sds

 

บทที่ 1 สองพ่อลูกซือหลินและฟาน

 

 

"ผู้ใหญ่บ้าน ท่านอยู่หรือเปล่า!? "ซือหลินตะโกนถาม เขายืนตรงหน้าบ้านผู้ใหญ่บ้านแห่งป่าเหมันต์ชั่วครู่ ทว่าไร้เสียงหรือวี่แววใดๆ ตอบรับกลับมาแม้แต่น้อย

 

 

ท่ามกลางช่วงเวลาซึ่งตะวันเริ่มจะตกดิน ชายวัยกลางคนกำลังจะเดินไปเคาะประตูบ้าน ก็พลันมีคนออกมาเสียก่อน

 

 

"ผู้ใหญ่บ้านไม่อยู่หรอกพี่ชาย...ท่านออกไปแจ้งทางการเรื่องโจรบุกหมู่บ้าน คงหนึ่งหรือสองวันกว่าจะกลับ! "ชายร่างเล็กหัวล้านตอบ

 

 

แม้ว่าจะอายุมากกว่าซือหลินหลายปี แต่ก็พูดให้เกียรติโดยเรียกว่าพี่ชาย ซึ่งเขาพยายามจะไม่ใส่ใจในเรื่องนี้

 

 

"...ถ้าอย่างนั้นใครดูแลหมู่บ้านยามนี้เล่า? "

 

 

"ข้าเอง อารัน อย่างไรเล่า"

 

 

ชายชราตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ เขาดูอ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องตนเองได้ด้วยซ้ำ

 

 

แต่ซือหลินคิดว่าเขาคงมีฝีมือ ได้รับความไว้วางใจในระดับหนึ่งจากผู้ใหญ่บ้าน แม้ว่าภาพลักษณ์สังขารจะดูไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก ซึ่งหากกล่าวตามจริง ตัวซือหลินเองก็ไม่มีสิทธิวิจารณ์

 

 

โดยเฉพาะเรื่อง'สังขาร'ได้เลย

 

 

"เช่นนั้นท่านอารัน ข้าขอฝากพวกกลุ่มโจรนี้ให้ท่านจัดการ มันบุกรุกบ้านข้า"

 

 

เมื่อพูดจบ ผู้เฒ่าอารันชะโงกดูด้านหลังของซือหลิน เขาถึงกับเอนลำคอเอียงศีรษะมองด้วยความประหลาดใจ

 

 

ร่างของเหล่าคนที่อ้างว่าบุกรุกเข้ามาในบ้านดูมีสภาพไร้เรี่ยวแรง สลบ ตาค้างเหมือนเจอเรื่องสยองขวัญมา นอนไร้สติอยู่บนเกวียนเหมือนกองฟางก็ไม่ป่าน

 

 

"เจ้า...จัดการคนพวกนี้เพียงลำพังตัวคนเดียวอย่างนั้นเหรอ? "

 

 

ดวงตาของอารันเพ่งมองซือหลินด้วยความสงสัย ชายวัยกลางคนถอนหายใจเฮือกใหญ่รอบหนึ่งก่อนตอบตาม

 

 

"หากได้ท่านช่วยส่งทางการ ก็มิถือว่าข้าจัดการเพียงลำพังแล้วล่ะ ข้าจะไม่แบกพวกมันไปส่งทางการให้ปวดกระดูกเอวไปมากกว่านี้แน่...ฝากท่านอารันส่งพวกมันให้ทางการด้วยนะ"

 

 

ซือหลินนึกถึงภาพอดีต...เขาต้องอุ้มพวกคนบุกรุกบ้านมาไว้ที่เกวียน แต่ละคนน้ำหนักและกลิ่นตัวความสกปรกไม่ใช่เบา

สำหรับชายวัยกลางคนกระดูกหลังปวดบ่อยๆ ผู้รักความอนามัยในบ้านเช่นตัวเขา มันช่างไม่ต่างจากการทรมานร่างกายและจิตใจ ขณะขนย้ายร่างสลบไสลไปบนเกวียน พลางมองข้าวของในบ้านที่พังพินาศต้องรื้อต้องทิ้ง ไหนจะลากรถมาที่นี่อีก

 

 

ชายวัยกลางคนก็ได้แต่ถอนหายใจ เป้าหมายของเขาที่อุตส่าห์ขนผู้บุกรุกมามีเพียงอย่างเดียวคือส่งให้ผู้ใหญ่บ้าน เอาไปส่งต้องที่คุกให้อีกที

 

 

"ยินดี ยินดีเลย ข้าจะพามันทุกคนไปขังไว้ ไม่ต้องกังวล"

 

 

"ตอนนี้ข้าต้องการม้าสักตัว พอจะไปหาได้ที่ไหนรึ? "

 

 

"ม้า เอาไปทำอะไรตอนนี้เล่า? "อารันถาม คงเพราะด้วยโจรเพิ่งมาบุกหมู่บ้าน ชายชราจึงระแวดระวังถามเพื่อความแน่ใจ ซึ่งซือหลินไม่คิดถือสาในจุดนั้น

 

 

"ข้าจะเอาไปใช้ในการเดินทาง ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ท่านอารัน? "

 

 

"...ปรกติมีบ้านลุงตู๋ขายม้า อยู่ถัดจากนี้ไปสองสามซอยข้างตลาด อาจจะช่วยเจ้าได้บ้าง"

 

 

"ขอบใจท่านมาก ข้าขอลา"

 

 

"โฮ่ย! เดี๋ยวก่อน...ข้าจะแจ้งทางการว่าจับคนบุกรุกบ้านชื่อใครเล่า? "เขาตะโกนถาม

 

 

ซือหลินคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปโดยไม่หันไปมองหรือหยุดเดิน

 

 

"ซือหลิน...บ้านซือหลินหนุ่มที่ขายสมุนไพร"

 

 

อารันผู้เฒ่ามองร่างเดินอย่างคนปวดหลังจากไป แล้วจึงแอบพูดขึ้นความว่า"อายุปูนนี้แล้ว ยังเรียกตัวว่าหนุ่มอีกหนอพ่อคุณ...แถมชื่อโหลซะไม่มี ชื่อซ้ำกับท่านผู้กล้าเลยวุ้ย...เฮอะๆ "

 

 

บ้านทุกหลังเงียบราวกับถูกปล่อยร้างกลางอากาศหนาวเหน็บ

 

 

เสียงแว่วคนร้องไห้และคนไอจามค่อกแค่กแผ่วเบาลอยตามสายลม ความเศร้าเหมือนล่องลอยกัดกินหัวใจทุกคนจนชวนหดหู่

 

 

ซือหลินใช้เวลาเดินไม่นานก็มาถึงบ้าน ใกล้กับตลาดที่ร้าง มีเศษผ้า เศษอาหารและข้าวของตกเกลื่อนกระจายไร้คนดูแลเต็มไปหมด

 

 

"ท่านตู๋ ท่านอยู่หรือเปล่า"ซือหลินตะโกนถาม

 

 

"ท่าน...ต้องการพบสามีข้า มีอะไรหรือเจ้าคะ? "หญิงสูงวัยนางหนึ่งขานรับก่อนเดินออกมาพบ

 

 

"ท่านหญิง คือข้าได้ยินจากท่านอารัน ว่าท่านตู๋สามารถหาม้าให้ข้าได้สักตัว ข้าจึงจะมาขอม้าจากท่าน"

 

 

หญิงชราชักสีหน้าเศร้า ไม่ทันพูดอะไรเสียงหนึ่งก็ดังมาจากในบ้าน "อะไรกัน!? ท่านไม่เห็นหรือว่าคนในหมู่่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง? "

 

 

"ท่านหมายถึง..." ซือหลินมองไปยังชายในบ้าน

 

 

"ข้า อาเฮียตู๋ผู้นี้หมายถึงลองดูภายนอกสิ มีคนบาดเจ็บเป็นสิบ ผู้หญิง ผู้ชาย พวกเด็กๆ ในหมู่บ้านถูกลักพาตัวไปสิบกว่าคน นี่ไม่รวมคนต่างถิ่นที่เดินทางมาที่นี่ด้วย หมู่บ้านเหมันต์เราเหลือแต่คนแก่เช่นเรา ที่เจ้าพวกโจรมันทิ้งไว้ไม่เอาไป! "อาตู๋เจ้าของบ้านคำราม

 

 

"ขออภัย ข้ามิเข้าใจว่าท่านจะสื่ออะไร? "

 

 

"โจรบุกมายังกล้ามาขอม้าข้าอีกรึ! ข้าไม่เหลืออะไรให้แล้ว! กิจการข้าอยู่กับครอบครัวและการปศุสัตว์มาทั้งชีวิต ตอนนี้ครอบครัวถูกโจรเข้ามาบุกลักพาคนในบ้านไป แถมม้าชั้นดีก็ไม่เหลือแล้ว ในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครอาภัพเท่าข้าหรอกนะ! ฮือ ข้าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว! "เขากัดฟันกรอด ก่อนทรุดตัวลงร้องไห้

 

 

"ท่านพี่ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ"ภรรยาของเขาเข้าไปประคอง"สามีข้ามีโรคอยู่แต่เดิม มาเจอเรื่องแบบนี้อีก อารมณ์จึงแปรปรวนง่ายพูดจาชวนสับสน ตัดพ้อไม่สมประดี หัวใจเขาเปราะบางเกินจะรับเรื่องราวทั้งหมดไหวค่ะ"

 

 

"ข้าต้องขออภัยที่พูดเช่นนั้นจากใจจริง ข้าเข้าใจว่าความสูญเสียเป็นอย่างไรท่านตู๋ และสำหรับข้าครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่ข้าจะไม่ยอมเสียไปเช่นกัน...ถ้าม้าของท่านช่วยครอบครัวข้าได้ ข้าให้สัญญาจะช่วยเหลือครอบครัวท่านอย่างเต็มความสามารถ ขอท่านจงไว้ใจข้าเถอะ"

 

 

"ท่านมีดาบมาด้วยนี่ ท่านเป็นมือปราบหรือว่าเป็นคนของทางการหรือคะ? "ภรรยาอาตู๋ถาม

 

 

"มิได้...ข้าเป็นคนขายสมุนไพรธรรมดาเท่านั้น"

 

 

"ฟ้าโปรด! แล้วคนอย่างเจ้าไปลำพังจะทำอะไรได้เล่า ฮือ ลูกพ่อ...ฮือ! "อาตู๋ยังคงตะโกนทั้งน้ำตา

 

 

"ท่านพี่ไปพักผ่อนก่อนเถอะเจ้าค่ะ"ตัวภรรยาเอ่ย ก่อนประคองร่างของสามีกลับเข้าไปพักข้างในบ้าน สักพักเธอจึงเดินกลับมาพร้อมกับก้มหน้าขอโทษต่อซือหลิน

 

 

"ต้องขออภัยที่เสียมารยาท เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราไม่มีม้าเหลือให้ท่านไว้ใช้แล้วล่ะเจ้าค่ะ"

 

 

"จะอะไรก็ได้ ข้าขอเพียงลู่ทางช่วยลูกที่รักของข้าเท่านั้น ท่านหญิงโปรดช่วยข้าด้วย"ซือหลินเอ่ยวิงวอน คำว่าลูกสะกิดใจให้ภรรยาของอาตู๋จ้องมองตัวซือหลินอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

"...ลูกของท่านอายุเท่าไรหรือเจ้าคะ? "ภรรยาอาตู๋เอ่ยปากถาม

 

 

"ฟาน...อายุถึงขวบปี"

 

 

ดวงตาของนางเศร้าหมอง ซือหลินไม่อาจทราบว่านางคิดอ่านประการใดอยู่ เธอหลับตาลงและพูดต่อ"ข้าเข้าใจแล้ว...ท่านคงรักและห่วงลูกมากเหมือนพวกข้าเป็นแน่..ตามข้ามาที่คอกสัตว์เถอะ"

 

 

คอกปศุสัตว์ขนาดใหญ่บัดนี้ดูเก่าผุพัง บางส่วนมีเชือกขาดผึง กลุ่มโจรคงเข้ามาทำลายบริเวณนี้ด้วยเป็นแน่

 

 

"เรามีเพียงเจ้าตัวนี้เท่านี้"ภรรยาอาตู๋นำร่างสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ออกมาให้ซือหลินเห็น

 

 

"ลา? ลาหรือ? "

 

 

"ล่อเจ้าค่ะ! มันตัวเล็กบอบบาง แบกของหนักมากไม่ได้พวกโจรเลยไม่เอาไป และมันก็ขี้กลัวเกินกว่าจะหนีออกไปจากคอก"

 

 

เจ้าล่อลำตัวสีซีดส่งเสียงร้องฮึดฮัดตลอดเวลา ตัวมันดูใหญ่เท่ากับลา มันมีดวงตาดูหวาดกลัวและตื่นคนพอสมควร

 

 

มันเหลือบมองซือหลิน เดินก้าวไปก้าวมาข้างภรรยาผู้เลี้ยงดูอยู่ครู่ใหญ่ ซือหลินเดินเข้าไปจับตัวมันใกล้ๆ มันเริ่มคุ้นชินและยอมสงบ ยืนนิ่งให้ซือหลินพิจารณา...

 

 

"ล่อก็ล่อ...ท่านหญิง ข้าขอซื้อมัน"

 

 

"ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ หากมันช่วยท่านได้บ้าง พวกข้าก็ดีใจมากแล้ว"

 

 

"โปรดรับไว้ด้วย น้ำใจของท่าน ข้าได้รับมามาก "พูดจบ เขาก็มอบถุงใส่เงินไปให้ถึงมือ หญิงชรารับไว้โดยดี ก่อนเอ่ยถามด้วยความกังวล

 

 

"ข้าขอถามสักข้อ ท่านจะไปที่ใดหรือ"

 

 

"คาดว่าโจรเดินทางไปที่เมืองท่าแดนเหนือเพื่อส่งคนที่จับไปลงเรือ ข้าต้องเร่งตามไปให้ทันก่อนจะสายไป"

 

 

"แล้วท่านรู้เส้นทางติดตามไปหรือ? "

 

 

"...เรียนตามตรง นอกจากเส้นทางเก็บสมุนไพร ถ้าข้ามเขาลูกอื่น ข้าไม่รู้ลู่ทางเท่าใดนัก"

 

 

"บ้านเราพอจะมีแผนที่เส้นทางเดินข้ามหุบเขาอยู่ มันอาจนำทางท่านไปได้อย่างว่องไว แต่มันทั้งกันดารทั้งยังเต็มไปด้วยสัตว์ป่าดุร้ายมากมาย แล้วถ้าท่านเดินทางชั่วยามนี้ต้องฝ่ากลางคืนของฤดูหนาวอีกด้วย ช่างเสี่ยงอันตรายยิ่งนัก ข้าใคร่ขอเตือนท่านว่าเราควรรอทางการมาช่วยดีกว่าหรือไม่? "

 

 

ซือหลินติดอานนั่ง ก่อนกระโดดขึ้นบนหลังของเจ้าล่อ เขาลองบังคับมันก่อนตอบอย่างรวดเร็ว"ก็ฟังดูคุ้มค่าที่จะเสี่ยง หากนำข้าไปพบลูกฟานกลับมาได้...ท่านหญิงโปรดนำแผนที่ท่านมาเถอะ"

 

 

 


 

 

 

ณ อีกฟากหนึ่ง ในกรงขังบนเกวียน

 

 

กาลครั้งหนึ่งไม่ช้าไม่นานมานี้ ...

 

 

ในทวีปนามว่า เอซิเรีย เป็นดินแดนกว้างใหญ่อันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่าสรรพชีวิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างพวกเรา เผ่าชาวปักษาที่สามารถโบยบินบนท้องฟ้า เผ่าพันธุ์สัตว์อสูรที่มีพละกำลังวังชา เผ่าบาดาลที่อาศัยอยู่ใต้พื้นพิภพ รวมทั้งเผ่าปีศาจอีกด้วย

 

 

กระทั่งวันหนึ่ง จ้าวฑิคา จ้าวผู้เป็นใหญ่ในหมู่มาร ผู้มากด้วยเวทมนตร์คาถาลี้ลับ สามารถพิชิตอาณาจักรฝ่ายมารทั้งปวงให้อยู่ภายใต้อาณัติ เป็นปึกแผ่นเอาไว้ได้ผลสำเร็จ ชื่อเสียงของจ้าวฑิคาเป็นที่ยกย่องและเป็นที่ยำเกรงไปทั่วเอซิเรีย จนได้รับขนานสมญานามว่าจอมมารผู้ยิ่งใหญ่

 

 

แต่แล้วประมุขมารผู้ทะเยอทะยานของเหล่าปีศาจ กลับไม่พึงพอใจในสิ่งที่ตนมี ความโลภกระหายในอำนาจบารมีที่เป็นอยู่ จ้าวฑิคาคิดการใหญ่ยิ่ง นั่นคือยึดครองแผ่นดินเอซิเรียทั้งหมดไว้ในกำมือ เพื่อขึ้นเป็นนายเหนือหัว จ้าวชีวิตของสรรพชีวิตทั้งมวลอย่างเบ็ดเสร็จ

 

 

ฝ่ายมารจึงเริ่มรวบรวมกองกำลังพรรคพวกใหญ่น้อย เข้ารุกรานแผ่นดินต่างๆ ทั่วทั้งเอซิเรียเต็มไปด้วยความโกลาหล

 

 

ในเวลานั้นทางฝ่ายจักรวรรดิของมนุษย์ และเหล่าอาณาจักรน้อยใหญ่ที่ไม่เห็นพ้องกับการรุกรานของพวกมาร ก็จับมือประกาศตนเป็นพันธมิตรร่วมมือกันเข้าต่อสู้ โดยกองทัพของจักรวรรดิต้าจินซึ่งมีองค์จักรพรรดิเป็นผู้นำทัพเป็นกองกำลังหลัก สงครามต่อสู้ยืดเยื้อเป็นเวลานานหลายปี ขณะที่ฝ่ายมนุษย์กำลังอ่อนล้าเสียทีนั่นเอง

 

 

ท่านผู้กล้าซือหลินก็ปรากฏกายขึ้น...

 

 

"อ้อ.. อ๊อ! "เสียงทารกร่างอวบอ้วนบนตักของนักบวชหญิงสาวดังขึ้น

 

 

"จุ๊ๆ ฟังอาจารย์หลี่พูดก่อนนะ "เวทิน เด็กชายในชุดนักบวชฝึกหัดสีฟ้าสว่างกล่าว เด็กน้อยจ้องนิ่ง ก่อนจะหยุดพูด

 

 

"จากนั้นเกิดอะไรขึ้นคะ? ท่านนักบวช"เด็กหญิงชาวบ้านคนหนึ่งถาม เด็กคนอื่นประมาณเจ็ดแปดคนก็เช่นกัน นักบวชหญิงยิ้มก่อนเธอจะเล่าต่อ...

 

 

"ท่านผู้กล้าซือหลินปรากฏกายออกมาพร้อมกับดาบวิเศษ ดาบที่สามารถกำราบพวกมารจนชะงักงัน ท่านผู้กล้าได้นำเหล่าวีรชนผู้เก่งกาจมากมายไปรบกับปีศาจร้าย จากนั้นสถานการณ์ก็พลิกผัน ฝ่ายมารเริ่มพ่ายแพ่้แก่กลุ่มท่านผู้กล้า จนท่านผู้กล้าสามารถขับไล่พวกมารออกไปได้ จวบจนถึงนครศักดิ์สิทธ์ิอันเป็นป้อมปราการของแดนชาวมนุษย์เราเลยทีเดียว"

 

 

ว้าว! เสียงชื่นชมจากในกลุ่มเด็กเอ่ยขึ้น

 

 

"แล้วจอมมารล่ะ ผู้กล้าเอาชนะจอมมารได้หรือเปล่า"เด็กคนหนึ่งถามแทรกขึ้น

 

 

"จอมมารหลังเข้ามาต่อกรกับทัพผู้กล้าในนครศักดิ์สิทธิ์ ก็ต่อสู้กับท่านผู้กล้า จอมอาคมและผู้ถือดาบวิเศษเข้าปะทะกัน ทั้งสองต่อสู้ดุเดือดสูสี แต่ท้ายที่สุดผู้กล้าก็เอาชนะได้ในที่สุด จ้าวฑิคาถอยทัพกลับเมืองมารไป และไม่กล้ามารุกรานมนุษย์อีกเลยนับแต่นั่น..."

 

 

ว้าว...ทุกคนต่างร้องเสียงเดียวกัน

 

 

"แอ้! แอ้! "

 

 

"จุ๊ๆ น้องเด็กดี เงียบก่อน"เวทินเอ่ยทักอีกครั้ง

 

 

"อู้...บู..." ทารกหันมอง ทำตาหวานยิ้มร่า ก่อนอมฝ่ามือตัวเองเล่นแทน...

 

 

"แล้วท่านผู้กล้าล่ะ ท่านผู้กล้าเป็นยังไงบ้าง"เด็กคนหนึ่งยกมือถามขึ้น นักบวชหญิงจึงเอ่ยต่อ

 

 

"หลังจากท่านผู้กล้าเอาชนะจอมมารได้ ก็ไม่มีใครพบท่านอีกเลยหลังจากนั้น แต่เราเชื่อว่าท่านผู้กล้าคงกำลังออกเดินทาง เพื่อผดุงความยุติธรรมในที่ต่างๆ อยู่ก็เป็นได้"

 

 

"ท่านผู้กล้าจะมาช่วยพวกเราไหม"ใครสักคนเอ่ยขึ้นมา

 

 

...ความเงียบเกิดขึ้นจนกระทั่งนักบวชเอ่ยด้วยสีหน้าที่จริงจัง

 

 

"เรื่องราวของผู้กล้าสอนอะไรเราได้หลายอย่าง อย่างน้อยๆ ก็สอนว่าเราจะต้องมีความมุมานะและความกล้าหาญ ข้าจะคอยดูแลพวกเจ้าเอง เอาล่ะตอนนี้พักผ่อนไปกันเถอะ"

 

 

"เอาล่ะ ทุกคนเริ่มดึกแล้ว หาที่นอนพักกันก่อนเถอะนะ"

 

 

เวทินเอ่ย เขามองจนเด็กทุกคนพยายามล้มตัวหาที่นอนหลับกันจนหมด ก่อนคลานเข้ามาหาอาจารย์ของตน

 

 

"พวกมันจะพาเราไปไหนกันแน่นะครับ ท่านอาจารย์"นักบวชฝึกหัดถาม

 

 

"ตัวข้าไม่อาจรู้ใจของพวกเขาหรอก เวทิน"นักบวชหญิงตอบ พลางหลับตา

 

 

"แต่ท่านน่าจะเห็นจากนิมิตของท่านนะครับ"

 

 

นิมิต เป็นพลังของสาวกในนิกายนาม ดวงตาดาราแห่งการเวียนว่าย ที่ทั้งสองศรัทธารับใช้อยู่ ซึ่งยิ่งมีศรัทธาหรือพลังมนตราอาคมตบะที่แก่กล้า

 

 

สำหรับนักบวชหญิง เธอถวายคำสัตย์ในนิกายมาแต่เด็กจนปัจจุบันในวัยยี่สิบสามปี เธอมีพลังมากพอจะเห็นอนาคตอันใกล้ได้ด้วยดวงการหลับตาทำสมาธิ

 

 

"ข้าเห็นเพียงนิมิตเท่าที่ทวยเทพฉายภาพผ่านดวงตาของข้าเท่านั้น...บัดนี้ไม่เห็นสิ่งใดเลย"

 

 

"เราต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่งั้นพวกเขาอาจจะเอาเราไปขายเป็นทาสก็ได้"เวทินกระซิบด้วยความร้อนรน"ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะปกป้องท่านได้อย่างไรกันครับ? "

 

 

"เจ้าต้องใจเย็นๆ เวทิน"เธอปราบ แต่ลูกศิษย์หาเชื่อฟังไม่

 

 

"ข้าไม่ได้เชี่ยวชาญการสงบใจได้อย่างท่านนะครับ อาจารย์หลี่"

 

 

"อ้อแอ้"เสียงทารกไม่เป็นประสาดังขึ้น เด็กน้อยมองทั้งสองด้วยสีหน้าสงสัย

 

 

"เด็กคนนี้ก็คงคิดเหมือนกัน...อย่างน้อยก็โชคดีที่เราช่วยเด็กคนนี้ไว้ได้นะครับ"เวทินกล่าวราวกับภาพเหตุการณ์ฉายซ้ำอีกครั้ง

 

 

เด็กทารกเกือบถูกโจรชั่วยกดาบจะฆ่าทิ้งเสียขณะนำตัวมา สาเหตุเพราะทารกตัวน้อยร้องไห้ลั่นขึ้นมา

 

 

โชคดีที่ท่านอาจารย์เข้าไปขอชีวิตและนำมาดูแลเอง เด็กน้อยทารกหยุดร้อง โจรผู้นั้นจึงอนุญาตเลยรอดตายมาได้

 

 

"เชื่อว่าไม่ว่าใครเห็น ก็ต้องทำอย่างที่อาจารย์ทำ ช่างน่าสงสาร ป่านนี้พ่อแม่ของเด็กที่เป็นห่วงมากแค่ไหนกันหนอ? "

 

 

"อ้อแอ้"เด็กน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ยิ้มแก้มเต่งตึง

 

 

เวทินแอบมองกรงขังก่อนเอ่ยขึ้น"ข้าจะลองหาวิธีดู เมื่อก่อนข้าสะเดาะกรงกับกุญแจได้บ่อยไป"

 

 

"ช้าก่อน...ใจเย็นๆ เวทิน ไม่ต้องหรอก การช่วยเหลือกำลังจะมาถึงในไม่ช้า"

 

 

เวทินหยุดนิ่งหันขวับมามองอาจารย์ซึ่งหลับตาอยู่ทันที"ท่านอาจารย์หลี่เห็นนิมิตแล้วหรือครับ? "

 

 

"ช่างน่าประหลาด ช่างน่าประหลาด"นักบวชหญิงเอ่ย

 

 

"ท่านอาจารย์ส่งเด็กทารกน้อยมาให้ข้าดูแลเถอะ ท่านจะได้มีสมาธิกับนิมิต"

 

 

"...ไม่เป็นไร เวทิน จะดีกว่าหากตัวข้าอุ้มเด็กคนนี้ไว้ข้างกาย"

 

 

เวทินสงสัยก่อนถามต่อ"ข้าไม่เข้าใจสักนิด ทวยเทพทรงอธิบายสิ่งใดต่อท่านหรือ"

 

 

"...ข้าบอกเจ้าไม่ได้ แต่จะดีกว่าให้เราสองคนเพียงดูแลเด็กในกรงขังทุกคนอย่างดี เราก็จะผ่านช่วงเวลาเลวร้ายไปได้"

 

 

"นิมิตที่เห็นท่านแจ้งข้าให้เตรียมการอะไรหรือไม่ครับ? "

 

 

นักบวชหญิงยังคงหลับตาและพูดขึ้น"ทวยเทพทรงบอกข้าว่า มีความเป็นไปได้ต่อเรื่องราวนี้มากมายนับล้านรูปแบบ การกระทำของเจ้าอาจชักนำเราไปสู่บทสรุปที่ยากจะคาดเดา จะดีกว่าหากเจ้าไม่พังกรงขังแห่งเกวียนนี้...จวบจนแสงสุดท้ายแห่งวันพรุ่งจะมาถึง"

 

 

"แสงสุดท้ายแห่งวันพรุ่งหรือครับ หรือว่าหมายถึงตะวันขึ้นในเช้าพรุ่งนี้กัน" เวทินทบทวนคำพูดปริศนา "ถ้ายังไม่เห็นลู่ทาง ขอท่านอย่าได้ขวางข้า ข้าจำต้องสะเดาะกรงขังเพื่อช่วยทุกคนออกไปนะครับ"

 

 

"ตะวันขึ้นหรือ...อย่างเจ้าว่าก็ได้"นักบวชสาวพูดพลางลืมตาออกจากนิมิต"ดูเหมือนความช่วยเหลือกำลังเดินทางมาถึงในไม่ช้า...ว่าไหมทารกตัวน้อย"

 

 

"โอ้ว! "

 

 

ฟาน ทารกตัวน้อยตะโกน ราวกับตอบรับกับคำพูดนั้น...

 

 

------------------------------------------------

 

 

บทที่1ได้พบลุงอารัน ลุงตู๋และภรรยา รวมถึงประวัติผู้กล้าจากการเล่าของอาจารย์หลี่ [หรือหมอแปลกไม่รู้ ที่แน่นอนคือไม่สปอยอนาคต #ฮา] ตอนนี้เขียนลงอย่างต่อเนื่องบทที่1ถึง3กันไปเลย เราจะไม่หยุดยั้งความมันส์และสนุกสนานยิ่งๆ กันขึ้นไปเลยจ้าไรท์ขอการันตี ฝากรีดทุกท่านอย่าลืมกดAdd นิยายลงชั้นหนังสือกันด้วยน่า : W : /

ป.ล.ล่อตัวน้อยก็ลักษณะหน้าตาประมาณนี้ [รูปฟรีจากpexelsจ้า]

 

 

error loaded

ซือหลินจะขี่ก็ได้ แต่ระวังปวดหลังนะ กระดูกยิ่งไม่ค่อยดีอยู่ ฮา

 

error loaded