ตอนที่ 4 เรื่องลับๆ ยามวิกาล


เมื่อกลับถึงบ้าน ลู่ผิงจวินที่สภาพแผลเต็มตัวถูกคนทั้งบ้านจับลากขึ้นไปนอนบนเตียง สั่งให้พักผ่อนเสียเดี๋ยวนั้น อย่างกับเขาเป็นคนป่วยใกล้ตาย โดนลมฝนนิดหน่อยจะเป็นลมล้มพับ

“.....”

จากนั้นเขาได้รับการบอกเล่าจากอวี้ฟาง ว่าเมื่อเช้า หลังพบว่าลู่ผิงจวินหายตัวไป คนที่บ้านวุ่นวายกันใหญ่ ทุกคนแยกย้ายกันหาตามละแวกบ้าน จนพวกลู่อวี้ฟางไปเจอเขาเสียก่อน

ลู่ผิงจวินนั่งกุมขมับ… คนบ้านนี้มันอะไรนักหนา กับแค่คนหายไปคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นตัวถ่วงของบ้าน จะปล่อยทิ้งไปสักคนไม่ได้หรือ

“เสี่ยวจวิน… เหตุใดเจ้าไปอยู่ข้างนอกได้ เมื่อคืนเจ้ายังอยู่ในห้องไม่ใช่หรือ?”

ท่านจอมมารไม่ใส่ใจจะตอบคำ เขานิ่งคิดเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเจอ แม้การอยู่บ้านนี้จะน่ารำคาญไปหน่อย แต่เมื่อพิจารณาตามสภาพปัจจุบัน ไม่นับเรื่องร่างกายอันแสนปวกเปียกนี่ เขายังไม่มีที่ให้ปักหลักแน่นอน เอาไว้ให้เขาหาไพร่พล รวบรวมกำลัง เรียกคืนสิ่งที่เคยมีตอนยังเป็นจอมมารมาได้ ค่อยหาเรื่องหลบไปจากนี่ก็ยังไม่สาย

“เจ้ายังเด็ก ทั้งยังร่างกายไม่แข็งแรง ต่อไปเจ้าอย่าหายไปแบบนี้อีกเลยนะ ถ้าอยากไปไหน หรืออยากได้อะไรเดี๋ยวข้าจะหามาให้เจ้าเอง” เด็กหญิงยังคงพูดเจื้อยแจ้วข้างหู แต่แล้วกลับชะงักไปเมื่อหันไปมองอีกทาง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยินดี “ท่านแม่!”

ลู่ผิงจวินเงยหน้ามองคนที่เพิ่งก้าวพ้นประตูเข้ามา ฮูหยินของบ้านนี้ นับเป็นสาวงามหาตัวได้ยากคนหนึ่ง เรือนร่างเพรียวระหงนั้น ติดออกจะผอมไปบ้างจากการตรากตรำระยะนี้ แม้กระนั้นก็ยังไม่อาจปกปิดรัศมีองอาจสง่างามซึ่งได้มาจากการเขี้ยวกรำตั้งแต่ยังเยาว์

“อวี้ฟาง แม่ต้มน้ำเอาไว้ เจ้าช่วยไปดูให้หน่อย”

เด็กหญิงพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย ก่อนเดินออกไป

ผู้มาใหม่เพียงพยักหน้ายิ้มอ่อนโยน หันมานั่งลงข้างๆ ลู่ผิงจวิน “จวินเอ๋อของแม่ เจ้าเล่นซนอะไรหรือ ไหนบอกมาหน่อยสิ” ลู่เชียวเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล นางยกมือขึ้นลูบข้างผมของเขาอย่างเอ็นดู

ท่านจอมมารชะงักไป

เขามองคนตรงหน้า นิ่งมองอยู่นานด้วยดวงตากระจ่างเบิกขึ้นเล็กน้อยราวกับกระรอกตัวเล็กๆ ผ่านไปชั่วอึดใจ เขาจึงหรุบสายตาลง

“ข้าเปล่า” เสียงของเขาอ่อนลงหนึ่งระดับ นึกถึงเมื่อคืนวานยามได้พบกับคนผู้นี้เป็นบางครั้งคราว จากนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนลุกขึ้น หลบการสัมผัสจากอีกฝ่าย

ลู่เชียวมองเขาอย่างฉงนเล็กน้อย “จวินเอ๋อ”

ขณะที่ท่านจอมมารกำลังจะเดินไปจากห้องนี้ เสียงนุ่มนั้นทำให้เขาชะงักฝีเท้า

“มานั่งนี่เถอะ เดี๋ยวแม่สางผมให้เจ้า ดีหรือไม่?” นางว่าพลางตบลงบนตั่งไม้ข้างๆ ขณะที่อีกมือถือหวีคอยท่าไว้แล้ว

ลู่ผิงจวินชั่งใจอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายเขายังคงนั่งลงตามที่อีกฝ่ายบอก เขาถอนหายใจเบาๆ รู้สึกแปร่งประหลาดพิกลจนไม่รู้จะวางตัวอย่างไร ขณะที่หวีเคลื่อนผ่านเส้นผมหนานุ่มของเขาอย่างเบามือ

จากที่เดินเหินไปมาสองสามวันมานี้ ท่านจอมมารพบว่า คนบนโลกนี้นิยมไว้ผมยาวมาก นั่นเป็นอีกเรื่องที่ค่อนข้างประหลาดสำหรับเขาผู้มาจากโลกที่ซึ่งบุรุษมักไว้ผมสั้น ขณะที่สตรีจึงไว้ผมยาว เขาเคยคิดว่าผมนี่ช่างรุงรังจนน่าตัดทิ้งอยู่หลายหน แต่ยังหาโอกาสไม่ได้เสียที

“ผมของเจ้านุ่มไม่ต่างจากเส้นไหม เจ้าน่าจะดูแลให้ดี”

ลู่ผิงจวินหลุบตาลงมองเหลี่ยมมุมผนังเบื้องหน้า “...ข้าไม่ชอบผมยาว”

“ทำไมหรือ?”

“เกะกะ เคลื่อนไหวลำบาก” เขาไม่อยากนึกสภาพตอนที่ต้องต่อสู้ แล้วผมปลิดปลิวพันแข้งพันขา อย่างพวกผู้หญิง เสื้อผ้ารุ่มร่ามหรือผมยาวเฟื้อยเหล่านั้น เป็นจุดอ่อนที่เหมาะแก่การกระชากทำให้หยุดเคลื่อนไหวได้ง่ายๆ

“เช่นนั้นก็รวบขึ้นดีหรือไม่ หรือจะถักเป็นเปีย?” นางหัวเราะเบาๆ กับความคิดตนเอง “อาฟางน่าจะชอบเวลาเจ้ายอมให้นางเล่นผมนะ”

ท่านจอมมารพ่นลมหายใจเบาๆ หากแต่ไม่ได้ว่าอะไร รอจนกระทั่งเรือนผมยวงยาวถูกรวบมัดไว้อย่างประณีต ผูกด้วยผ้ารัดผมสีเงินหยาบๆ เขาจึงลุกขึ้นเดินออกไป

ในบ้านดูเหมือนจะมีห้องเก็บของอยู่ห้องหนึ่ง ลู่ผิงจวินคาดว่าน่าจะเป็นที่สำหรับเก็บของที่หลงเหลือมาจากบ้านใหญ่ สมัยที่ครอบครัวนี้ยังมียศถาบรรดาศักดิ์ แน่นอนว่าไม่ได้มีของมีค่าอะไรนัก แต่เขาค้นเจอตำราเก่าสองสามเล่ม ร่วมถึงของสองสามชิ้น จึงฉกออกมา ระหว่างนั้น เขาเดินผ่านกระจกเก่าๆ บานเท่าตัวคน ตัวกระจกค่อนข้างงดงาม กรอบสลักลวดลายประณีต เพียงแต่มีรอยแตกร้าว รวมถึงรอยบิ่นหลายแห่ง

ท่านจอมมารชะงักนิ่งมองเงาของตนบนบานกระจก เขาพบว่า แม้คนบ้านนี้จะหัวอ่อนไปหน่อย แต่กลับมีจุดเด่นอยู่อย่างหนึ่ง คือแต่ละคนล้วนหน้าตาไม่มีขี้ริ้วขี้เหร่ อาจเพราะเป็นอดีตสกุลผู้ลากมากดีไม่เคยได้ทำงานตรากตรำ รวมทั้ง ท่านแม่ของเขา ลู่เชียว ก็นับได้ว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง พี่ๆ แต่ละคนจึงค่อนข้างมีหน้าตาคมสันสมส่วน ลู่อวี้ฟางเองยังมีเค้าลางความเป็นหญิงงามเจริญรอยตามมารดา รวมทั้งเขา ที่ดูราวกับรับเอาจุดเด่นของบุพการีมาอย่างหมดจด แม้ยังดูอ่อนเยาว์มาก แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่า หากเติบโตขึ้นอีกหน่อย ใบหน้านี้คงใช้ล่อลวงเด็กสาวได้ไม่น้อย

ท่านจอมมารลูบคางมองดวงหน้าเล็กๆ นั่น แม้ร่างนี้จะอ่อนแอบัดซบ แต่หน้าตาเช่นนี้ก็ยังพอประโลมใจได้เล็กน้อย...

ขลุกอยู่ในห้องเก็บของอยู่ครึ่งค่อนวัน เขาจึ่งหอบตำราเดินออกมาขณะครุ่นคิด

...ซั่งจื่อตายไปแล้ว...

เมื่อเช้า ระหว่างทางกลับมา เขาตรวจสอบลู่เชาหรง พี่ชายคนโตของบ้าน คนๆ นั้นไม่มีอะไรผิดปกติ ที่เหลือคือ เจ้าบ้านสกุลลู่…

ลู่ผิงจวินเห็นเป้าหมายนั่งอยู่ในห้องรับแขก จึงเดินเข้าไป วางตำราลงตรงหน้าลู่หรงซาน

“สอนข้า”

“เสี่ยวจวิน เจ้าอยากเรียนหนังสือหรือ?” ลู่อวี้ฟางเพิ่งยกน้ำชามาวางบนโต๊ะ มองตามตั้งตำราที่ลู่ผิงจวินหอบออกมา “เช่นนั้นเจ้าไปเรียนที่สำนักศึกษากับอาหยางดีหรือไม่?”

เจ้าบ้านสกุลลู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่านจอมมารพอจะเดาได้ การไปเรียนยังสำนักศึกษาต้องใช้เงิน แค่ค่าเล่าเรียนลู่หยางคนเดียวยังนับว่าเจียดเงินไปมากแล้ว ส่วนลู่อวี้ฟางนั้น คนในโลกนี้มีทัศนคติพิลึก ที่มองว่าสตรีไม่จำเป็นต้องเล่าเรียนสูงส่ง เพียงแต่สกุลลู่เคยร่ำรวยมาก่อน เด็กหญิงจึงเคยเรียนพื้นฐานเรื่องต่างๆ มาบ้าง

ส่วนลู่ผิงจวิน เมื่อก่อนเขาเคยมีอาจารย์สอนเช่นกัน เพียงแต่อาการป่วยออดๆ แอดๆ ทำให้เขาต้องเรียนบ้างหยุดบ้าง แม้จะเป็นเช่นนั้น ดูเหมือนเจ้าของร่างนี้ แต่เดิมยังชอบการเล่าเรียน ท่านจอมมารจึงพอจะรู้หนังสือโดยพื้นฐานอยู่บ้าง

แต่เรื่องนั้นยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ เขาเพียงแค่หาเรื่องมาเปิดบทสนทนาเท่านั้น “ข้าไม่ไปสำนักศึกษาอะไรนั่น พวกเจ้าแค่หาหนังสื-- ตำราพวกนี้มาให้ข้าก็พอ”

ท่านเจ้าบ้านกับอวี้ฟางได้แต่มองหน้ากัน

“ตำราของบ้านเรายังเหลืออยู่ไม่มากนัก เจ้าคัดอักษรพวกนี้ไปก่อน เมื่อเจ้าคัดจนหมด พ่อค่อยหาเล่มใหม่มาให้เจ้า ดีหรือไม่?”

ลู่ผิงจวินพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ดูเหมือนคนข้างๆ จะคิดมากแทนเขาไปแล้ว

ลู่อวี้ฟางรีบเสนอขึ้นอย่างกระตือรือร้น “เสี่ยวจวิน หนหน้าเจ้าไปเยี่ยมหลี่เจียลี่กับข้าดีหรือไม่? เจ้าก็รู้ว่าบ้านนางมีตำรามากนัก”

“อาฟาง” ลู่หรงซานปรามเบาๆ ทำให้เด็กหญิงเงียบไปทันที

ลู่ผิงจวินใช้นิ้วเคาะศีรษะ เรื่องที่ลู่หรงซานกังวล ไม่ใช่สาระสำคัญสำหรับเขา เขานิ่งไป ก่อนมองไปที่เจ้าบ้านสกุลลู่ "ท่านพ่อ" เด็กชายยื่นมือไปตรงหน้าอีกฝ่าย

ลู่หรงซานชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้หลบเลี่ยง มือเล็กๆ นั่นแตะลงบนปลายคิ้ว พลันเกิดประกายบางอย่างแว๊บผ่านเพียงชั่วขณะ จึงไม่มีใครทันสังเกต

ท่านจอมมารหดมือกลับมา "หน้าของท่านเลอะหมึก"

"อา..." เจ้าบ้านสกุลลู่ยกมือแตะบนหน้าตน ฉงนใจเล็กน้อยว่าเขาเลินเล่อจนเผลอทำหมึกกระเด็นใส่ตั้งแต่เมื่อไรกัน

หมดธุระแล้ว ลู่ผิงจวินจึ่งรวบตำราเหล่านั้นมาไว้ในอ้อมอกเสแสร้งทำตัวเป็นเด็กดีว่าง่าย “เช่นนั้นข้าขอตัวไปคัดตำราเหล่านี้ หากมีข้อสงสัยข้าจะมาถามท่าน...”

ลู่หรงซานเพียงผงกหัวรับรู้ มองเด็กชายเดินออกไป

หลังกลับถึงห้อง ลู่ผิงจวินโยนตำราเหล่านั้นไปอย่างไม่ไยดี เขาพลิกแขนเสื้อเลิกขึ้น เช็ดรอยหมึกที่เขียนอักขระเวทมนตร์ที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ออกไป ดีที่ในห้องเก็บของพอจะมีเครื่องเขียนมาใช้แทนปากกาขนนกได้บ้าง เพียงแต่ เขาเสียเวลาไปกับการฝึกใช้พู่กันของโลกนี้อยู่ครึ่งค่อนวันจนแอบสาปแช่งเหล่าช่างฝีมืออยู่นานสองนาน เหตุใดไม่คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่มันใช้งานง่ายกว่านี้ หา

ท่านจอมมารมองรอยหมึกที่เจือจางไปแล้วบนแขนตน

...เวทสอดแนม…

เวทมนตร์ที่ฝังในร่างคนอื่นเช่นนี้ มีเงื่อนไขซับซ้อนอยู่บ้าง หนึ่งคือเขาต้องสัมผัสผู้ถูกร่ายเวท อีกหนึ่งคือ อีกฝ่ายต้องไม่ต่อต้านเขาแม้แต่น้อย นั่นแปลว่าต้องให้ความเชื่อใจต่อผู้ร่ายเวทในระดับหนึ่ง ไม่เช่นนั้นจะถูกมนตร์สะท้อนกลับ เดิมทีมันเป็นมนตร์ง่ายๆ แต่กลับมีข้อจำกัดมากมายจนไม่นิยมใช้กันนัก ที่เขาใช้ ไม่ใช่เพื่อสอดแนม แต่เพื่อตรวจสอบ

หากร่ายเวทล้มเหลว แปลว่าคนผู้นั้นตั้งป้อมระวังเขา หากเวทสำเร็จ นั่นแปลได้ว่าคนผู้นั้นเชื่อใจเขา

เมื่อครู่ไม่ถูกมนตร์สะท้อนกลับ นั่นแปลว่าลู่หรงซานเห็นลู่ผิงจวินเป็นบุตรของตนจึ่งไม่คิดระแวง

"..."

หากไม่ใช่ลู่หรงซาน ไม่ใช่ลู่เชาหรง ถ้าอย่างนั้นความเป็นไปได้ยังเหลืออีกหนึ่ง…

...

กลางดึกคืนนั้นเขาลอบออกจากบ้านอีกครั้ง หนนี้เขาเตรียมตัวมาดีกว่าคราแรก จึงเปิดประตูออกมาได้อย่างราบรื่น เด็กชายตัวเล็กลัดเลาะไปตามทางเดินมืดสลัว คราวก่อนเนื่องจากต้องไล่จับมาร เขาจึงไม่มีโอกาสเดินทอดน่องชมทัศนียภาพยามวิกาลเช่นนี้ เขาพบว่าโลกนี้ช่างแตกต่างกับโลกเดินของเขานัก ที่ๆ เขาจากมา แม้กลางคืนจะเงียบสงบกว่า แต่หากเป็นเมืองใหญ่ๆ อย่างน้อยก็ยังคงมีร้างรวงหรือร้านเหล้าเปิดตามรายทางอยู่บ้าง แม้เขาจะเป็นราชาปีศาจที่อยู่ในปราสาทเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางครั้งคราวที่ปลอมตัวปะปนไปในหมู่มนุษย์ เพื่อสืบข่าวหรือหาของที่ต้องการอยู่บ้าง

เขาเดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงบ่อน้ำที่ๆ ซั่งจื่อตาย เด็กชายปลดย่ามที่สะพายมาด้วยลง ตักน้ำในบ่อขึ้นมาเทลงในชามที่หยิบมาจากบ้าน เขาใช้กริชเปิดปากแผลบนนิ้วออก หยดเลือดลงไปจนน้ำสีใสเจือจางกลายเป็นสีแดงอ่อน

ลู่ผิงจวินร่ายคาถาแผ่วเบา เวทนี้ถือเป็นเวทระดับสูงขึ้นมาหน่อย จึ่งต้องใช้เลือดปริมาณมากขึ้น เขาเริ่มรู้สึกถึงปัญหาอย่างหนึ่ง หากเขาต้องสังเวยเลือดทุกครั้งยามที่ใช้เวทมนตร์ ด้วยร่างกายเช่นนี้ ไม่ถึงครึ่งเดือน อาจได้เป็นลมล้มพับอย่างที่เจ้าพวกที่บ้านห่วงจริงๆ แน่ แต่เวลานี้เขายังคิดหาหนทางอื่นมาทดแทนไม่ได้จริงๆ หากใช้เลือดคนอื่น หรือเครื่องสังเวยอย่างอื่น… เมื่อไม่ใช่เลือดของผู้มีเวทมนตร์ หรือผู้มีเลือดพิเศษ ประสิทธิภาพจะยิ่งด้อยลงไป

น้ำในชามเริ่มกระเพื่อมราวกับมีชีวิต เงาสะท้อนเริ่มแปลเปลี่ยนเป็นรูปร่าง ปรากฏเป็นเงาตะคุ่มของใครสักคนผ่านเข้ามา เงานั้นคล้ายเป็นบุรุษ แต่ลักษณะการเดิน ดูโซซัดโซเซคล้ายคนเมาไม่ได้สติ เงานั้นดูเหมือนจะกระหายน้ำนัก จึ่งเดินไปยังบ่อน้ำ หวังจะตักขึ้นมาดื่มกิน แต่กลับเสียหลัก หัวทิ่ม พลัดตกลงไปเสียเอง

"......"

นั่นคือภาพสะท้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน ในเมื่อชายคนนั้นตกลงไปในบ่อน้ำเอง… เหตุการณ์นี้จึงถือว่าเป็นอุบัติเหตุ…

สรุปคือ เขามาเสียเที่ยวจริงหรือ

ในเมื่อเป็นอุบัติเหตุ เช่นนั้นอาจไม่เกี่ยวข้องกับจอมเวทที่เขาหาอยู่จริงๆ? หากไม่ใช่แม้กระทั่งซั่งจื่อ แล้วคนที่สวมเนื้อหนังของศพคืนชีพคนนั้นมันเป็นใครกัน หรือเขาต้องกลับไปนับหนึ่ง มองหาเบาะแสอื่น?

ไม่สิ ดูเหมือนเขาจะมองข้ามบางอย่างไป...

ท่านจอมมารขมวดคิ้ว เขาขยับไปใกล้ๆ กับริมบ่อน้ำ กวนน้ำในชาม วนเหตุการณ์กลับไป ม่านวารีกระเพื่อมไหว ชายที่ตกลงไปในบ่อแล้วคนนั้นย้อนภาพกลับขึ้นมาจากบ่อ กำลังยืนค้อมตัวก้มๆ เงยๆ หาทางตักน้ำ ลู่ผิงจวินส่องมองใบหน้าของชายผู้นั้นให้ชัดๆ

ใบหน้าของซั่งจื่อนั้น แม้ไม่ได้นับว่าโดดเด่นอะไร แต่ถึงจะกลายเป็นศพไปแล้ว อย่างไรเขาก็ไม่น่าจะจำผิดเป็นคนเดียวกับคนในม่านวารีที่เขาเห็นในเวลานี้อย่างเด็ดขาด

คนที่ตกลงไปในบ่อน้ำเมื่อวานไม่ใช่ซั่งจื่อ!

แต่ศพที่พบ กลับกลายเป็นซั่งจื่อ...

“....” ท่านจอมมารยกมือแตะขมับ หากมีการเล่นลูกไม้กับศพ เป็นไปได้มากว่าชางชินหานที่เข้าไปตรวจสอบจะมองออกได้ไม่ยาก จะเป็นเพราะเจ้านั่นไม่รู้จริงๆ หรือจงใจไม่บอกเขากันแน่...

จริงอยู่ว่าในสายตาผู้อื่น เขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง แต่เหตุใดจงใจบอกแต่เพียงครึ่งเดียว ซ้ำยังย้ำให้เขาระวัง?

น้ำในชามกระเพื่อมเล็กน้อย ก่อนภาพสะท้อนจะค่อยๆ เลือนหายไป อำนาจเวทมนตร์ของเขาหมดฤทธิ์แล้ว หากอยากสอดแนมต่อ เขาต้องรอวันรุ่งขึ้น คำนวณช่วงเวลาอันถูกต้อง จึงจะหาเบาะแสต่อไปได้… แบบนั้นดูจะยุ่งยากไปหน่อย

ขณะยกชามขึ้นตั้งใจจะเทน้ำทิ้ง เตรียมตัวกลับ เมื่อม่านวารีเปลี่ยนทิศทาง เงาภาพที่มองเห็นพลันหักเหไปอีกทาง ใต้เงาเลือนรางปรากฏเป็นคนผู้หนึ่งซึ่งหลบอยู่หลังแมกไม้ มองมาทางบ่อน้ำด้วยแววตานิ่งสงบ ในมือคล้ายกับถือวัตถุบางอย่างซึ่งดูย้อยย้วยคล้ายกับผ้าขี้ริ้ว ก่อนภาพทุกอย่างจะดับไป กลายเป็นเพียงชามใส่น้ำธรรมดา

ลู่ผิงจวินขมวดคิ้ว

...เขาจำคนผู้นี้ได้...

(จบตอน)