ภายในชุมชนที่อึดอัดคับแคบ บ้านดินถูกสร้างอย่างเรียงรายเบียดเสียด บ้านบางหลังนั้นชายคาซ้อนทับกันจนไม่น่าดู แต่ที่มากกว่าความไม่น่าดูก็คือกลิ่นที่ไม่น่าพิสมัย

“แค่ก ๆ” เสียงไอแห้ง ๆ ดังออกมาจากคนบนแคร่ไม้ไผ่ผุ ๆ ไอเพราะสำลักควันจากการเผาไหม้ที่ลอดผ่านเข้ามา

“พ่อหนุ่ม ตื่นแล้วหรือ” เสียงแห้ง ๆ อ่อนโรยแรงดังขึ้นแว่ว ๆ ในหูของคนที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ผุ ๆ ทำให้เปลือกตาสีมุกขยับไปมาก่อนที่จะค่อย ๆ เปิดเปลือยขึ้นเผยให้เห็นนัยตาสีดำที่หาได้ยากยิ่ง

และมันคงจะหาได้ยากจริง ๆ เพราะเมื่อเจ้าของเสียงอ่อนโรยแรงเห็นสีดวงตาของผู้ที่เพิ่งเปิดเปลือกตาขึ้นมา มือไม้ก็อ่อนแรง ถ้วยผุ ๆ ที่อยู่ในมือถูกปล่อยกระแทกลงกับพื้น ก่อนที่เจ้าตัวจะทรุดตัวลงไปคุกเข่า โขกศีรษะอยู่กับพื้น

“ท่าน ท่านเทพ ท่านเทพ ข้า ไม่ ๆ กระ กระหม่อม…..” เสียงร้อนรนอย่างจับใจความไม่ได้ทำให้คนที่เพิ่งเปิดเปลือกตาขึ้นมานั้นสับสนมึนงงไปเลย

ดวงตาสีดำมองเพดานที่ทำจากใบไม้แห้ง ๆ อย่างไม่คุ้ยเคย ก่อนจะกลอกตาไปมาแล้วไปหยุดยังเจ้าของเสียงที่ทำให้เขาตื่นขึ้นมา

“คุณ..คุกเข่าทำไมครับ แล้วที่นี่ที่ไหน” พูดไปแล้วก็รู้สึกได้ถึงความแห้งผากในลำคอ เจ้าของเสียงจึงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง หมายจะไปดึงคนที่นั่งคุกเข่าโขกหัวอยู่ให้ลุกขึ้นมา

นี่มันสมัยไหนแล้ว ทำไมยังมีคนคุกเข่าโขกหัวอยู่อีก แล้วเจ้าตัวกำลังพูดภาษาอะไรอยู่ ทำไมเขาถึงได้ฟังแล้วไม่เข้าใจเลย 

คนที่เพิ่งได้สติพึมพำเสียงแผ่ว ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้

ไม่ใช่ว่าเขาใช้เทคโนโลยีของผู้เป็นปู่ พาตัวเองข้ามกาลเวลามาจากยุคของเราถึงเจ็ดร้อยปีหรอกเหรอ 

นี่คือปีสามพัน!

เมื่อคิดได้อย่างนั้น เขาก็รีบจับไปที่ติ่งหูของตัวเองทันที และพบว่าต่างหูที่เขาใส่มานั้นยังคงอยู่

เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะมองไปยังนิ้วชี้ข้างขวาที่มีแหวนมรกตสวมอยู่

แต่มันไม่ใช่แค่แหวนเท่านั้น เพราะมันยังเป็นรีโมตที่สามารถสั่งการอะไรได้หลายอย่าง

อย่างเช่นสั่งให้ต่างหูที่เขาใส่อยู่นั้นเปิดการทำงานแปลภาษา

และนั่นทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่หญิงชราตรงหน้าเขาพูด

“ท่านเทพ ไว้ ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้า…..” แต่ถึงจะเข้าใจภาษาที่หญิงชราพูดแล้ว แต่เพราะเสียงสั่น ๆ น้ำเสียงร้อนรน การพูดวกไปวนมาก็ยังทำให้คนฟังยากจะเข้าใจอยู่ดี

ทว่าก็พอจะจับใจความได้บ้าง

คนเดินทางข้ามเวลามาเจ็ดร้อยปีกะพริบตาปริบ ๆ อย่างมึนงง

ท่านเทพ?

“ท่านเทพ คุณยายหมายถึงใครครับ คงไม่ใช่ผมหรอกใช่ไหม” ชายหนุ่มขยับตัวลงจากแคร่ เดินไปนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าหญิงชรา ซึ่งทางฝั่งของหญิงชรานั้น เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเดินมานั่งตรงหน้าตัวเอง ตัวก็สั่นสะท้านอย่างหนัก ทั้งยังพยายามกดตัวเองลงกับพื้น ราวกับว่าจะให้ตัวเองจมลงไปในพื้นดินให้ได้

คนที่มาจากบ้านที่ทรงอิทธิพลและอำนาจ แต่ก็ไม่เคยถูกปฏิบัติตัวราวกับว่าตัวเองนั้นสูงส่งจนต้องหมอบกราบให้แบบนี้ขมวดคิ้ว

“ลุกขึ้นมาคุยกันเถอะครับ” คุณชายสามจากบ้านฉีพูดเสียงเข้มขึ้นระดับหนึ่ง คำพูดนี้กึ่ง ๆ เป็นคำสั่ง

ฉีมู่หลินตัดสินใจใช้น้ำเสียงแบบนั้นก็เพราะเขาวิเคราะห์แล้วว่าหากเขายังพูดจาอ่อนข้ออ่อนน้อมอยู่ หญิงชราผู้นี้จะยังคงหมอบกราบอยู่แบบนี้

และเป็นจริงอย่างที่เขาคิด เพราะเมื่อเขาใช้น้ำเสียงกึ่งสั่งการแบบนี้ หญิงชราก็ค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นมา แม้ว่าจะยังนั่งคุกเข่า แต่ก็ดีกว่าหมอบกราบอย่างเมื่อครู่นี้มากนัก

เมื่อหญิงชรานั่งคุกเข่า ฉีมู่หลินก็นั่งคุกเข่าลงด้วยเหมือนกัน

“คุณยายเป็นใครครับ แล้วที่นี่ที่ไหน คุณยายเป็นคนพาผมมาที่นี่หรือครับ” ฉีมู่หลินส่งคำถามออกไปสามคำถามติด 

“ท่าน ท่านเทพอย่า ได้โปรดอย่าเรียกข้า ไม่ ได้โปรดอย่าเรียกกระหม่อมฉันเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ” หญิงชราพูดเสียงร้อนรน คำพูดแทนตัวเองนั้นสับสนวุ่นวายด้วยไม่รู้ว่าควรจะแทนตัวเองอย่างไร สีหน้าซีดเผือดเต็มที่ และยิ่งเห็นฉีมู่หลินขมวดคิ้ว แววตาเธอก็ปรากฏร่องรอยของความหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม

ฉีมู่หลินหดม่านตา เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ หากว่าหญิงชรายังเป็นแบบนี้ เห็นทีว่าวันนี้คงจะคุยกันไม่รู้เรื่อง แล้วเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงชราคนนี้ถึงได้คิดว่าเขาเป็นเทพ

“ทำไมคุณยะ ทำไมคุณถึงคิดว่าผมเป็นเทพครับ” ฉีมู่หลินจะหลุดเรียกเธอว่ายาย แต่เมื่อคิดถึงปฏิกิริยาก่อนหน้านี้ของเธอ เขาก็รีบกลืนคำเรียกขานนั้นลงคอไปอย่างรวดเร็ว

หญิงชราเงียบไม่พูดตอบ เธอก้มหน้าหลบสายตา

ฉีมู่หลินปวดหัวหนัก เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ในปีสามพันนี้เลย

หากเขาตัดสินใจย้อนไปอดีต เขาคงไม่ต้องปวดหัวอยู่แบบนี้ เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์

ฉีมู่หลินลอบถอนหายใจเสียงหนัก แต่เสียงถอนหายใจของเขาทำให้หญิงชราสะดุ้งสุดตัว 

ฉีมู่หลินเห็นท่าทางหวาดกลัวของเธอ เขาก็จนใจที่จะถามต่อแล้ว 

คงได้แต่พึ่งตัวเอง

คุณชายสามผู้เดินทางข้ามเวลามาเจ็ดร้อยปีพึมพำกับตัวเองในใจ ก่อนที่จะใช้สายตากวาดมองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง 

ชายหนุ่มหดม่านตาเมื่อเห็นสภาพแวดล้อมของที่นี่

บ้านหลังนี้มีลักษณะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมใบหนึ่งสร้างจากดินเหนียว ด้านบนถูกมุงด้วยหญ้าแห้ง ข้าวของเครื่องใช้เขาเขาเห็นเพียงกะลามะพร้าวที่แตกบิ่น 

ทางด้าของหญิงชรา เมื่อสัมผัสได้ว่าดวงตาคู่สีดำไม่ได้จ้องมองมาที่ตัวเอง เธอก็ค่อย ๆ เงยหน้าลอบมอง และเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของชายหนุ่ม เธอก็ก้มหน้าลงต่ำอีกครั้ง

“เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ฉีมู่หลินหมายถึงว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่บ้านหลังนี่ได้ อยู่ ๆ เขาก็โผล่ขึ้นมา หรือว่าคุณยายท่านนี้ไปเก็บเขาที่หมดสติมาจากที่ไหน

และคราวนี้เขาเลียนแบบท่าทางที่ทรงอำนาจของผู้เป็นพ่อในการถามออกไป

ช่วยไม่ได้เลย หากว่าเขาไม่ทำแบบนี้ หญิงชราผู้นี้คงจะไม่ยอมตอบเขา

และนับว่าฉีมู่หลินตัดสินใจได้ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง

“กระหม่อม กระหม่อมฉันเจอท่านหมดสติอยู่ที่ลำธารเจ้าค่ะ” หญิงชราพูดตอบเสียงสั่น ๆ แต่ว่าก็ฟังรู้เรื่องกว่าที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะเธอเห็นแล้วว่าคนที่เธอพากลับมาที่บ้านนี้ไม่มีทีท่าจะพิโรธแต่อย่างใด

“คุณก็เลยพาเรามาที่นี่น่ะหรือ” ฉีมู่หลินถามต่อ รักษาท่าทางสูงส่งเยือกเย็นที่เลียนแบบมาจากผู้เป็นพ่อเอาไว้

และเขาก็ได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง

ฉีมู่หลินมองดูร่างกายที่ผอมบางและดูอิดโรยของหญิงชรา เขาคิดไม่ออกเลยว่าด้วยรูปร่างแบบนี้ สามารถพาเขากลับมาที่นี่จะต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนกัน

“ขอบคุณ” ฉีมู่หลินพูดขอบคุณที่อีกฝ่ายพาเขากลับมาด้วย ไม่ปล่อยให้เขานอนตายอยู่ตรงนั้น

หญิงชราเมื่อได้ยินคำพูดขอบคุณของฉีมู่หลิน ดวงตาเธอก็เบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะรีบละล่ำละลักพูด

“กระ กระหม่อมฉันมิกล้า” 

“พูดกับเราธรรมดาเถอะ ตอนนี้เราก็เหมือนคุณ ไม่มีอำนาจพิเศษอะไร” เพราะที่นี่ไม่มีอิทธิพลของตระกูลฉี

ฉีมู่หลินพูดความจริงทุกอย่าง แต่ความจริงของเขาทำให้คนฟังนั้นคิดไปไกล

ท่านเทพผู้นี้ต้องถูกส่งมาเยือนที่โลกมนุษย์เพื่อทำภารกิจบางอย่างอย่างที่ตำนานกล่าวขานกันไว้แน่ ๆ

หญิงชราเมื่อคิดเช่นนี้ดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความดีใจ

ฉีมู่หลินเห็นแววตาของหญิงชราไม่ได้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเมื่อครู่นี้แล้ว เขาก็แปลกใจ แต่ก็ยินดีด้วยเช่นกัน นี่หมายความว่าหญิงชราจะไม่กลัวเขาจนไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนี้ ฉีมู่หลินก็พูดถามในสิ่งที่เขาอยากรู้และควรจะรู้ออกไป 

และก็ได้ความว่า เขาข้ามเวลามาอยู่ในยุคหลังภัยพิบัติสองร้อยปี หมายความว่านับจากช่วงเวลาที่เขาจากมา อีกห้าร้อยปีหลังจากนั้นจะเกิดภัยพิบัติที่กวาดล้างอารยรรมและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย 

ประเทศต่าง ๆ ที่เขาเคยรู้จักและเคยปรากฏอยู่บนแผนที่โลกนั้นไม่มีอยู่แล้ว และมันถูกแทนที่ด้วยสามจักรวรรดิใหญ่ อันประกอบไปด้วยและจักรวรรดิสุริยัน จักรวรรดิจันทรา และจักรวรรดิดารา

ซึ่งตอนนี้เขาอยู่ที่เมืองทิวา เมืองชายแดนในอาณาเขตของจักรวรรดิสุริยัน

นอกจากอยู่ในเมืองชายแดนแล้ว เขายังอยู่ในเขตชุมชนแออัด อันเป็นเขตของผู้อพยพด้วย 

ซึ่งฉีมู่หลินไม่ได้ถามหญิงชราว่าเธออพยพมาจากที่ไหน

 

 ย้อนกลับไปตอนที่ฉีมู่หลินเพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่

ภายในกระโจมที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างหยาบ ๆ มีชายหนุ่มรูปร่างองอาจในชุดทหารนั่งอยู่ เบื้องหน้าของเขามีแผนที่ทางการทหาร สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ก่อนจะชะงักไปเมื่อสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่หน้ากระโจม จนกระทั่งทหารคนสนิทปรากฏตัวขึ้น แววตาระแวดระวังก็ผ่อนคลายลง

“ท่านนายพล ท่านราชครูขอเข้าพบครับ” แต่คำพูดประโยคนี้ของลูกน้อง ทำให้แววตาของนายพลหนุ่มปรากฏร่องรอยของความเหนื่อยหน่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอนุญาตให้คนที่ขอเข้าพบเขาได้เข้ามา

“สายันต์สวัสท่านนายพลออสติน” ชายชราที่เดินถือไม้เท้าเข้ามานั้นพูดทักทายผู้เป็นเจ้าของกระโจม

นายพลออสติน ชาร์ล เป็นนายพลแห่งจักรวรรดิสุริยัน อายุสามสิบปี เป็นนายพลที่อายุน้อยที่สุด

“สายันต์สวัสท่านราชครู เชิญนั่ง” ออสตินลุกขึ้นยืนต้อนรับชายชราอย่างให้เกียรติ แม้ว่าเทียบกันตามตำแหน่งแล้ว ตำแหน่งของเขานั้นจะสูงกว่าตำแหน่งของราชครูก็ตาม

แต่ที่ออสตินให้เกียรติ ก็ไม่ได้ให้เกียรติเพราะว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่า แต่ให้เกียรติที่เจ้าตัวนั้นก็เพราะว่าราชครูท่านนี้เป็นคนหนึ่งที่ทำเพื่อมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง

ติดอยู่เพียงอย่างเดียว เจ้าตัวมีความเชื่อที่ออสตินไม่ใคร่จะเชื่อนัก

“ท่านนายพล ดาวมหาปราชญ์ส่องแสงแล้ว! มหาปราชญ์มาเยือนจักรววรดิแล้วเป็นแน่แท้ ท่านรีบส่งคนไปค้นหาแล้วเชิญมหาปราชญ์ท่านมาช่วยพวกเราเถิด!