใบไม้แห้ง ๆ อย่างไม่คุ้ยเคย ก่อนจะกลอกตาไปมาแล้วไปหยุดยังเจ้าของเสียงที่ทำให้เขาตื่นขึ้นมา
“คุณ..คุกเข่าทำไมครับ แล้วที่นี่ที่ไหน” พูดไปแล้วก็รู้สึกได้ถึงความแห้งผากในลำคอ เจ้าของเสียงจึงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง หมายจะไปดึงคนที่นั่งคุกเข่าโขกหัวอยู่ให้ลุกขึ้นมา
นี่มันสมัยไหนแล้ว ทำไมยังมีคนคุกเข่าโขกหัวอยู่อีก แล้วเจ้าตัวกำลังพูดภาษาอะไรอยู่ ทำไมเขาถึงได้ฟังแล้วไม่เข้าใจเลย
คนที่เพิ่งได้สติพึมพำเสียงแผ่ว ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
ไม่ใช่ว่าเขาใช้เทคโนโลยีของผู้เป็นปู่ พาตัวเองข้ามกาลเวลามาจากยุคของเราถึงเจ็ดร้อยปีหรอกเหรอ
นี่คือปีสามพัน!
เมื่อคิดได้อย่างนั้น เขาก็รีบจับไปที่ติ่งหูของตัวเองทันที และพบว่าต่างหูที่เขาใส่มานั้นยังคงอยู่
เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะมองไปยังนิ้วชี้ข้างขวาที่มีแหวนมรกตสวมอยู่
แต่มันไม่ใช่แค่แหวนเท่านั้น เพราะมันยังเป็นรีโมตที่สามารถสั่งการอะไรได้หลายอย่าง
อย่างเช่นสั่งให้ต่างหูที่เขาใส่อยู่นั้นเปิดการทำงานแปลภาษา
และนั่นทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่หญิงชราตรงหน้าเขาพูด
“ท่านเทพ ไว้ ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้า…..” แต่ถึงจะเข้าใจภาษาที่หญิงชราพูดแล้ว แต่เพราะเสียงสั่น ๆ น้ำเสียงร้อนรน การพูดวกไปวนมาก็ยังทำให้คนฟังยากจะเข้าใจอยู่ดี
ทว่าก็พอจะจับใจความได้บ้าง
คนเดินทางข้ามเวลามาเจ็ดร้อยปีกะพริบตาปริบ ๆ อย่างมึนงง
ท่านเทพ?
“ท่านเทพ คุณยายหมายถึงใครครับ คงไม่ใช่ผมหรอกใช่ไหม” ชายหนุ่มขยับตัวลงจากแคร่ เดินไปนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าหญิงชรา ซึ่งทางฝั่งของหญิงชรานั้น เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเดินมานั่งตรงหน้าตัวเอง ตัวก็สั่นสะท้านอย่างหนัก ทั้งยังพยายามกดตัวเองลงกับพื้น ราวกับว่าจะให้ตัวเองจมลงไปในพื้นดินให้ได้
คนที่มาจากบ้านที่ทรงอิทธิพลและอำนาจ แต่ก็ไม่เคยถูกปฏิบัติตัวราวกับว่าตัวเองนั้นสูงส่งจนต้องหมอบกราบให้แบบนี้ขมวดคิ้ว
“ลุกขึ้นมาคุยกันเถอะครับ” คุณชายสามจากบ้านฉีพูดเสียงเข้มขึ้นระดับหนึ่ง คำพูดนี้กึ่ง ๆ เป็นคำสั่ง
ฉีมู่หลินตัดสินใจใช้น้ำเสียงแบบนั้นก็เพราะเขาวิเคราะห์แล้วว่าหากเขายังพูดจาอ่อนข้ออ่อนน้อมอยู่ หญิงชราผู้นี้จะยังคงหมอบกราบอยู่แบบนี้
และเป็นจริงอย่างที่เขาคิด เพราะเมื่อเขาใช้น้ำเสียงกึ่งสั่งการแบบนี้ หญิงชราก็ค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นมา แม้ว่าจะยังนั่งคุกเข่า แต่ก็ดีกว่าหมอบกราบอย่างเมื่อครู่นี้มากนัก
เมื่อหญิงชรานั่งคุกเข่า ฉีมู่หลินก็นั่งคุกเข่าลงด้วยเหมือนกัน
“คุณยายเป็นใครครับ แล้วที่นี่ที่ไหน คุณยายเป็นคนพาผมมาที่นี่หรือครับ” ฉีมู่หลินส่งคำถามออกไปสามคำถามติด
“ท่าน ท่านเทพอย่า ได้โปรดอย่าเรียกข้า ไม่ ได้โปรดอย่าเรียกกระหม่อมฉันเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ” หญิงชราพูดเสียงร้อนรน คำพูดแทนตัวเองนั้นสับสนวุ่นวายด้วยไม่รู้ว่าควรจะแทนตัวเองอย่างไร สีหน้าซีดเผือดเต็มที่ และยิ่งเห็นฉีมู่หลินขมวดคิ้ว แววตาเธอก็ปรากฏร่องรอยของความหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม
ฉีมู่หลินหดม่านตา เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ หากว่าหญิงชรายังเป็นแบบนี้ เห็นทีว่าวันนี้คงจะคุยกันไม่รู้เรื่อง แล้วเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงชราคนนี้ถึงได้คิดว่าเขาเป็นเทพ
“ทำไมคุณยะ ทำไมคุณถึงคิดว่าผมเป็นเทพครับ” ฉีมู่หลินจะหลุดเรียกเธอว่ายาย แต่เมื่อคิดถึงปฏิกิริยาก่อนหน้านี้ของเธอ เขาก็รีบกลืนคำเรียกขานนั้นลงคอไปอย่างรวดเร็ว
หญิงชราเงียบไม่พูดตอบ เธอก้มหน้าหลบสายตา
ฉีมู่หลินปวดหัวหนัก เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ในปีสามพันนี้เลย
หากเขาตัดสินใจย้อนไปอดีต เขาคงไม่ต้องปวดหัวอยู่แบบนี้ เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์
ฉีมู่หลินลอบถอนหายใจเสียงหนัก แต่เสียงถอนหายใจของเขาทำให้หญิงชราสะดุ้งสุดตัว
ฉีมู่หลินเห็นท่าทางหวาดกลัวของเธอ เขาก็จนใจที่จะถามต่อแล้ว
คงได้แต่พึ่งตัวเอง
คุณชายสามผู้เดินทางข้ามเวลามาเจ็ดร้อยปีพึมพำกับตัวเองในใจ ก่อนที่จะใช้สายตากวาดมองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
ชายหนุ่มหดม่านตาเมื่อเห็นสภาพแวดล้อมของที่นี่
บ้านหลังนี้มีลักษณะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมใบหนึ่งสร้างจากดินเหนียว ด้านบนถูกมุงด้วยหญ้าแห้ง ข้าวของเครื่องใช้เขาเขาเห็นเพียงกะลามะพร้าวที่แตกบิ่น
ทางด้าของหญิงชรา เมื่อสัมผัสได้ว่าดวงตาคู่สีดำไม่ได้จ้องมองมาที่ตัวเอง เธอก็ค่อย ๆ เงยหน้าลอบมอง และเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของชายหนุ่ม เธอก็ก้มหน้าลงต่ำอีกครั้ง
“เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ฉีมู่หลินหมายถึงว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่บ้านหลังนี่ได้ อยู่ ๆ เขาก็โผล่ขึ้นมา หรือว่าคุณยายท่านนี้ไปเก็บเขาที่หมดสติมาจากที่ไหน
และคราวนี้เขาเลียนแบบท่าทางที่ทรงอำนาจของผู้เป็นพ่อในการถามออกไป
ช่วยไม่ได้เลย หากว่าเขาไม่ทำแบบนี้ หญิงชราผู้นี้คงจะไม่ยอมตอบเขา
และนับว่าฉีมู่หลินตัดสินใจได้ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง
“กระหม่อม กระหม่อมฉันเจอท่านหมดสติอยู่ที่ลำธารเจ้าค่ะ” หญิงชราพูดตอบเสียงสั่น ๆ แต่ว่าก็ฟังรู้เรื่องกว่าที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะเธอเห็นแล้วว่าคนที่เธอพากลับมาที่บ้านนี้ไม่มีทีท่าจะพิโรธแต่อย่างใด
“คุณก็เลยพาเรามาที่นี่น่ะหรือ” ฉีมู่หลินถามต่อ รักษาท่าทางสูงส่งเยือกเย็นที่เลียนแบบมาจากผู้เป็นพ่อเอาไว้
และเขาก็ได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง
ฉีมู่หลินมองดูร่างกายที่ผอมบางและดูอิดโรยของหญิงชรา เขาคิดไม่ออกเลยว่าด้วยรูปร่างแบบนี้ สามารถพาเขากลับมาที่นี่จะต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนกัน
“ขอบคุณ” ฉีมู่หลินพูดขอบคุณที่อีกฝ่ายพาเขากลับมาด้วย ไม่ปล่อยให้เขานอนตายอยู่ตรงนั้น
หญิงชราเมื่อได้ยินคำพูดขอบคุณของฉีมู่หลิน ดวงตาเธอก็เบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะรีบละล่ำละลักพูด
“กระ กระหม่อมฉันมิกล้า”
“พูดกับเราธรรมดาเถอะ ตอนนี้เราก็เหมือนคุณ ไม่มีอำนาจพิเศษอะไร” เพราะที่นี่ไม่มีอิทธิพลของตระกูลฉี
ฉีมู่หลินพูดความจริงทุกอย่าง แต่ความจริงของเขาทำให้คนฟังนั้นคิดไปไกล
ท่านเทพผู้นี้ต้องถูกส่งมาเยือนที่โลกมนุษย์เพื่อทำภารกิจบางอย่างอย่างที่ตำนานกล่าวขานกันไว้แน่ ๆ
หญิงชราเมื่อคิดเช่นนี้ดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความดีใจ
ฉีมู่หลินเห็นแววตาของหญิงชราไม่ได้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเมื่อครู่นี้แล้ว เขาก็แปลกใจ แต่ก็ยินดีด้วยเช่นกัน นี่หมายความว่าหญิงชราจะไม่กลัวเขาจนไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนี้ ฉีมู่หลินก็พูดถามในสิ่งที่เขาอยากรู้และควรจะรู้ออกไป
และก็ได้ความว่า เขาข้ามเวลามาอยู่ในยุคหลังภัยพิบัติสองร้อยปี หมายความว่านับจากช่วงเวลาที่เขาจากมา อีกห้าร้อยปีหลังจากนั้นจะเกิดภัยพิบัติที่กวาดล้างอารยรรมและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
ประเทศต่าง ๆ ที่เขาเคยรู้จักและเคยปรากฏอยู่บนแผนที่โลกนั้นไม่มีอยู่แล้ว และมันถูกแทนที่ด้วยสามจักรวรรดิใหญ่ อันประกอบไปด้วยและจักรวรรดิสุริยัน จักรวรรดิจันทรา และจักรวรรดิดารา
ซึ่งตอนนี้เขาอยู่ที่เมืองทิวา เมืองชายแดนในอาณาเขตของจักรวรรดิสุริยัน
นอกจากอยู่ในเมืองชายแดนแล้ว เขายังอยู่ในเขตชุมชนแออัด อันเป็นเขตของผู้อพยพด้วย
ซึ่งฉีมู่หลินไม่ได้ถามหญิงชราว่าเธออพยพมาจากที่ไหน
ย้อนกลับไปตอนที่ฉีมู่หลินเพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่
ภายในกระโจมที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างหยาบ ๆ มีชายหนุ่มรูปร่างองอาจในชุดทหารนั่งอยู่ เบื้องหน้าของเขามีแผนที่ทางการทหาร สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ก่อนจะชะงักไปเมื่อสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่หน้ากระโจม จนกระทั่งทหารคนสนิทปรากฏตัวขึ้น แววตาระแวดระวังก็ผ่อนคลายลง
“ท่านนายพล ท่านราชครูขอเข้าพบครับ” แต่คำพูดประโยคนี้ของลูกน้อง ทำให้แววตาของนายพลหนุ่มปรากฏร่องรอยของความเหนื่อยหน่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอนุญาตให้คนที่ขอเข้าพบเขาได้เข้ามา
“สายันต์สวัสท่านนายพลออสติน” ชายชราที่เดินถือไม้เท้าเข้ามานั้นพูดทักทายผู้เป็นเจ้าของกระโจม
นายพลออสติน ชาร์ล เป็นนายพลแห่งจักรวรรดิสุริยัน อายุสามสิบปี เป็นนายพลที่อายุน้อยที่สุด
“สายันต์สวัสท่านราชครู เชิญนั่ง” ออสตินลุกขึ้นยืนต้อนรับชายชราอย่างให้เกียรติ แม้ว่าเทียบกันตามตำแหน่งแล้ว ตำแหน่งของเขานั้นจะสูงกว่าตำแหน่งของราชครูก็ตาม
แต่ที่ออสตินให้เกียรติ ก็ไม่ได้ให้เกียรติเพราะว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่า แต่ให้เกียรติที่เจ้าตัวนั้นก็เพราะว่าราชครูท่านนี้เป็นคนหนึ่งที่ทำเพื่อมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง
ติดอยู่เพียงอย่างเดียว เจ้าตัวมีความเชื่อที่ออสตินไม่ใคร่จะเชื่อนัก
“ท่านนายพล ดาวมหาปราชญ์ส่องแสงแล้ว! มหาปราชญ์มาเยือนจักรววรดิแล้วเป็นแน่แท้ ท่านรีบส่งคนไปค้นหาแล้วเชิญมหาปราชญ์ท่านมาช่วยพวกเราเถิด!”
Comments (0)