ตอนที่ 3 คนร้ายคือผู้ใด


ลู่ผิงจวินลืมตาขึ้น น่าจะเรียกได้ว่าเบิกตาโพล่ง เขารับรู้ว่าตนเองสลบไปขณะต่อสู้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงยกมือขึ้นกุมขมับ ส่ายศีรษะเบาๆ อย่างคนปลงตก ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง มองสำรวจสภาพตนเอง ไม่มีสิ่งใดหาย แต่เหมือนมีบางอย่างเพิ่มขึ้นมา นอกจากอาการเมื่อยล้า และ อาการปวดระบมทั่วทั้งตัว กับบาดแผลที่ถูกพันผ้าพันแผลอย่างดีแล้ว ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรมาก เขามองดูรอบๆ พบว่าตนนอนอยู่บนเตียงขนสัตว์นุ่มสบาย ทั้งห้องยังประดับตกแต่งอย่างดี แม้จะไม่หรูหราเท่าปราสาทจอมมาร แต่โดยรวมแล้วสะอาดสวยงาม

ท่านจอมมารก้าวลงจากเตียง ข้อเท้าซ้ายยังคงปวดแปลบ แต่เขาไม่คิดใส่ใจมากนัก ด้านข้างมีฉากกั้น เขารับรู้ว่ามีคนอีกสี่คนอยู่ในห้อง พวกเขาพูดคุยกันเสียงเบา จับใจความไม่ค่อยได้ เด็กชายจึงวาดมือขึ้น แล้วก็ชะงักไป เขาขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะหลับตาท่องคาถาเสียงเบา ไม่นานเสียงแผ่วๆ นั่นก็ดูแจ่มชัดขึ้น

“เหมือนมันจงใจเผยร่องรอยเพื่อล่อเราออกไป จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับมารที่เรากำลังค้นหาหรือไม่?”

“ลักษณะการลงมือดูต่างกันอยู่บ้าง... อีกอย่างศพนั่นตามทำร้ายเด็ก ...ศพที่สูญเสียชิ้นส่วนร่างกายไป มักเพรียกหาชิ้นส่วนที่ขาดหาย ไม่แน่ว่า คนที่เกี่ยวข้องกับเด็กนั่นอาจเป็นคนถลกเนื้อหนัง ดึงใบหน้าของคนๆ นั้นออกไป”

“จะมีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือ มารนั่นอาจปลอมตัวปะปนในหมู่คนเป็น”

เสียงเการุ่ยเซินพูดแทรกขึ้นมา “ร่างนั้นเริ่มเน่าเปื่อยจนไม่รู้รูปลักษณ์เดิม ที่เรารู้ มีเพียงแค่เจ้าของร่างเป็นชายเท่านั้น”

บุรุษอีกคนในห้องเพียงกอดอกฟังเงียบๆ เขาหันมาทางที่ลู่ผิงจวินยืนหลบอยู่หลังฉากกั้น “เจ้าฟื้นแล้ว”

ลู่ผิงจวินชะงัก แม้ตอนนี้เขาจะอยู่ในร่างเด็ก แต่ความสามารถในการลบตัวตนของเขาก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด คนๆ นี้รับรู้ถึงตัวเขาได้ในทันที หากประเมินคร่าวๆ คนผู้นี้น่าจะมีฝีมือจะระดับเดียวกับผู้กล้าชั้นแนวหน้าก็เป็นได้

ลู่ผิงจวินก้าวเดินออกไป หนึ่งในนั้นคือเการุ่ยเซิน อีกหนึ่ง หากเขาจำไม่ผิด น่าจะชื่อว่าชางชินหาน ส่วนอีกสองคน คือคนที่บังเอิญมาช่วยเขาเมื่อวาน สภาพยังคงพันผ้าพันแผลประปราย เมื่อไม่เห็นความจำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่อีก มือเล็กๆ จึงเลื่อนไปเปิดประตู เตรียมจะจากไป แต่ข้อมือกลับถูกคว้าไว้เสียก่อน

“ดื่มยาก่อนเถอะ” พอหันกลับไปจึ่งพบว่าเป็นชางชินหาน

เรี่ยวแรงจะสะบัดแขนออกก็ไม่มี ท่านจอมมารไม่ได้ยินยอมพร้อมใจอย่างยิ่งยวด แต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามอุ้มขึ้นได้อย่างง่ายดาย เขาควรยินดีหรือไม่ ที่ไม่ได้อยู่ในสภาพถูก 'หิ้ว' อย่างน่าอนาถเหมือนเมื่อคืนวาน

ท่านจอมมารกลอกตา

อยู่ในร่างเด็กช่างไม่สะดวกอย่างยิ่ง!

ชายหนุ่มอุ้มเขาไปทางโต๊ะเล็กริมหน้าต่าง มีถ้วยยาซึ่งยังอุ่นๆ วางอยู่

“ท่านชางชินหาน เอ้อ ให้ข้าช่วย...” เการุ่ยเซินทำท่าจะลุกขึ้น แต่อีกฝ่ายเพียงยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม ก่อนยกถ้วยยาขึ้นมาตรงหน้าเด็กน้อย

ลู่ผิงจวินมองถ้วยยา เขาถอนหายใจ “ไม่ต้อง ปล่อยข้าลงเถอะ”

ชายหนุ่มผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กๆ มองมาทางเขา “เลือดจากศพที่ยังไม่ถูกชำระล้าง เป็นพิษต่อร่างกาย เจ้าจะป่วยเอาได้”

ลู่ผิงจวินขมวดคิ้วมองกลับ “เจ้าจะให้ข้าดื่ม มีข้อแลกเปลี่ยนอะไร?”

ทั้งสองฝ่ายจ้องตากันไปมา หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ บรรยากาศพิกลยิ่งนัก คนรอบข้างกลับมองดูจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง ที่สุดแล้ว ชางชินหานกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

“ข้าจะตอบคำถามเจ้า”

คำนั้นทำให้ลู่ผิงจวินเลิกคิ้วขึ้นเล็กๆ “หืม...” เขาคว้าถ้วยยามาดื่มจนหมด

ตอนนี้เขาขาดแคลนทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งกำลังคน พลัง แต่สิ่งสำคัญสุดคือ ข้อมูล แม้เขาจะไม่คิดว่าเจ้าพวกนี้จะให้ข้อมูลกับเขาตามความเป็นจริง แต่แม้เป็นคำโกหก หรือไม่ตอบคำ ก็ถือเป็นข้อมูลเช่นกัน

หลังเท้าแตะพื้นได้แล้ว ท่านจอมมารก็ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ที่ถูกวางเบาะรองไว้ 6 - 7 ทบ ก่อนจะไขว้ขากอดอก มองคนที่ล้อมวงอยู่เหล่านั้น เอ่ยถามคำถามสามข้อ พวกเขาเป็นใคร มาจากไหน และ มีจุดประสงค์อะไร แม้เขาจะอยากรู้เรื่องเวทมนตร์ แต่เขาไม่ยินดีจะเผยข้อมูลของตนออกไป ฝ่ายตนคว่ำไพ่ อีกฝ่ายหงายไพ่ แม้เป็นไพ่แต้มต่ำ อย่างไรก็ไม่มีเสียประโยชน์

จากการถามมาตอบไปคร่าวๆ ลู่ผิงจวินจับใจความได้ว่า คนพวกนี้เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญมาจากสำนักบนเขา ห่างไกลออกไปหลายหลี่ มาที่นี่เพราะคำไหว้วานจากทางสำนักให้มาสืบหาต้นปลายสายเหตุของการหายตัวไปของผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสำนัก ดูเหมือนเรื่องราวจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านั้น แต่พวกเการุ่ยเซินไม่ได้เอ่ยถึงอย่างละเอียด

ลู่ผิงจวินครุ่นคิด เขาคิดว่าผู้ฝึกบำเพ็ญในโลกนี้ เทียบกับโลกเดิมของเขา น่าจะเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ ส่วนสำนัก อาจจะเทียบเคียงได้กับกีลด์ หรือ โรงเรียนเวทมนตร์? และจากบทสนทนาที่ได้ยินก่อนหน้านี้ คนพวกนี้ยังไม่แน่ใจว่ามารนั่นเกี่ยวข้องกับภารกิจที่ตามหาหรือไม่ ถ้าเป็นคนละตัวกัน เขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของคนพวกนี้เพิ่มเติมแล้ว

ลู่ผิงจวินลงจากเก้าอี้ คิดว่าไม่มีเรื่องอะไรจะถามต่อแล้ว จึงเตรียมตัวจากไป คนทั้งหลายมองดูการทำตามอำเพอใจโดยไม่บอกกล่าวของเขาอย่างไม่เข้าใจเล็กน้อย กระทั่งชางชินหานเอ่ยปากขึ้น

“ข้าจะไปส่ง”

“...” เการุ่ยเซินและศิษย์คนอื่นๆ พร้อมใจกันเงียบไปชั่วขณะ

“ท่าน ท่านอาจารย์อาชาง หน้าที่นี้ ให้ข้าทำแทนดีกว่าหรือไม่ขอรับ?” หนึ่งในศิษย์ที่ยังบาดเจ็บเสนอตัวขึ้นอย่างรู้งาน

ชายหนุ่มเพียงแต่ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงปฏิเสธ ก่อนจะลุกเดินตามลู่ผิงจวินออกไป

หนนี้พวกเขาทั้งสามเหงื่อตกแล้ว พวกเขามองหน้ากันไปมา จากนั้นจึงได้แต่แยกย้ายกันไปอย่างไม่เข้าใจ

ลู่ผิงจวินเดินไปเรื่อยเปื่อย ขณะครุ่นคิด

มารที่พวกชางชินหานตามหา กับ มารที่พวกเขาพบเมื่อคืน อาจใช่หรือไม่ใช่ตนเดียวกัน แต่มารที่เขาพบนั่น มีความเป็นไปได้สูง ว่าจะเป็นจอมเวทที่เขาตามหาอยู่? และจอมเวทนั้นใช้ใบหน้าของใครบางคน หรือก็คือใบหน้าของศพคืนชีพนั่น สวมรอยเป็นใครสักคน วนเวียนอยู่รอบตัวเขา? เจ้าของร่างนี้ ลู่ผิงจวิน นอนป่วยติดเตียงมานาน คนที่เขาพบเจอนั้นค่อนข้างมีจำกัด เมื่อตัดพี่สาว ลู่อวี้ฟาง กับ ฮูหยินสกุลลู่ ออกไป ที่เหลือ ลู่หยาง สรีระยังไม่โตเต็มวัย ศพที่เขาพบ แม้จะถูกเผาจนร่างหดลงบ้าง แต่เดิมก็ไม่น่าจะเป็นร่างเด็ก เช่นนั้น คนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นมารสวมรอยคือ เจ้าบ้านสกุลลู่ ลู่หรงซาน พี่ชายคนโต ลู่เชาหรง และ คนที่เขาเพิ่งพบว่ามาหาเรื่องถึงที่หลังตื่นขึ้นมาในร่างนี้ ซั่งจื่อ

แต่ประเด็นนอกเหนือจากนั้นคือ เขาไม่รู้ว่าในโลกนี้มีวิชาแปลงกายให้ต่างจากรูปร่างเดิมหรือไม่ หากเป็นโลกเดิมของเขา ถ้าใช้ยาบางชนิด หรือ เวทลวงตา ก็มีความเป็นไปได้อยู่

จากที่เขาสังเกตการณ์รอบเมือง ทั้งผู้คนที่เดินไปมา ทั้งกระแสพลังธรรมชาติที่ล่องลอยในอากาศ พื้นที่แถบนี้ แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์แม้แต่น้อย ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วจอมเวทคนหนึ่งจะโผล่มาจากไหนกัน เขาคงต้องหาคนผู้นั้นให้พบ แล้วเค้นคอถามให้รู้เรื่องสักหน่อย

แต่ก่อนอื่น…

ลู่ผิงจวินเหลือบมองเจ้าคนที่ตามมาไม่ห่าง… เมื่อคืนค่อนข้างมืด เขาจึงมองไม่ชัดนัก แต่คนๆ นี้ค่อนข้างสูงทีเดียว เทียบกันแล้ว น่าจะสูงพอๆ กับร่างเดิมของเขา อีกทั้ง หน่วยก้านดีมาก เวลานี้เขาไม่มีหูตาเลยสักนิด ถ้าดึงคนๆ นี้มาใช้งานได้ก็น่าจะเป็นประโยชน์ เพียงแต่ เขายังไม่ค่อยแน่ใจในเจตนารมณ์ของอีกฝ่าย อีกอย่าง จอมเวทกับคนพวกนี้ ดูเหมือนจะเป็นปริปักษ์กัน แบบนั้นอาจเป็นอุปสรรคอยู่บ้างหลังครุ่นคิดเล็กน้อย ท่านจอมมารจึงตัดสินใจ

...คอยดูไปก่อนแล้วกัน

แผงขายของข้างทางมีอาหารวางขายระราน ขณะลู่ผิงจวินกำลังคิดว่าจะขโมยเงินจากคนผ่านทางแถวนี้มาซื้อกินสักหน่อย ด้านข้างก็มีคนยื่นถุงของกินมาให้ เขาชะงักมองอยู่เล็กน้อย ก่อนยื่นมือไปรับมา มีคนช่วยอำนวยความสะดวก เขาที่เป็นจอมมารจนชินชาย่อมไม่คิดปฏิเสธ อาหารของโลกนี้ รสชาติค่อนข้างประหลาด สำหรับคนเลือกกินอย่างเขา เรื่องนี้คงใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะคุ้นชินได้

ลู่ผิงจวินควักสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ก่อนยื่นไปหาคนข้างตัวเล็กน้อย “นี่คืออะไร”

ก่อนหน้านี้เขาจำได้ว่าไม่มีสิ่งนี้ติดตัว มันคือพู่ห้อยประดับเอว เพียงแต่ตัวเชือกทำด้วยโลหะบางอย่างมีสีดำเมื่อม ลักษณะดูต่างจากพู่ที่เขาเคยเห็น ตัวหยกประดับเองยังเป็นสีดำสลักลวดลายคล้ายรูปนกอินทรี แลดูงดงามประณีตอย่างยิ่ง

“หยกดำ มีสรรพคุณช่วยชำระล้างพิษ แม้พิษในกายเจ้าจะถูกขับออกไปบ้างแล้ว แต่หากเจ้าไม่ดื่มยา ก็พกสิ่งนี้ติดตัวสักระยะจนกว่าจะหายดีเถอะ”

“หืมม์…” นั่นแปลว่าให้ยืม หรือให้เลย? ลู่ผิงจวินเลิกคิ้วมองเล็กน้อย แต่ไม่ได้ทักท้วง เขาพินิจมองหยกดำในมือ มันดูสูงค่ามากจนเขานึกแปลกใจที่อีกฝ่ายยอมให้เด็กที่เพิ่งพบเจออย่างเขายืมอย่างไม่อิดออด จะว่าเป็นคนใจกว้างยิ่งนักหรืออย่างไร?

จะว่าไป เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายพกบางอย่างที่มีเสียงกระทบกันคล้ายโลหะ หรือจะเป็นสิ่งนี้?

ลู่ผิงจวินใช้นิ้วไล้ไปตามเนื้อหยก เขาสัมผัสได้ว่าตัวหยกมีพลังบางอย่างอยู่จริง พลังงานนั้นดูแตกต่างจากเวทมนตร์ที่เขารู้จัก จึงไม่อาจแยกแยะได้ เพียงแต่ไม่ให้ความรู้สึกอันตราย จึงเก็บหยกกลับไปในอกเสื้อ

“ไปดูเร็ว มีคนตกลงไปในบ่อ!” อยู่ๆ พลันมีเสียงคนร้องตะโกน เสียงเอะอะวุ่นวายดังมาจากอีกฟากหนึ่ง

ท่านจอมมารมองตามเล็กน้อย ก่อนวิ่งไปดูต้นเรื่อง

ผู้คนมุงอยู่รอบๆ บ่อน้ำ เก่าๆ ซึ่งตั้งอยู่แถบที่คนไม่ค่อยสัญจร เสียงอื้ออึงดังอยู่รอบด้าน มีคนช่วยกันดึงบางอย่างขึ้นมาจากบ่อน้ำทีละนิด ปรากฏเป็นร่างของใครบางคนซึ่งศีรษะชโลมไปด้วยเลือด ดวงตาเบิกโพล่ง ลำคอบิดงอผิดรูปผิดร่างน่ากลัวยิ่งนัก ผู้คนแถบนั้นบางคนทนดูไม่ได้ จึ่งแตกฮือกันออกไป

ลู่ผิงจวินเบิกตาเล็กน้อย ไม่คาดว่า บุคคลผู้กลายเป็นศพแข็งทื่อนั่น จะเป็นคนที่เขาเพิ่งพบมาไม่นานนี้เอง หลังถูกลากตัวขึ้นมาจากบ่อน้ำ ใครบางคนตะโกนให้หาผ้ามาคลุมศพ พร้อมร้องหาทางการให้มาจัดการตามเรื่อง เด็กชายเบียดกลุ่มคนมุงเข้าไปจนใกล้กับตัวศพ สภาพไม่น่าดูจนเขาจำแทบไม่ได้ แต่เมื่อวาน เจ้าหมอนี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาคือคนที่เพิ่งมาหาเรื่องทวงเงินถึงบ้าน คนๆ นั้นคือ ซั่งจื่อ

ลู่ผิงจวินยกมือแตะคาง พิจารณาสภาพศพ ดูด้วยตาแล้ว คาดว่าคงตกลงไปในบ่อ คอหักตาย? ขณะเขายื่นมือกำลังจะแตะดูศพ ข้อมือกลับถูกคว้าไว้เสียก่อน

เจ้าของฝ่ามือเป็นผู้ที่ติดตามเขามาไม่ห่าง แววตานิ่งเย็นเหลือบมองมา เอ่ยเสียงเรียบ “อันตราย ถอยไปก่อน”

ลู่ผิงจวินมองปริบ ก่อนจะล่าถอยให้แต่โดยดี

แม้คนพูดจะกันท่าไม่ให้เขาเข้าไปยุ่ง แต่เจ้าตัวดันลงมือพลิกศพเสียเอง คนรอบข้างต่างมุงมองดูด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ระคนหวาดหวั่น บางคนพยายามห้ามเขา พร้อมเอ่ยเตือนให้คนของทางการมาถึงกันก่อน ชางชินหานกวาดตามองคนรอบข้างเล็กน้อย เขาหรี่ตาลง ทำท่าคล้ายกับถอนหายใจบางๆ ก่อนจะนั่งลงตรวจดูสภาพศพ

“ถอยออกไปให้หมด!” เสียงจากกลุ่มคนในเครื่องแบบคล้ายจะเป็นกองปราบแหวกทางฝ่าฝูงชนเข้ามาอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใด

ชางชินหานผละออกตั้งแต่ก่อนที่คนเหล่านั้นจะเข้าใกล้ ใช้มือที่ไม่ได้แตะศพ ดึงลู่ผิงจวินออกมา ทำตัวกลมกลืนกับชาวบ้าน ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองเหล่ากองปราบเข้ามาจัดการพื้นที่ ก่อนกวาดสายตามองคนรอบข้าง ขณะพึมพำเสียงเบาพอให้เด็กชายได้ยิน “คอหักตาย เสียชีวิตมาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสามชั่วยาม ตรวจไม่พบปราณหยินบนร่าง อาจเป็นอุบัติเหตุ”

...ปราณหยิน อะไรนะ?...

ลู่ผิงจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย จากการพินิจของเขา ดูแล้วไม่เหมือนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ แต่นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุอันบังเอิญ หรือมนุษย์ฆ่ากันเอง ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขากำลังสืบอยู่จริงหรือ?

“เป็นพวกเจ้า!!” เสียงเล็กๆ ของเด็กชายร้องโวยวายมาจากอีกด้าน ผู้คนแถบนั้นแหวกพื้นที่ให้ราวกับรอมุงดูเรื่องสนุก หรือเพียงไม่อยากไปยุ่งด้วย ลู่ผิงจวินรู้สึกเหมือนเคยเห็นเด็กนั่นมาก่อน ซึ่งนับจากคนที่เขาพบเจอ บางทีคงเป็นหนึ่งในพวกเด็กเหลือขอในตรอกเมื่อวาน “พี่ชายข้าบอกไว้ว่าจะไปที่บ้านสกุลลู่ อีกอย่าง เมื่อเช้านี้ คนของข้าไปที่บ้านพวกเจ้า กลับไม่มีใครอยู่สักคน พวกเจ้าฆ่าพี่ชายข้า!!” เด็กนั่นว่ากล่าวด้วยสายตามาดร้าย ปลายหางตายังมีคราบน้ำตา

“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ใช่พวกข้า เขาอาจจะแค่โกหกเจ้า แอบออกไปเที่ยวแล้วพลัดตกลงไปเองก็ได้ เหตุใดมาโทษพวกข้า!” เสียงเจื้อยแจ้วที่ตอบกลับอย่างไม่ลดละนั้นฟังดูคุ้นหูนัก คุ้นจนท่านจอมมารรู้สึกปวดหัวจี๊ด เขาไม่ต้องมองก็เดาออกแล้วว่าคนพวกนั้นเป็นใคร ในเมื่อไม่คิดอยากจะยุ่งเกี่ยว เด็กชายจึงหันกาย เตรียมจะผละไป

“เสี่ยวจวิน!”

“........” ท่านจอมมารทำหูทวนลม ก้าวต่อไปเหมือนไม่ได้ยิน แต่อีกฝ่ายก็ดูราวกับไม่ได้สังเกตอารามหลีกหนีของเขา สาวน้อยกึ่งวิ่งกึ่งถลามาขวางทางหนีทีไล่ กล่าวด้วยเสียงกังวานข้างหู

“เสี่ยวจวิน เมื่อเช้าเจ้าหายไปไหน…” นางชะงักไปเล็กน้อย มองสภาพพันผ้าพันแผลตามตัวของน้องชาย “เหตุใดเจ้าบาดเจ็บ” ลู่อวี้ฟางทำหน้าทำตาราวกับโลกจะล่มสลายลงมาตรงหน้า ค่อยๆ ยกมือขึ้นมาทางบาดแผลบนข้างแก้ม แต่เด็กชายผินตัวออกเล็กน้อย ลู่อวี้ฟางจึงหยุดไป

เบื้องหลังนาง ชายหนุ่มผู้หนึ่งแหวกฝูงชนตามลู่อวี้ฟางเข้ามา เมื่อเห็นลู่ผิงจวินจึงเผยสีหน้ายินดี “น้องจวิน พวกเราตามหาเจ้าชะทั่วเลย เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”

"..." ลู่ผิงจวินเหลือบมองด้านข้าง พบว่าชางชินหานหายไปแล้ว... เขารู้สึกอยู่รางๆ ว่าอีกฝ่ายดูราวกับอยากหลีกเลี่ยงสายตาผู้คน จึงเร้นกายจากไปเงียบๆ เมื่อรู้ดังนั้นเขาจึ่งได้แต่สบถเบาๆ สถานการณ์เช่นนี้ หากเป็นปกติ เขาย่อมจะผละไปเช่นกัน จนใจที่ร่างกายไม่อำนวย ทั้งยังหาจังหวะไม่ได้

ผู้คนแถบนั้นเห็นความเปลี่ยนแปลงจึงมองมาทางพวกเขา พลางซุบซิบนินทา

“พวกเจ้าคิดจะเฉไฉหรือไง พวกเจ้ารวมหัวกันฆ่าพี่ชายข้า!” เด็กนั่นยังโวยวายไม่หยุด ก่อนหันไปทางคนของทางการ “พวกท่าน ฆาตกรอยู่ที่นี่ จับพวกมันให้หมด!”

ชายหนุ่มจากหน่วยกองปราบผู้หนึ่งซึ่งน่าจะเป็นหัวหน้า หันมาตามเสียงเรียกเมื่อพบว่าทางนี้ยังวุ่นวายไม่หยุด “พวกเจ้าเกี่ยวข้องกับผู้ตายหรือ?”

“ใช่แล้ว ข้าเป็นน้องชาย ส่วนคนพวกนี้เป็นลูกหนี้บ้านข้า พวกเขาหายไปจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด พวกเขาต้องวางแผนฆ่าพี่ชายข้าเพราะไม่คิดจะใช้หนี้เป็นแน่” เด็กนั่นฟ้องร้องอย่างเจ็บแค้นใจ

ลู่อวี้ฟางได้ยินเช่นนั้นยังคงโมโหยิ่ง นางกำลังอ้าปากจะเถียงต่อ กลับมีคนของทางการมาจับนางไว้

“โอ๊ย! ปล่อยข้านะ!” ลู่อวี้ฟางขมวดคิ้วมุ่น ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจับไปโดนแผลเข้าพอดี

ท่านจอมมารเพียงมองดูเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้าราวกับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับตน คนของทางการเหล่านั้นล้อมพวกเขาเอาไว้เหมือนตั้งใจจะจับตัวไปจริงๆ

“เช่นนั้นคงต้องเชิญตัวพวกเจ้าไปที่สำนักงานเขตแล้ว” กองปราบผู้นั้นยิ้มพูดอย่างสุภาพนัก แต่คนของเขากลับไม่สุภาพดังวาจาเท่าใดนัก ใครๆก็รู้ว่าหากถูกพาตัวไปสำนักงานเขตจะถูกปฎิบัติอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว หลายคนถูกทรมานจนจำใจยอมรับสารภาพทั้งที่ตนไม่ได้ก่อความผิด หรือหากเผอิญพลั้งมือจนตายขณะถูกสอบสวน ก็ไม่มีใครไปเอาผิดได้แล้ว

“ใต้เท้า” พี่ใหญ่ของบ้านสกุลลู่เรียกอย่างพยายามทำใจเย็น แม้เหงื่อจะผุดพรายเต็มใบหน้า “ท่านช่วยพิจารณาดูอีกหน่อยเถิด พวกข้าเพียงแต่ออกไปตามหาน้องชายที่หายตัวไปจากบ้านเท่านั้น ท่านก็รู้ว่าระยะนี้ มักมีคนหายตัวไปอย่างลึกลับ”

“ก็แค่ข้ออ้างน่ะสิ!” เด็กชายสกุลซั่งคอยยืนใส่ไฟอยู่ข้างๆ

ชายหนุ่มจากหน่วยกองปราบยกยิ้มมุมปาก “เจ้าจะบอกว่า ที่คนหายตัวไปมากมายนั้น เป็นเพราะพวกข้าทำงานไม่ดีเช่นนั้นหรือ?”

ลู่เชาหรงตระหนกแล้ว เขาก้มหน้าลง “ข้า...ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”

กองปราบผู้นั้นหรี่ตามองพวกเขา ก่อนหันไปสั่งการ “พาตัวไป!”

“รอเดี๋ยว”

เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นท่ามกลางผู้คน เหล่าชาวบ้านต่างแหวกทางให้ผู้มาใหม่ ลู่ผิงจวินมองตาม ปรากฏว่าเป็นชางชินหานที่น่าจะหลบฉากออกไปตั้งแต่เมื่อครู่

ชางชินหานก้าวเท้าเดินมาหยุดอยู่ไม่ห่างจากลู่ผิงจวินนัก “ข้ายืนยันได้ว่าคนเหล่านี้บริสุทธิ์”

คนจากหน่วยกองปราบขมวดคิ้วมองดูชายหนุ่มผู้แต่งกายภูมิฐานดูแตกต่างจากคนทั่วไป “แล้วท่านเป็นใครกัน?”

“ชางชินหาน จากเขาหงซาน”

สิ้นเสียงประกาศตนของเขา ผู้คนรอบข้างพากันแตกฮือ พวกเขาพูดคุยกันเสียงดัง

“ชางชินหาน ชางชินหานผู้นั้นน่ะหรือ”

“เหตุใดเขามาอยู่ที่นี่ได้”

“ศิษย์ของหลานเฟิงผู้นั้น”

เสียงจากชาวบ้านรอบข้างยังคงดังอื้ออึง บางคนเริ่มถกถามหาที่มาที่ไป บางคนเริ่มเล่าถึงวีรกรรมของใครบางคน ลู่ผิงจวินเหลือบมองชายหนุ่มเล็กน้อย แม้คนผู้นั้นจะออกปากช่วยพวกเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทว่าหว่างคิ้วกลับขมวดเขาหากันบางๆ เด็กน้อยจึงยกมือขึ้นลูบคาง ...ดูเหมือนการเปิดเผยตัวตนเช่นนี้ จะไม่เป็นผลดีกับตัวเขาสักเท่าไหร่ แต่เพราะอะไรกัน? อีกอย่าง ชางชินหานยอมทิ้งตัวหมากนี้ไปเพื่อจะช่วยพวกเขา มองอย่างไรก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผล

ลู่ผิงจวินมองใบหน้าซึ่งดูไม่มีอะไรโดดเด่นของหัวหน้าหน่วยกองปราบ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง เพียงแต่เขายังไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่ตงิดในใจนั้นคืออะไรกันแน่

“เมื่อคืนเด็กคนนี้พลัดหลงออกไปแถบชายป่า คนของข้าไปพบเข้า จึงพาตัวกลับมาส่ง” ชางชินหานเอ่ย “เรื่องที่พวกเขาพูดเป็นความจริง หวังว่าท่านจะพิจารณาด้วย”

หน่วยกองปราบผู้นั้นมองชางชินหานอยู่สักพัก เขาหรี่ตาเล็กน้อย ก่อนยกมุมปากขึ้น “ในเมื่อท่านยืนกรานเช่นนั้น ข้าคงว่าอันใดมิได้…” พูดจบก็หันไปสั่งลูกน้องให้ขนย้ายศพ ก่อนผละจากไปอย่างง่ายดายเกินคาด

เมื่อเห็นว่าจบเรื่องจบราวแล้ว ผู้คนซึ่งรอดูชมอยู่รอบๆ จึงทยอยกันกลับไปทำกิจกรรมของตนต่อ รวมทั้งเด็กสกุลซั่งผู้นั้นที่ก่อนจากไปยังหันมาเข่นเขี้ยวกล่าวราวๆ ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบแน่

ชางชินหานมองดูพวกลู่ผิงจวินทั้งสามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ลู่อวี้ฟางกับลู่เชาหรงยืนตัวแข็งทื่อ ราวกับทั้งหวั่นเกรงและระแวดระวัง ชายหนุ่มดูเหมือนจะมองออกถึงท่าทีไม่ค่อยยินดีของเด็กน้อยทั้งสอง จึงเพียงหันกายจากไป

ขณะเดินผ่าน ลู่ผิงจวินได้ยินเสียงกระซิบที่ราวกับแทรกผ่านสายลม

“ระวังตัวด้วย”

(จบตอน)