บทที่ 2 เรื่องราวท่ามกลางราตรี

 

ณ ช่วงเวลาหลังตะวันตกดิน กลุ่มกองเกวียนขบวนใหญ่ของหมู่โจร

 

"เราจะต้องจับแยกเอาไว้ด้วยหรือลูกพี่มิน อย่างไรเสียก็ต้องจับส่งขึ้นเรืออยู่แล้ว"ลูกน้องตัวใหญ่ รูปร่างอวบอ้วน ในชุดหนังสัตว์เอ่ยถามด้วยความสงสัย ในขณะที่มือข้างหนึ่งถือซาลาเปาลูกหนึ่ง อีกมือหนึ่งกำลังจับเชือกกุมบังเหียนม้า

 

"มันจะได้ไม่ดูปะปน ชวนดูให้เสียราคาอย่างไรเล่า ฟูมู่"

 

มินอี้ หรือผู้ถูกเรียกว่าลูกพี่มินนั่งอยู่ตรงที่บังคับเกวียนกล่าว เขามีรูปร่างโปร่งตัวสูง หน้าสั้นจมูกโด่งเป็นสัน ชายอายุราวสามสิบปีลับคมดาบเล่มใหญ่อย่างใจเย็น

 

"มันมีโอกาสวุ่นวายได้ตอนปล่อยของ การแยกพวกเด็กออกมาจากพ่อแม่ก่อน เราจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย พ่อแม่ก็จะได้ไม่กล้าหือ เราจะได้ควบคุมง่ายขึ้น อีกอย่างเด็กพวกนี้ราคาดีและเป็นที่ต้องการกับพวกมารอย่างมาก เพราะฉะนั้นอย่าทำให้สกปรกล่ะ"

 

"โอ้ ลูกพี่มินหัวแหลมจริงๆ "เจ้าลูกน้องร่างอ้วนกล่าวชื่นชมจนอีกฝ่ายบ้ายอยิ้มตอบ

 

"วะฮ่าฮ่า ของมันแน่อยู่แล้ว ข้ามันเก่ง"

 

"แต่ว่านะลูกพี่ ข้าว่าถ้าเราไปออกปล้นของเราเอง ความจริงน่าจะได้ส่วนแบ่งเยอะกว่าทำงานให้คนอื่นอีกน่า..."

 

"ปล้นเองได้ไม่กี่ครั้งถ้าถูกทางการตามเจอ เราก็โดนยัดเข้าซังเตนะซิ ฟูมู่ ใช้หัวคิดหน่อย"เขาเกาคางก่อนพูดต่อ"เรามาอาศัยคนมีบารมี เกาะหากินมีข้าวมีอาหารกิน ได้ทั้งทรัพย์ได้ออกปล้นอย่างเต็มที่ ทำงานตามใบสั่งมันสะดวกสบายจะตายไป แถมยังได้เดินทางทำเงินต่างประเทศด้วยนะ โก้จะตาย"

 

"อืม ลูกพี่ก็พูดจริง"

 

"แต่ที่เจ้าพูดก็ถูกนะ ถึงงานมันสบายๆ ดีหมดทุกอย่าง แต่เสียอย่างเดียวตรงไม่ค่อยจะได้โอกาสแอ้มสาวเท่าไร"

 

"ประจำเลยนะลูกพี่ เรื่องผู้หญิงเนี่ย! "ฟูมู่ส่ายหน้าด้วยความละเหี่ยใจ

 

"เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าชอบอยู่กับสาวๆ ฮ่าฮ่า"

 

คณะโจรภายใต้ชื่อกลุ่มหัวหน้ามินมีอยู่ราวยี่สิบคน พวกเขาควบคุมเกวียนทั้งหมดด้วยความตั้งใจ เมื่อขบวนมุ่งหน้าเข้าสู่หุบเขาแห่งหนึ่งท่ามกลางความมืดยามทุ่มตรง เสียงใบไม้เสียดสีหวีดวิว ก็พลันปรากฏเสียงเท้าบางอย่างพุ่งเข้ามา...

 

"ลูกพี่ ข้าว่าเห็นกลุ่มคนกำลังมุ่งตรงเข้าหาเรานะ? "ฟูมู่เพ่งตาเล็กๆ ก่อนตะโกนเสียงดัง เขากลืนก้อนซาลาเปาทั้งลูกเข้าปากเคี้ยวด้วยความว่องไว ส่วนร่างของลูกพี่กระเด้งตัวตรง เขาพยายามใช้สายตาเพ่งมองไปยังร่างในความมืดที่พุ่งเข้ามาหากองเกวียน

 

...ใครบางคนขี่ม้า กำลังมาทางนี้จริงๆ ...

 

"พวกแกเตรียมอาวุธให้พร้อม! "

 

พวกโจรเตรียมหน้าไม้และธนูอย่างรวดเร็ว

 

พวกเขาถูกฝึกมาว่าสถานการณ์เช่นนี้ต้องตระเตรียมอย่างรวดเร็ว กองขบวนชะลอความเร็ว โจรชื่อมินผู้เป็นลูกพี่กระโดดลงจากกองเกวียน เขากุมดาบเล่มโตเอาไว้ในมือพร้อมสรรพ เดินนำเหล่าพลพรรค ดึงใบหน้าเชิดราวกับประกาศพร้อมท้าชนทุกคนที่จู่โจม

 

หัวหน้ามินก้าวเดินไปพร้อมกับฟูมู่ ลูกน้องร่างอ้วนคนสนิท ในมือทั้งสองข้างถือกระบองขนาดใหญ่และหนามาด้วย

 

เมื่อมองเห็นร่างผู้ขี่ม้าเข้ามา ลูกพี่ของเหล่าโจรก็กำมือก่อนชูขึ้นสูง เขาตะโกนสั่งด้วยเสียงอันดัง...

 

"เฮ้ย! เก็บอาวุธโว้ย!! นั่นคือนายท่านผิงและเหล่าผู้ติดตาม! "

 

นายโจรทั้งหลายต่างหยุดมือ เชิดอาวุธขึ้นมาเก็บทันทีเมื่อหัวหน้าใหญ่เดินทางมาถึงด้วยตนเอง

 

นายท่านผิง ผู้นำกลุ่มโจรลักพาตัวเป็นชายร่างเตี้ยที่เปี่ยมไปด้วยข้าวของเครื่องใช้หรูหรา เขามีใบหน้าแบน ริมฝีปากหนา ดวงตาใหญ่เหมือนไข่ห่าน หน้าผากกว้าง ผิวกายคล้ำถูกสวมด้วยเสื้อสีแดงสด

 

ช่างไม่ต่างจากอีกาเตี้ยใส่ชุดราคาแพงสีแดง เหล่าโจรทุกคนต่างนึกในใจ

 

"ข้าน้อยขอคารวะนายท่านผิง คารวะท่านผู้ติดตาม"หัวหน้ามินก้มศีรษะให้แก่บุรุษสูงวัยร่างเล็กเตี้ยบนหลังม้า

 

"หัวหน้ามิน...พวกเจ้าไปหมู่บ้านป่าเหมันต์ซินะ จับได้มาได้เท่าไร? "นายท่านผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบๆ แหบๆ

 

"เรียนท่านผิง เราได้ผู้ชายยี่สิบ ผู้หญิงยี่สิบสี่ เด็กสิบเอ็ดคน นักบวชสองคน จับแยกเกวียนมาขังไว้เรียบร้อยครับ ในส่วนของม้าและเงินทอง ทรัพย์สินมีค่า อยู่ในเกวียนสุดท้ายครับ เชิญนายท่านดูก่อนได้"หัวหน้ามินผายมือไปยังรถเกวียนคันใหญ่

 

นายผิงและผู้ติดตามทั้งสองลงจากหลังม้า พวกเขาเดินดุ่ยมาชมความสำเร็จตรงหน้า สิ่งของจำนวนมากถูกคลุมด้วยผ้าหลายชั้น ภายในมีถังใส่เสบียงอาหาร หีบใส่เงินทองเครื่องเพชรและตะกร้าพืชผักสมุนไพรหายากอยู่จำนวนมาก

 

"อืม...หมู่บ้านป่าเหมันต์ช่างมีเสบียงอาหารและพืชพรรณบริบูรณ์ อย่างที่คิดว่าหมู่บ้านย่านนี้ดีกว่าชายแดนอื่น แล้วได้ทำตามที่ข้าสั่งเรียบร้อยดีใช่ไหม? "นายท่านแห่งคณะโจรเอ่ยถาม พลางหยิบเมล็ดข้าวขึ้นมาชมกำมือหนึ่ง

 

"ครับนายท่าน ข้าน้อยจัดการทุกอย่างเรียบร้อย จับมาหมดทั้งเด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย เหลือไว้แต่พวกคนแก่ทิ้งเอาไว้ที่นั่น ตามท่านสั่งแล้วครับ"หัวหน้ามินพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

 

หัวหน้ามินได้รับคำสั่งโดยตรงจากนายท่านผิงเรื่องการลักพาตัวคนในหมู่บ้านต่างๆ รอบบริเวณแดนเหนือ สิ่งหนึ่งที่ถูกกำชับมาให้ดีรองจากการปล่อยคนไปแจ้งทางการ ก็คือการลักพาตัวแรงงานชายหญิง คนวัยหนุ่มสาว รวมทั้งลูกเล็กเด็กแดงก็ห้ามละเว้น สำหรับคนชราให้ปล่อยไว้ ไม่ต้องพาขึ้นเกวียน

 

"ดีแล้ว ลักพาตัวคนแก่มันไม่ค่อยดี ดูแลยาก ราคาได้ไม่คุ้มเสีย"

 

"นายท่าน พวกเราจัดการพวกม้าในหมู่บ้านเป็นที่เรียบร้อย พวกมันไม่อาจตามเรามาได้แน่นอนครับ"ฟูมู่พูดเสริม

 

"ยินดีด้วยครับนายท่าน เกวียนสุดท้ายจากหมู่บ้านเหมันต์มาถึงแล้ว เท่านี้พวกเราก็รวบรวมคนในละแวกนี้จนครบแล้ว"คนสนิทผู้ติดตามของนายท่านผิงเอ่ยภายใต้ผ้าคลุม หัวหน้ามินพยายามแอบมองใบหน้า แต่ก็ไม่เห็นเพราะอีกฝ่ายเลี่ยงเอนคอไปทางอื่น

 

"ช่างโชคดีที่ทางการตามกลิ่นเราไม่ทัน โชคช่างเข้าข้างพวกเรานัก"คนสนิทอีกคนหนึ่งแสดงความเห็น

 

"ตราบใดที่ไม่ส่งสินค้าถึงมือ ตอนนี้เราก็ยังประมาทไม่ได้ เข้าใจไหม"นายผิงพูดพลางลูบปลายคาง

 

คณะหมู่โจรน้อมศีรษะตอบรับคำสั่ง จากนั้นหัวหน้ามินจึงเอ่ยขึ้น"พวกข้าน้อยรับทราบแล้วครับ...อ้อ! เรียนนายท่าน พวกเราจับตัวนักบวชคู่หนึ่งมาได้ เราจับไว้อยู่ในเกวียนเด็กด้วยนะครับ"

 

เมื่อได้ยินคำว่านักบวช นายท่านผิงและผู้ติดตามก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที"โอ้...มีนักบวชด้วยหรือ แล้วไม่มีใครแตะต้องนางให้บอบช้ำใช่ไหม"

 

"มิได้ครับ ข้ากับฟูมู่กำชับและดูแลใช้ดาบจ่อคอให้สองนักบวชเดินเข้ากรงไปเอง พวกเราไม่ได้แตะต้องนางแม้แต่น้อย ไร้ราคี ไม่เสียราคาแน่นอนครับนายท่าน"

 

"จากนิกายอะไร? "นายผิงถาม

 

"เป็นนักบวชจากนิกายดวงตาดาราครับ"หัวหน้ามินตอบ

 

"นิกายอะไรไม่คุ้นหู"

 

"เป็นนิกายย่อยมาจากตำนานทวยเทพโบราณต่างแดนครับ เป็นศาสนาทำนายดวงชะตา พวกเขาจะบูชาทวยเทพเสมอๆ เป็นนิกายเล็กๆ มาจากศวาติ จักรวรรดิที่อยู่ข้างต้าจินของเรา ในต้าจินเองก็พอจะมีผู้คนนับถือจำนวนหนึ่ง ที่บ้านเกิดข้าน้อยก็มีนับถืออยู่ไม่น้อยครับ"โจรผู้น้อยร่างอ้วนตอบ ก่อนที่นายท่านผิงจะหันหน้ามาถามฟูมู่

 

"อย่างนั้นหรือ ข้าไม่ค่อยสนใจเรื่องศาสนาเท่าไร"นายผิงกล่าว ก่อนจับบ่าคนสนิท

 

"แล้วงามหรือเปล่า"คนสนิทผู้หนึ่งถาม

 

ซึ่งคำถามนี้ทำให้หัวหน้ามินยิ้มหัวเราะเล็กน้อยที่มุมปากก่อนตอบ

 

"เรียนนายท่าน ถึงนางสวมผ้าคลุมหน้าตามนิกายดวงตาดารา แต่ข้าว่านางงามมากทีเดียวครับนายท่าน มีน้ำมีนวล ผิวกายขาวผ่อง มีเรือนผมยาวสีน้ำตาลอมแดงดุจแสงตะวันยามเย็น ท่านอยากจะชมหน้าหรือไม่ครับ"

 

"นางงามทะลุอาภรณ์เลยครับ"ฟูมู่เสริม

 

"พอเป็นเรื่องของผู้หญิง อธิบายเสียละเอียดจริงนะพวกเจ้านี่"

 

"พวกข้าถือว่าเป็นคำชมนะครับท่าน"

 

นายผิงหัวเราะเสียงดังก่อนตอบทั้งสองด้วยความร่าเริง"พวกเจ้าตลกดีแท้ ถูกใจข้านัก ไหนขอข้ายลโฉมนักบวชสาวที่พวกเจ้าชมหนักชมหนาหน่อยแล้วกัน ว่านางงามจริงหรือไม่ ว่าแต่นักบวชเป็นผู้หญิงทั้งคู่เลยหรือเปล่า? "

 

"มิได้ครับนายท่าน เป็นนักบวชหญิงหนึ่ง เด็กนักบวชเด็กผู้ชายฝึกหัดหนึ่งครับ"หัวหน้ามินเป็นตอบขณะเดินนำนายท่านผิงไปยังเกวียนที่จองจำนักบวชไว้ "นักบวชฝึกหัดเป็นเด็กผู้ชายดูเอาเรื่องอยู่ไม่น้อย มันอายุประมาณสิบขวบปี เนื้อตัวดูสะอาดสะอ้าน ข้าก็คิดว่าขายได้ราคางามในเมืองมารครับ"

 

นายผิงหลังได้ฟังก็หัวเราะชอบใจก่อนพูด"ฟังดูไม่เลว นักบวชสตรีกับเด็ก ฟังดูสินค้าเลอค่าเลยทีเดียว ราคาคงจะงามน่าดูชม...ข้าจะตอบแทนพวกเจ้าทุกคนอย่างดีทีเดียว"

 

"ข้าน้อยรับทราบแล้ว จะไม่ทำให้นายท่านผิงผิดหวังครับ "หัวหน้ามินตะโกนด้วยความหนักแน่นเอาใจนาย ทั้งหมดเดินมาถึงหน้าเกวียนที่นักบวชอยู่ หัวหน้ามินไม่รอช้ารีบไขกุญแจโซ่ตรวนที่พันธนาการทางเข้าเพียงทางเดียวออก และเมื่อเสียงปลดพันธนาการดังขึ้น หัวหน้ามินไม่รอช้ารีบเปิดกรงออกและเชิญหัวหน้าผิงเข้าไป "เชิญเลยครับนายท่านผิง"

 

ภายในเกวียนเหล่าเด็กน้อยหลับกันหมดแล้ว ยกเว้นเสียแต่นักบวชสาวที่นั่งรอการมาของพวกเขา เธอรับรู้ได้จากนิมิตของพระเจ้า "ท่านกลับไปเสียเถิด ข้าไม่อาจให้สิ่งที่ท่านต้องการได้หรอก" สิ้นเสียงนักบวชสาว

 

เหล่ากองโจรชะงักงัน เหตุใดนางจึงรู้?

 

"หืม เสียงเจ้าช่างไพเราะยิ่งนัก" ราวกับยิ่งพูดเหมือนยิ่งยุ หัวหน้าผิงตรงไปยังนักบวชสาว หมายจะดึงผ้าคลุมหน้าของนางออก

 

พลั่ก!!

 

ไม่ทันรู้ตัว ร่างของหัวหน้าผิงก็เซจนเกือบลงบนพื้นเกวียน

 

"นายท่าน!! " หัวหน้ามินรีบเข้าไปพยุงร่างของหัวหน้าผิงทันที

 

"ปล่อยข้า!! " ชายร่างเล็กเดือดดาล สะบัดมือที่เข้ามาพยุงแขนของเขาไว้ออกทันที

 

"หากเจ้าคิดจะแตะต้องนางอีก ข้าจะไม่ไว้ชีวิตพวกเจ้า"เด็กหนุ่มนามเวทินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกี้ยวกราด เขาขยับตัวบังอาจารย์ของเขาไว้ แม้มือจะถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนหนักอึ้ง

 

"ไอ้เด็กนี่อยากตายนักรึไง!! "หัวหน้ามินกระตุกโซ่ตรวนหมายให้เวทินยอมจำนน หากแต่โซ่นั้นไม่ขยับแม้สักนิด

 

"หยุดเถอะทุกท่าน อย่าทำให้เด็กน้อยเหล่านี้เสียขวัญไปมากกว่านี้เลย" เสียงดังอึกทึกปลุกให้เด็กน้อยทั้งเกวียนตื่น เสียงร้องไห้เริ่มระงมระเบ็งเซ็งแซ่ นักบวชสาวเห็นว่าท่าไม่ดี ตัวเวทินเองก็เริ่มควบคุมตนเองไม่ได้จึงเข้าเจรจาห้ามปรามทั้งสองฝ่าย

 

"หึ ข้าเห็นว่าเจ้าขอหรอกนะ พรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้าอีกที"หัวหน้าผิงพูดขึงขังแฝงไปด้วยความกลัวที่ไม่อาจอธิบาย ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ เท่านั้น แต่สัญชาตญาณของเขาบอกให้เขารีบเดินออกไปจากเกวียน

 

"เฮ้อ เอาล่ะ อย่าได้เสียเวลามากความ พวกเจ้าเร่งมุ่งหน้าตรงไป ไม่ช้าจะเจอค่ายหลัก พวกเจ้าไปได้แล้ว รุ่งสางเราจะเร่งเดินทางให้ไปถึงท่าเรือ ก่อนที่ทางการจะตามมาทัน"นายผิงกล่าวกับเหล่าลูกน้องทันทีเมื่อลงจากเกวียนแล้ว

 

"เช่นนั้นพวกข้าน้อยขอลา จะเร่งเดินทางไปยังค่ายในทันทีครับ"

 

เมื่อกล่าวคำลาเสร็จ หัวหน้ามินและฟูมู่ก็ออกเดินทางพร้อมขบวนกองเกวียน มุ่งตรงไปยังค่ายหลักอันเป็นที่พักค้างแรม

 

นายผิงและพวกมองจนลับสายตา เขาหันไปกระซิบถามคนสนิท

 

"เจ้าคิดว่าท่านขุนนางมารจะพึงพอใจในบรรณาการของข้าหรือเปล่า"

 

เขาหันไปถามสองคนสนิทที่ติดตามมาด้วยกัน ทั้งสองเปิดผ้าคลุมออกมา เผยให้เห็นร่างอสูรชายหญิงลักษณะคล้ายรูปร่างมนุษย์ ทั้งความสูงและท่าทาง ...

 

แต่มีเขาคล้ายกับเขาสัตว์อยู่กลางศีรษะ และดวงตาสีเขียวชวนขนลุก

 

"ท่านขุนนางของพวกข้าจะต้องพึงพอใจมากแน่ นายท่านผิง มนุษย์เด็กชาวเหนือของต้าจิน กำลังเป็นที่นิยมทำเป็นอาหารในหมู่สัตว์เลี้ยงของหมู่มารอยู่พอสมควร แรงงานมนุษย์ก็เช่นกันด้วย ได้ข่าวว่าสู้งานดีกว่าพวกแรงงานชาวใต้"อสูรเพศชายกล่าว

 

"จริงหรือ ค่อยคุ้มค่าที่มาล่าค้าทาสคนแถบเหนือแดนกันดารเช่นนี้จริงๆ "

 

"แน่นอนท่านผิง ท่านขุนนางในแดนมารล้วนต้องการกำลังสนับสนุนอย่างมาก การที่ท่านให้ความช่วยเหลือ ย่อมเป็นที่โปรดปรานอย่างแน่นอน"อสูรสาวเอ่ย เธอสะบัดเรือนผมยาวสีเขียวออกมา มันส่องแสงอ่อนๆ เล็กๆ ออกมา เมื่อต้องกับแสงจันทร์

 

"ตอนนี้รวมแล้วสามสี่หมู่บ้านก็เกือบร้อยคนเข้าไปแล้ว เพียงพอตั้งตัวในการตั้งรกรากค้าขายในแดนมารครับ...เป็นจำนวนที่ไม่น้อยที่เดียว"

 

นายผิงลูบคางขอตน ก่อนเอ่ยถามต่อ "มีนักบวชอยู่ด้วย คงไม่เป็นอะไรใช่ไหม? "

 

"ไม่เป็นไรหรอก ขอท่านจงวางใจ การมีตัวตนของนักบวชไม่ใช่ปัญหา"อสูรปีศาจสาวกล่าว"พวกเรายินดีรับมนุษย์ทุกผู้มายังดินแดน เพื่อเป็นทาสที่ซื่อสัตย์"

 

"ข้าก็ตกใจทีเดียวเมื่อได้ยินครั้งแรก กลัวเจ้าสองตนจะตื่นตนกตกใจกันไปที่มีนักบวชด้วย มันเป็นเรื่องที่ชาวมนุษย์ทุกคนจะเข้าใจว่าปีศาจจะเกรงกลัวต่อพลังศักดิ์สิทธิ์"

 

"ไม่ครับท่าน การบริกรรมคาถาของนักบวชชั้นผู้น้อยนั้น มันจะทำอะไรชาวมารชั้นสูงอย่างเช่นพวกเราไม่ได้ครับ"

 

"ถ้าหากไม่แน่ใจ ท่านค่อยจัดการฆ่านางเสียก็ไม่สาย"อสูรสาวเสริม แต่นายท่านผิงผายมือโบกไปมา

 

"น่าเสียดายจริงถ้าจะฆ่าทิ้ง สู่เอาไปขายหรือมาปรนนิบัติข้าดีกว่า"นายผิงหัวเราะ อสูรสาวถึงกับชักสีหน้ารังเกียจออกมา

 

"เรื่องนี้ก็สุดแท้แต่ท่านจะจัดการเลย นายท่านผิง"อสูรชายกล่าว

 

"ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองมากที่คอยให้คำชี้แนะ เท่านี้การค้าในเขตมารทั้งหมดก็จะเป็นของข้า ฮ่าฮา"

 

"อย่าว่าแต่การค้าในเขตมารเลยครับ ไม่ว่าท่านปรารถนาสิ่งใดก็จะสมประสงค์"

 

"ข้าจะไม่ลืมพระคุณเจ้าสองคนเลย"

 

 


 

ในขณะเดียวกัน ณ หุบเขาอันห่างไกล

 

"เจ้าลมกรด เดินขึ้นไป เดินซิ! "

 

ซือหลินตะโกนใส่เจ้าลมกรด หรือก็คือชื่อของ 'เจ้าล่อ' ร่างบางตัวน้อยที่เขาเพิ่งซื้อมา มันพยายามก้าวขาทั้งสี่พาซือหลินขึ้นไปบนภูเขา เขาใช้ตะเกียงจดจ้องแผนที่ข้ามเขาอันซับซ้อน ไปพร้อมกับกระตุกบังเหียน

 

"เดินฝ่าหิมะก็จริง แต่ถ้าเดินช้าแบบนี้เมื่อไรจะไปถึงกันเพื่อนยาก กราบล่ะ! "พูดพลางลูบลำคอเจ้าล่อ

 

การใช้ล่อเดินทาง เป็นเรื่องปรกติที่มันจะสามารถเดินทางในสภาพอากาศเชิงทรหด...มันมีความขึ้นชื่อว่าแบกของได้หนักกว่าลา และลำตัวปราดเปรียวกว่าม้า...

 

แต่กับเจ้าลมกรด มันห่างไกลจากความเป็นล่อโดยสิ้นเชิง

 

มันทั้งผอม กำลังวังชาน้อยและใจเสาะอย่างน่าเหลือเชื่อ

 

ซือหลินขึ้นเขาอันเป็นเส้นทางลัดตั้งแต่ตะวันไม่ลับ จนตอนนี้มืดมิดต้องอาศัยแสงไฟจากตะเกียง

 

"จำได้ไหมว่าข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร...'ข้าขอตั้งชื่อให้เจ้าว่าลมกรด...ดังนั้นได้โปรดเคลื่อนองค์ไวขึ้นได้ไหม! ' ได้ใช่ไหม? "

 

"ฮืม ฮืม" ดูเหมือนเป็นคำตอบจากเจ้าลมกรดว่า ฉันก็เดินได้เร็วสุดเท่านี้แหล่ะ ประมาณนั้น

 

"ฟานลูกพ่อ ...กลางคืนแล้วเจ้าจะได้กินข้าวหรือยังนะ นอนหลับไหมนะ? "

 

ชายวัยกลางคนนึกถึงลูกน้อย ตามปรกติเวลานี้คงเป็นช่วงเวลาอาบน้ำของเจ้าตัวน้อย ให้ดื่มนมอุ่นๆ และทานอาหารอ่อนๆ สำหรับเด็กทารก จากนั้นก็แกว่งไกวผ้าเปล ท่ามกลางเสียงขับกล่อมจากเหล่าจั๊กจั่นเรไร ...

 

เมื่อคิดถึงลูก ชายวัยกลางคนก็ฮึดสู้ต่อ

 

"ไปกันเถอะลมกรด! ฟานลูกข้ารอเราไปช่วยอยู่นะ!! " ซือหลินพูดด้วยน้ำเสียงปลุกใจเจ้าลมกรด ที่ยังคงตอบเขาด้วยเสียงฮืมๆ เช่นเดิม ประหนึ่งต้องการบอกว่า ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าฉันวิ่งเร็วได้เท่านี้แหละตาแก่เอ้ย!

 

...และสถานการณ์ของซือหลินและเจ้าลมกรดก็เป็นเช่นนี้ ซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งคืน

 

 


 

 

 

 

 

error loaded

เจ้าล่อถ้าพูดได้ เรื่องนี้จะเจอตัวละครขี้บ่นสองตัวเลย5555 Cr.ภาพฟรีของคุณDaniel Fazio เป็นล่อจากสวิตฯ ครับ

 

ในขณะที่ซือหลินกำลังวนลูปอย่างเมามันกับลมกรด ทางฟาน นักบวชหหลี่และเวทินก็เริ่มเข้มข้นครับ เล่าซักนิดตอนแรกบทนักบวชหญิงตั้งใจจะเป็นไต๋ซือพระจีนหนวดเฟิ้มด้วยล่ะ แต่ไรท์รู้สึกว่านิยายเรื่องนี้จะล้อมผู้ชายมากเกินไป เลยบู้ม กลายเป็นสาวงามในตอนนี้ค่า ฮาฮา //ตอนที่2เป็นตอนแรกที่ลองจัดหน้ากระดาษใหม่ดู ถ้าใครชื่นชอบแบบไหน บอกกันได้น่า ฝากติดตามตอนที่3กันด้วย ลงวันพรุ่งนี้จ้า

 

error loaded