“อยากตายอะ”

“เอ๊ะ?”

ยามบ่ายที่อากาศบนดาดฟ้าค่อนข้างร้อนอบอ้าว แต่ด้วยลมแรงที่พัดมาเป็นระยะเลยทำให้รู้สึกเย็นสบายอยู่เรื่อยไป เด็กสาวที่นอนแผ่หลาบนพื้นได้เอ่ยถ้อยคำแรกนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงซังกะตาย ส่งผลให้เด็กสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างหลุดคำอุทานออกมาด้วยความงงงวย มือที่กำลังระบายสีบนแผ่นกระดาษหยุดกึก

“คือว่านะ เห็นนี่ปะ” นิ้วผอมแห้งนั้นจิ้มจึกลงบนผ้าปิดแผลซีกแก้มซ้าย ภายใต้แผ่นผ้าขาวสะอาดนั่นคือรอยแผลสดใหม่ที่ยังไม่แห้งดี

“เมื่อคืนถูกพ่อตบเข้ามาเต็ม ๆ เลยแหนะ แล้วก็พล่ามแต่เรื่องซ้ำ ๆ เดิม ๆ อยู่ได้ เมาแล้วก็งี้ เข้าใจปะริน มันน่าเบื่ออะ พอเผลอทำหน้างั้นไปเลยโดยซ้ำอีกข้าง แล้วก็จัดมาอีกชุดใหญ่เลย” นิ้วเดิมเลื่อนไปแก้มซีกขวาที่มีผ้าปิดแผลสี่เหลี่ยมจัตุรัสเช่นเดียวกับแก้มซ้าย บนสันจมูกก็มีแผ่นปลาสเตอร์สีเนื้อปิดไว้อำพรางรอยแผลริ้วยาว

“อ่าฮะ แล้ว?” เรริน ยังคงไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก

“แล้วไงอะเหรอ? ก็กินข้าวไม่อร่อยเลยนะสิ เมื่อเช้าก็ถูกครูทักอีกว่าไปมีเรื่องไรมา ในห้องพวกปากหมานั่นก็แซวอีกว่าผัวซ้อม ออกมานอกห้องก็ถูกมองแล้วซุบซิบกัน อ๊า~ เฮงซวยฉิบ” เด็กสาวแหกปากโวยวายลั่นอย่างอึดอัดใจ

“เอาน่าเลม ยังไม่ชินอีกเหรอ ทำอย่างกับเพิ่งโดนครั้งแรกแหนะ”

“ก็มันไม่ได้เจอทุกวันน่ะสิ” ไลเลม โอดครวญ

“เจ็บแผลไม่เท่าไหร่ เจ็บใจสิมากกว่า ทั้งครูที่เห็นประจำยังจะทักอีกนะ ไอ้พวกนั้นรู้อยู่แล้วยังจะล้อกันอีก พวกไม่รู้จริงก็ลือกันมั่ว ให้ตายสิ!”

“แล้วเกี่ยวไรกับอยากตายละ” เรรินถามพลางแกะหมากฝรั่งแผ่นรสมิ้นต์ออกจากห่อ ใส่ปากตัวเองแล้วเคี้ยวงุบงับ

“นั่นสินะ ขอบใจ” ไลเลมรับหมากฝรั่งที่เพื่อนแบ่งให้

“ก็แค่ เบื่ออะ ชีวิตฉันเจอแต่อะไรแบบนี้ตั้งแต่ประถมแล้ว จนจะจบมอปลายแล้ว ยังไม่หลุดพ้นสักที” ดวงตาที่ไร้ประกายคู่นั้นเหม่อมองท้องฟ้าสีครามสดใสไร้เมฆบดบัง

“ตาย ๆ ไปสักทีดีไหมนะ จะบ้านหรือโรงเรียนก็น่าอึดอัดไม่ต่างกันเลย อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้สึกสบาย เหมือนไม่มีที่ของฉันเลย”

“อื้อ ๆ สรุปเลมแค่เบื่อชีวิตแล้วว่างั้น” เรรินงึมงำ สองมือสาละวนอยู่กับการไล่เก็บสีไม้ที่กระจัดกระจายเพราะเธอเอาออกมาใช้แล้ววางมั่วไปทั่ว

“อือ งั้นแหละ” พอเห็นเรรินเริ่มเก็บของ ไลเลมก็ลุกขึ้นนั่ง สองมือสางเส้นผมสีดำสนิทที่สั้นเสมอหู มันยุ่งฟูเล็กน้อยจากการที่เด็กสาวนอนกลิ้งไปมาบนพื้นดาดฟ้า ด้วยความที่เป็นคนผมฟู แค่ขยับไม่กี่ครั้งหัวก็เสียทรงเป็นรังนกไปเสียแล้ว

เด็กสาวทั้งสองช่วยกันเก็บอุปกรณ์ ทั้งแท่งสีไม้ทั้งกระจัดกระจาย กระดาษแผ่นใหญ่ที่ต้องช่วยกันพับเพื่อยัดลงแฟ้มใสขนาด A4 ซองขนมและแก้วน้ำที่พวกเธอเอามากินกัน พอเสร็จแล้วก็นั่งแต่งตัวให้เรียบร้อยเสียหน่อยเข้าห้องเรียน เนื่องจากพักเที่ยงใกล้จะหมดแล้วในอีกสิบนาที เสื้อที่เอาชายเสื้อออกมา ผมที่เสียทรง กระโปรงยับย่น จุดยิบย่อยเหล่านี้ล้วนมีผลให้ถูกครูต่อว่าและหักคะแนนก่อนเข้าห้องเรียน

“แล้วจะตายยังไงอะ” เรรินถามออกมา สองมือรวบผมสีดำขลับยาวถึงเอวมัดเป็นหางม้าสูงเสียใหม่ เพราะแรงลมบนดาดฟ้าทำให้ปอยผมถูกพัดจนฟูไปหมด

“ก็ฆ่าตัวตายไง” ไลเลมตอบกลับ พลางเร่งมือสางจอนผมที่ยาวระคอให้หายพันกัน

“เอาจริงดิ! เมื่อไหร่อะ?” ดวงตากลมโตสดใสเปี่ยมไปด้วยความใคร่รู้ เพ่งมองใบหน้าไร้อารมณ์ที่หันมามองเธอกลับ

“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นเลย แต่คงสักวันหนึ่งแหละ”

“อะไรละนั่น ฟังดูเลื่อนลอยชะมัด อย่างน้อยก็กำหนดวันไว้หน่อยสิ” เรรินยิ้มออกมา

“อย่างเช่น พรุ่งนี้ มะรืนนี้ หลังสอบเสร็จ ก่อนสิ้นเดือน อะไรแบบนี้อะ”

“ก็จริง แต่คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้หรอก” ไลเลมเริ่มเห็นด้วย เด็กสาวทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“อีกหนึ่งร้อยวัน ฉันจะฆ่าตัวตาย” ดวงตาสีเขียวเข้มที่มักหมองหม่นอยู่เสมอฉายประกายขึ้นมาครู่หนึ่ง

“ทำไมต้องหนึ่งร้อยวันอะ ฆ่าตัวตายจะทำตอนนี้เลยก็ได้นะ เนี่ย โดดลงไปแป๊บเดียวรับรองตาย” เรรินชี้ไปที่พื้นที่ขอบดาดฟ้า แม้จะมีการทำขอบสูงกั้นขึ้นมาราว ๆ ครึ่งเมตร แต่ก็เตี้ยพอที่จะทำให้ตกลงไปได้

“ก็...ระหว่างนั้นมันมีอะไรที่อยากทำด้วยอะ ทั้งทัศนศึกษา งานเทศกาล เยอะแยะเลย”

“เออแฮะ จะตายทั้งทีก็ต้องเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อยก่อนสิเนอะ งั้นอะไรที่อยากทำก็ต้องทำให้เต็มที่” แล้วเรรินก็ลุกขึ้นยืน

“อีกหนึ่งร้อยวันงั้นเหรอ ฟังดูน่าสนใจดีแฮะ งั้นฉันเอาด้วย” เด็กสาวส่งยิ้มให้ไลเลม

“อีกหนึ่งร้อยวันฉันจะมีชีวิตอยู่” ประกายสดใสในดวงตาสีฟ้าคู่นั้นพลันเลือนหายไปแวบหนึ่ง

“แล้วหลังจากนั้นละ” ไลเลมถามขึ้น แววตาหม่นหมองคู่นั้นมองแผ่นหลังของเด็กสาวที่ยืนบิดตัวอยู่

“ก็ตายไง” เรรินตอบกลับ แล้วหันหน้ากลับมามองพร้อมรอยยิ้มอันสดใส

“เอ๊ะ!” เป็นคำตอบที่ทำให้ไลเลมตะลึงไปเลย

“ฮึ ๆ อึ้งเลยอะดิ งั้นมาเริ่มนับวันนี้เป็นวันแรกกันเลยเถอะ” พูดจบเรรินก็เดินนำลงจากดาดฟ้า

แล้วเด็กสาวทั้งสองก็เร่งฝีเท้ากลับห้องเรียนไป เนื่องจากจวนเจียนจะหมดเวลาพักแล้ว