“ท่านทานอีกหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” หญิงชราพูดขึ้นเมื่อเห็นคนที่อยู่กับเธอมาแล้วสามวันนั้นทานอาหารเข้าไปเพียงนิดเดียว

ฉีมู่หลินมองผักเปื่อย ๆ ที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็มองสายตารู้สึกผิดของหญิงชรา เขาก็ฝืนใจคีบผักแห้ง ๆ ที่มีแต่รสขมและเหม็นเขียวเข้าปาก

ฉีมู่หลินไม่ใช่คนเลือกกิน แต่อาหารที่อยู่ตรงหน้าก็ยากจะกลืนลงคอจริง ๆ 

“เราจะทานแต่ผักแบบนี้ตลอดไปงั้นเหรอครับ” ฉีมู่หลินถามหญิงชรา 

เขาอาศัยอยู่ที่บ้านของเธอมาได้สามวันแล้ว และตลอดสามวันนี้เขาได้ทานแต่ผักที่หญิงชราหาเก็บมาจากรอบ ๆ นี้

ที่จริงฉีมู่หลินอยากจะออกไปสำรวจและหาอาหาร ทว่าเพราะหญิงชราห้ามเอาไว้ ทำให้เขาไม่ได้ออกไป

แต่วันนี้ฉีมู่หลินตัดสินใจแล้ว ไม่ว่ายังไงเขาก็จะออกไปสำรวจและหาอาหารมาให้ได้

อย่างน้อยต้องมีเนื้อสัตว์สักหนึ่งอย่าง!

และหลังจากที่หลอกถามมาเรื่อย ๆ ตลอดสามวัน ฉีมู่หลินก็รู้ว่าไม่ไกลจากที่นี่มีลำธารอยู่สายหนึ่ง ชาวบ้านมักจะไปตักน้ำจากที่นั่นมาใช้ประกอบชีวิตประจำวัน ซึ่งเมื่อมีลำธาร ฉีมู่หลินจึงคาดการณ์ว่าจะมีปลา

นี่แหละ เนื้อสัตว์ที่เขาจะกินในมื้อต่อไป!

แต่ว่าเขาจะจับปลาในลำธารได้ยังไงล่ะ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉีมู่หลินก็ย่นคิ้ว พยายามหาวิธีที่จะจับปลาในลำธารมาให้ได้

“ที่นี่มีแหไหมครับ” ฉีมู่หลินถามออกไป

หญิงชราทำสีหน้างุนงง

“แหคืออะไรหรือเจ้าคะ” 

“งั้นหลาวล่ะครับ” ฉีมู่หลินถาม

ถึงที่นี่จะยังไม่มีการใช้พลาสติก แต่การนำไม้มาทำเป็นข้าวของเครื่องใช้นั้นยังมีอยู่ ดังนั้นฉีมู่หลินจึงคิดว่าจะมีหลาว

ทว่าเขาต้องผิดหวัง เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของหญิงชรา

“ผมอยากได้ไม้ยาว ยาวประมาณนี้ครับ” ฉีมู่หลินพูดพร้อมกับขยับมืออ้ากว้างให้หญิงชราดูว่าเขาต้องการไม้ที่มีความยาวขนาดไหน

“ท่านต้องการไม้มาทำอะไรหรือ” หญิงชราถามอย่างสงสัย

ฉีมู่หลินเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ตอบ

 

ท่ามกลางความมืด ฉีมู่หลินเดินถือคบเพลิงย่องออกมาจากบ้านดินของหญิงชราที่เขาอาศัยอยู่มาตลอดสามวันนับจากที่เขาได้สติขึ้นมา

มือข้างหนึ่งถือคบเพลิง อีกข้างหนึ่งก็ถือไม้ที่ปลายด้านหนึ่งถูกเหลาจนแหลมคม เหมาะจะเป็นอุปกรณ์สำหรับจับปลาเป็นอย่างยิ่ง

และสาเหตุที่ฉีมู่หลินต้องลอบออกมาตอนกลางคืนก็เพราะว่าตอนกลางวันนั้นเขาไม่สามารถออกไปไหนได้น่ะสิ

ส่วนสาเหตุที่เขาไม่สามารถออกไปไหนได้ก็เพราะถูกหญิงชราห้ามไว้โดยไม่ได้บอกเหตุผล แต่จากการหลอกถามมาในที่สุดฉีมู่หลินก็พอจะรู้ได้

นั่นเป็นเพราะสีดวงตาของเขา ดวงตาที่เขาได้รับสืบทอดมาจากผู้เป็นพ่อ ดวงตาสีดำที่ต่อให้เป็นยุคที่เขาจากมาก็หาได้ยากยิ่ง และในปีสามพันนี้ มันยิ่งกว่าหาได้ยาก เพราะเป็นสีดวงตาที่เชื่อกันว่าเป็นดวงตาของเทพเจ้า

นี่เองเป็นสาเหตุที่วันนั้นเขาลืมตาตื่นขึ้นมายังไม่ทันได้พูดอะไร หญิงชราก็หวาดเกรงต่อเขา เพราะคิดว่าเขาเป็นเทพเจ้านั่นเอง

ฉีมู่หลินไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะให้กับเรื่องนี้ดี แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้จักโลกใบนี้มากพอ ฉีมู่หลินก็ยังไม่มีแผนการจะปรากฏตัวต่อภายนอก

หรือไม่อย่างนั้น เขาคงจะหาวิธีการทำอะไรสักอย่างเผื่ออำพรางสีดวงตาของเขา

เสียดายที่ปีสามพันนี้ไม่มีคอนแทคเลนส์

อ่า อย่าว่าแต่คอนแทคเลนส์เลย แม้กระทั่งของใช้ธรรมดา ๆ อย่างมีดยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ ฉีมู่หลินอดคิดไม่ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาข้ามเวลามาปีสามพัน หรือย้อนเวลาไปสามพันปีกันแน่

ไม่สิ สามพันปีก่อนก็มีมีดใช้กันแล้ว ต้องบอกว่าเขาเหมือนย้อนเวลามาก่อนยุคสำริดจะเหมือนกว่า

ฉีมู่หลินคิดแล้วลอบส่ายหน้า ก่อนจะหัวเราะให้กับตัวเอง

เพียงแค่อยากหาไอเดียเขียนบทภาพยนตร์เรื่องใหม่ เขาถึงกับต้องทรมานตัวเองแบบนี้

ใช่แล้ว ที่ฉีมู่หลินรบเร้าของให้ผู้เป็นปู่อย่างวอดก้าพาตัวเองเข้าเครื่องไทม์แมชชีนแล้วข้ามเวลามาที่ปีสามพันนี้ ก็เพราะเขาอยู่ในช่วงที่เรียกว่า ตัน

ฉีมู่หลินเป็นนักประพันธ์บทภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง มีผลงานสร้างชื่ออยู่หลายเรื่อง ชื่อเสียงอยู่ในช่วงพุ่งขึ้นสูงสุด ทว่าหนึ่งปีมาแล้วที่เขาไม่มีผลงานชิ้นใหม่ออกมาเลย 

เขาหมดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์มันนั่นเอง และเมื่อเป็นแบบนี้ คนที่รักในอาชีพนักประพันธ์บทเป็นอย่างยิ่งจึงทนไม่ได้ ต้องไปอ้อนวอนผู้เป็นปู่อยู่นานสองสองนาน กว่าเจ้าตัวจะยอมตกลงส่งเขามา 

กลับมาที่ฉีมู่หลินในตอนนี้ เมื่อเขาย่องเงียบมาถึงลำธารแล้ว เขาก็มองซ้ายมองขาว ก่อนจะเจอโขดหินที่สามารถวางคบเพลิงได้ และเมื่อเขาวางคบเพลิงลงกับโขดหินแล้ว เขาก็ลงมือจับปลา

“จิ๊” ฉีมู่หลินส่งเสียงขัดใจออกมาจากลำคอเมื่อเขาแทงไม้หลาวพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย และเขายังส่งเสียงขัดใจออกมาอีกหลายครั้ง เมื่อเขาพลาดเป้าอย่างต่อเนื่อง 

แม้ว่าฉีมู่หลินจะรู้วิธีจับปลา แต่เขาก็จับปลาไม่ได้ เนื่องจากไม่เคยลงมือปฏิบัติจริงมาก่อน

เรียกว่าทฤษฎีแน่นเอียด ปฏิบัติจริงเป็นศูนย์

แต่มันก็เพียงแรกเริ่มเท่านั้น คนที่สืบสายเลือดจากฉีเลี่ยหลินและมาร์ตินมาโดยตรงนั้นจะไม่ได้เรื่องได้ยังไง หลังจากที่ล้มเหลวไปสิบครั้ง ครั้งที่สิบเอ็ดเขาก็ทำได้ ปลาตัวใหญ่ถูกไม้หลาวแหลมคมทิ่มแทงจนติดมา

ฉีมู่หลินมองปลาที่เขาจับมาได้อย่างสนใจ เขาพบว่ามันแตกต่างจากปลาในยุคที่เขาจากมาอยู่พอสมควร มันคล้ายปลากระพง แต่เกล็ดหนากว่ามาก และมีเหงือกที่ใหญ่กว่าเดิม รวมถึงมีเยื่อหุ้มดวงตา

ฉีมู่หลินคาดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับวิวัฒนาการและการปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอด

เขามองสำรวจมันอยู่ชั่วครู่ใหญ่ ๆ ก่อนที่จะลงมือจับปลาต่อ

เมื่อได้ครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งต่อไปก็เป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ไม่นาน ฉีมู่หลินก็ได้ปลาตัวโต ๆ มาถึงสี่ตัว

 

“เทพสุริยันทรงเมตตา! มิต มิตมาจากไหนกัน!” เสียงแตกตื่นของหญิงชราทำให้คนที่เพิ่งจะข่มตานอนได้ไม่ถึงสามชั่วโมงลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างง่วงงุน

เปลือกตาสีมุกกะพริบขึ้นลงปริบ ๆ ใช้เวลาอยู่สักชั่วครู่หนึ่งสติของเขาจึงค่อยทำงานได้อย่างเต็มที่ 

“มิต มิตตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้นเลย” หญิงชรายังคงแตกตื่นกับปลาตัวใหญ่ที่แขวนอยู่ชายคาบ้าน

อ่า ใช่แล้ว มิตที่หญิงชราพูดถึงก็คือปลานั่นเอง

ฉีมู่หลินลุกออกจากแคร่ไม้ไผ่ที่ตัวเองใช้เป็นเตียงนอนมาหาหญิงชรา มองท่าทางแตกตื่นของเธอก็ให้รู้แล้วว่าหญิงชรานั้นคงไม่มีโอกาสได้ทานปลาปล่อย ๆ

ที่จริงฉีมู่หลินไม่รู้ว่าไม่ใช่แค่ไม่มีโอกาสได้ทานบ่อย ๆ ทว่าตั้งแต่เกิดมา เธอเคยได้ทานปลาเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น และนั่นก็เป็นตอนที่เธอยังเด็ก ๆ อีกทั้งยังเป็นปลาที่ตายมาเกยฝั่ง ผู้เป็นพ่อของเธอบังเอิญไปพบเจอจึงจับมาให้เธอกิน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เธอคงไม่มีโอกาสได้กินปลาหรอก

และไม่ใช่แค่หญิงชราเท่านั้นที่ไม่เคยกินปลาไม่กี่ครั้ง เพราะคนส่วนมากที่นี่ก็ไม่มีโอกาสได้ทานเนื้อสัตว์กันบ่อยนัก มีเพียงแค่ชนชั้นกลางบางคนและชั้นสูงเท่านั้นที่มีโอกาสได้ทานเนื้อสัตว์อยู่บ่อย ๆ แต่บ่อย ๆ ในที่นี้ก็ยังเป็นเดือนละสอง สามครั้งเท่านั้น

ซึ่งฉีมู่หลินจะได้รู้เรื่องนี้ในภายหลัง

“ท่านเทพ มิตเจ้าค่ะ มิต เทพสุริยันทรงเมตตาประทานมิตมาให้แน่ ๆ เลยเจ้าค่ะ” หญิงชราเมื่อเห็นฉีมู่หลินเธอก็พูดกับฉีมู่หลินด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ขณะที่พูดถึงเทพสุริยันเธอก็มีท่าทางนอบน้อมมาก

ฉีมู่หลินคิ้วกระตุกเล็กน้อย เทพสุริยันอะไร เทพฉีมู่หลินนี่แหละที่หาปลามา

ฉีมู่หลินคิดก่อนจะพูดความจริงออกมา 

“เราเป็นคนไปจับมาเอง” 

ความจริงจากปากของฉีมู่หลินทำให้หญิงชราชะงักไป จากนั้นความตื่นเต้นก็กลายเป็นความตื่นตระหนก

“ท่าน ท่านออกไปข้างนอกมาหรือเจ้าคะ” หญิงชราพถามเสียงสั่น

“ออกไปเมื่อคืนนี้ วางใจเถิด เราไม่เจอใคร และไม่มีใครเจอเราด้วย” ฉีมู่หลินปรับตัวได้เร็วมาก เขาสามารถพูดสำเนียงของที่นี่ได้

พูดถึงเรื่องนี้ ฉีมู่หลินก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ตอนที่เขายังไม่ได้เปิดใช้งานระบบแปลภาษาของต่างหู เขาฟังหญิงชราไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อเปิดใช้งานแล้ว เขาฟังหญิงชรารู้เรื่องนั่นก็ไม่แปลกอะไร แต่ทำไมเขาถึงพูดภาษาของที่นี่ได้ก็ไม่รู้

แต่ว่าถึงจะไม่รู้สาเหตุ แต่มันก็ดีมาก เพราะมันทำให้ชีวิตเขาง่ายขึ้นมากทีเดียว

“ท่าน ท่านออกไปข้างนอกยามค่ำคืนได้ยังไงกันเจ้าคะ มันอันตราย.. ” หญิงชราพูดมาถึงตรงนี้แล้วเธอก็เงียบไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอนี้ไม่ใช่คนธรรมดา แม้ว่าเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้ไม่แตกต่างจากคนธรรมดา แต่ถึงอย่างไรเทพก็ยังเป็นเทพอยู่ดี

แน่นอนว่านั่นคือความเข้าใจผิดไปเองของหญิงชรา

ฉีมู่หลินเพียงยิ้มนิด ๆ ก่อนจะเฉไปพูดเรื่องปลาแทน

“คุณยายเรียกเจ้านี่ว่ามิตเหรอครับ” ฉีมู่หลินถามอย่างสงสัย

“ใช่เจ้าค่ะ ที่สวรรค์ไม่ได้เรียกเจ้านี่ว่ามิตหรือเจ้าคะ” แม้ว่าจะหวาดเกรง แต่ความอยากรู้ก็มีมาก หญิงชราถามอย่างอยากรู้

ฉีมู่หลินกำลังจะตอบปฏิเสธ แต่เขานึกขึ้นได้ว่าในภาษาของทีแลนด์ในยุคที่เขาจากมา มิตคือคำไวพจน์ของปลา 

“ก็ใช้เรียกได้นั่นแหละ” เพียงแต่ว่าไม่มีใครใช้เรียกแล้วเท่านั้น 

ประโยคหลังนั้นฉีมู่หลินเพียงแค่คิดในใจ ก่อนที่เขาจะพูดต่อ

“วันนี้พวกเราทานปะ เอ่อ ทานมิตกันเถอะครับ คุณยายทำเป็นใช่ไหมครับ” ฉีมู่หลินถาม ซึ่งเขาก็ได้รับแววตาลังเลใจจากหญิงชรามาชั่วแวบหนึ่ง ก่อนที่เธอจะตอบตกลง

และแล้วฉีมู่หลินก็เข้าใจว่าที่หญิงชรามีแววตาลังเลใจนั้นไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่อยากทานปลา แต่เป็นเพราะว่าเธอไม่รู้วิธีที่จะเอามาทำอาหารต่างหาก ดูได้จากการที่เธอเสียบไม้อย่างทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดและขอดเกล็ดปลา

 “เราทำเอง” ฉีมู่หลินพูด ก่อนที่เขาก็จะชะงักไปด้วยเหมือนกัน

เขารู้ว่าต้องขอดเกล็ดปลาก่อน รู้ว่าต้องทำความสะอาด

แต่ว่าทำยังไงล่ะ

คุณชายสามผู้ที่ไม่เคยต้องเข้าครัวเองถึงกลับนิ่งไปพักใหญ่ ๆ เลยทีเดียว ก่อนที่จะกัดฟันลงมือ

ไม่ว่ายังไงมื้อนี้เขาจะต้องกินปลาให้ได้!

คนที่ไม่ยอมกินผักเหี่ยว ๆ แห้ง ๆ อีกมื้อคิดอย่างมาดมั่น และเพราะความมาดมั่นนี้ทำให้ในเวลาต่อมาบ้านใกล้เรือนเคียงที่อยู่เบียดเสียดกันนี้ได้กลิ่นปลาหอม ๆ จนต้องออกมาดู

โชคดีที่ถึงขั้นตอนการย่างปลานั้นฉีมู่หลินได้ถูกหญิงชราขอร้องให้กับเข้าด้านในไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกชาวบ้านพบเจอเข้า

“มิต นั่นมันมิตจริง ๆ ด้วย ยายมอลลี่ เธอไปหามิตมาจากที่ไหน” หญิงร่างท้วมคนหนึ่งพูดเสียงแหลม ผวาตัวเข้ามาหาหญิงชรา หรือก็คือยายมอลลี่

คุณยายมอลลี่เมื่อได้ยินเสียงของเธอก็เงยหน้าขึ้นมาจากการอย่างปลา เธอตอบเสียงโรยแรงว่า

“เมื่อเช้าฉันไปตักน้ำแล้วบังเอิญเจอมันตายอยู่ริมฝั่งน่ะ ฉันเลยเก็บมันกลับมาย่างนี่แหละ” ยายมอลลี่ไม่ได้พูดความจริง และคำตอบของเธอก็ไม่ได้ทำให้ชาวบ้านสงสัยเลย

ด้วยเพราะรูปลักษณ์ที่โรยแรงของเธอ ทำให้ชาวบ้านรู้ว่าเธอไม่มีความสามารถมากพอจะไปจับปลาด้วยตัวเองหรอก ไม่สงสัย แต่ว่าอิจฉา อิจฉาว่าทำไมไม่เป็นตัวเองที่โชคดีอย่างนี้บ้าง ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็ได้กินมื้อหรูกันแล้ว

เห็นได้ชัดเลยว่าชีวิตความเป็นอยู่นั้นอัตคัดขนาดไหน แค่ปลาหนึ่งตัวก็สามารถทำให้มื้ออาหารของชาวบ้านกลายเป็นมื้อหรูขึ้นมาได้

ฉีมู่หลินที่แม้ว่าจะอยู่ในบ้าน แต่เขาก็ได้ยินถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความอิจฉาของชาวบ้าน ดวงตาคู่สวยหม่นลง

เขาอาจจะไม่ใช่คุณชายที่อยู่บนหอคอยงาช้าง ไม่ใช่คนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่การได้มาเจอชีวิตความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่แบบนี้ เขาก็หดหู่ใจไม่น้อยเลยเหมือนกัน

และนั่นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของชาวบ้านที่นี่

มันไม่ใช่แค่การช่วยชาวบ้าน แต่มันคือการช่วยตัวเขาเองด้วย ในเมื่อเขาก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อีกหลายปี

ฉีมู่หลินคิดแล้วก็ระดมความคิดว่าเขาพอจะทำอะไรได้บ้าง เริ่มแรกควรเริ่มจากเรื่องปากท้องก่อน

เหมือนอย่างการหาปลา ดูเหมือนว่าชาวบ้านจะไม่รู้วิธีการจับปลา พวกเขายังจับปลากันด้วยมือเปล่า ๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยาก 

เขาควรเผยแพร่วิธีการจับปลาออกไป

ฉีมู่หลินคิดถึงเมื่อครู่นี้ที่คุณยายมอลลี่โกหกเพื่อนบ้างว่าเธอจับปลาตายมาได้

คำโกหกนี้ใช้ได้เพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่ใช้ตลอดไปไม่ได้ ทว่าเขายังอยากกินปลาไปอีกหลายมื้อ

ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็คือการทำให้ได้มาซึ่งปลานั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป

ฉีมู่หลินระดมความคิดอยู่นานสองนานว่าเขาควรจะสร้างอุปกรณ์อะไรขึ้นมาดี จนคิดว่าแหนั้นง่ายที่สุด เพียงแต่ว่าเขาจะหาวัสดุอะไรมาถักเป็นแหดี 

นอกจากนี้ยังมี..

แหมันสานยังไงนะ

ช่างเถอะ ต้องหาก่อนว่าอะไรที่มันเหนียวพอจะเอามาสานเป็นแหได้

ฉีมู่หลินคิดอยู่นานก็คิดไม่ออก เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าปีสามพันนี้มีอะไรบ้างที่จะใช้ทดแทนได้ เมื่อคิดไม่ออกเขาก็ยอมวางมือชั่วคราว และเป็นจังหวะเดียวกับที่ยายมอลลี่กลับเข้ามาพร้อมกับปลาที่ถูกย่างจนหอม

“ขอบคุณครับ” ฉีมู่หลินรับปลามาแล้วไม่ลืมที่จะพูดขอบคุณ

ยายมอลลี่มองฉีมู่หลินแล้วก็สรรเสริญชื่นชมเจ้าตัวอยู่ในใจ

ท่านเทพช่างอ่อนโยนและนอบน้อมจริง ๆ

ทางฝั่งของฉีมู่หลินก็ไม่รู้เลยว่าในใจของหญิงชรานั้นคิดอะไรอยู่ เขาแกะเนื้อปลาขาว ๆ เข้าปาก ก่อนจะย่นหน้า

“จืด” ฉีมู่หลินหลุดพูดออกมา 

“จืดคืออะไรหรือเจ้าคะ” หญิงชราถามอย่างงุนงง

และเป็นฉีมู่หลินที่งงขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน

แม้กระทั่งจืดคืออะไรก็ไม่รู้เหรอ

ฉีมู่หลินคิดแล้วนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ที่เขามาอยู่ที่นี่ อาหารที่เขาได้กินไม่มีการปรุงรสใด ๆ เลย

ในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเพราะหญิงชรายากจนเกินไปจนไม่มีเงินซื้อเครื่องปรุง แต่เห็นทีว่าความจริงแล้วเป็นเพราะคนยุคนี้ไม่รู้จักเครื่องปรุงมากกว่า

ฉีมู่หลินคิดแล้วก็ลิสต์ไว้ในใจอีกข้อว่าเขาจะต้องสร้างสรรค์เครื่องปรุงขึ้นมาให้ได้

อ่า ดูเหมือนว่าตอนนี้เรื่องที่ฉีมู่หลินมุ่งมั่นจะพัฒนานั้นจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับปากท้องล้วน ๆ 

ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาถือคติว่าควรเริ่มจากอาหารที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ก่อน หรือเพราะสำหรับเขาแล้วเรื่องกินเรื่องใหญ่กันแน่