1 ตอน ตอนที่ 1 ท่านจอมมารตัวน้อย
โดย Mimirin
ตอนที่ 1 ท่านจอมมารตัวน้อย
ท่านจอมมารตายแล้ว
ราชาปีศาจรุ่นที่ 13 นั้น กล่าวกันว่ารุ่งโรจน์ราวบุปผาสะพรั่ง เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาทั้งรุ่งเร็วและร่วงเร็วเช่นกัน
เขาผู้เปิดตัวด้วยการทำลายล้างเมืองๆหนึ่งราบเป็นหน้ากลอง สร้างชื่อด้วยการขุดค้นแย่งชิงสมบัติวิเศษจากทั่วแดนดิน
เขาผู้บ้าคลั่งกระทั่งขโมยสูตรเวทมนตร์ประจำตระกูลที่ถูกปกปักจากทั่วทุกมุมโลก
ผู้คนต่างกล่าวกันว่า เขาต้องการทุกสิ่งอย่างบนโลก เขาเป็นปีศาจบ้าผู้หลงใหลในเวทมนตร์และการทดลอง ผู้ใดถูกจับเป็นเชลย มักลงเอยในห้องทดลองเวทอันแสนโหดร้าย
ชื่อของเขาดังกระฉ่อนไปทั่วดินแดน กระทั่งเด็กได้ยินยังหยุดร้องไห้ ผู้คนต่างหวาดผวายอมศิโรราบ และ ในยามที่เขากำจัดผู้กล้าจากแต่ละดินแดนจนไม่มีใครกล้าลุกขึ้นต่อต้าน มีผู้ใต้บัญชานับหมื่นแสน กวาดล้างปกครองดินแดนกว่าครึ่งซีกโลก ควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จทั่วสารทิศ ผู้คนต่างส่งทรัพย์สมบัติสาวงามมาเป็นเครื่องบรรณาการ...
เขาก็ตาย
...
..
.
ท่านจอมมารลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าเบื้องบนเป็นเพดานไม่คุ้นตานัก ส่วนหัวรู้สึกปวดหนึบๆ
เกิดอะไรขึ้น!?
เขาจำได้ว่าตัวเองถูกฆ่าตายไปแล้ว... หรือเขาจะถูกช่วยเอาไว้ได้ทัน จึงหลุดพ้นจากความตายมาได้?
ไม่ถูก เขาจำได้ว่าร่างของตนแตกสลายกระแจกกระจายเป็นชิ้นๆ คนฆ่าคงตั้งใจไว้แต่แรกเพื่อไม่ให้เขาฟื้นตัวหรือคืนชีพกลับมาได้อีก แม้แต่ศพก็อาจไม่เหลือหลออีกต่อไป…
เขาลองยกมืออันหนักอึ้งแตะลงบนแผ่นอกที่เคยถูกดาบเสียบทะลุ
“เสี่ยวจวิน เจ้าฟื้นแล้ว!!”
เขาพลันได้ยินเสียงใสร้องขึ้นอย่างดีใจ ก่อนเจ้าของเสียงจะปรี่เข้ามากุมมือเขา
เมื่อหันมอง เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป… ทั้งสำเนียงน้ำเสียงของคนผู้นี้ หรือสภาพแวดล้อม รวมถึงเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่ พานให้เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่น
“เมื่อคืนอาการเจ้าแย่มาก จนเรานึกว่าหนนี้ต้องเสียเจ้าไปแล้ว เจ้าทำให้พวกเราใจหายมากเลยนะ”
เขาเบิกตาเล็กน้อย มองหน้าอีกฝ่าย คนตรงหน้าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่ยังไม่ถึงวัยสาวด้วยซ้ำ มองผิวเผินน่าจะอายุสิบกว่าๆ ซึ่งนอกจากใบหน้าหมดจดส่อเค้าความงามในอนาคต ผมดกดำปักด้วยปิ่นไม้เนื้อหยาบ และริมฝีปากรูปกระจับเม้มแน่นแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจอีก
เขายกมือยันกาย พยายามลุกขึ้น พบว่าร่างกายช่างขยับเขยื้อนไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย หรือเพราะเขาบาดเจ็บหนักมากจริงๆ ใครบางคนเก็บชิ้นส่วนร่างกายของเขามาเย็บเข้าด้วยกันหรือยังไง
“เสี่ยวจวิน เจ้าอย่าฝืน ค่อยๆ ลุกนะ ดื่มน้ำก่อนหรือไม่”
เสี่ยวจวินนี่มันใครกัน
เขาขมวดคิ้วมองสาวน้อยตรงหน้าที่โอบพยุงให้เขาลุกขึ้นนั่งดีๆ ก่อนยกกระบอกไม้เทลงในถ้วยดินเผายื่นส่งให้เขาอย่างใส่ใจ
หัวคิ้วของท่านจอมมารกระตุก มองภาชนะพวกนั้นด้วยมุมปากที่เริ่มบิดเบี้ยว
ทำไมช่างดู…
คร่ำครึ
เขานิ่งอยู่สักพัก ก่อนยื่นมือออกไป… พบว่ามือของตนเองช่างดูเล็กจ้อย… เขาพลันชะงัก ยกมือขึ้นมามองสำรวจ
ไม่… นี่ไม่ใช่ร่างกายของเขา…
เขาหลุดเข้ามาอยู่ในร่างกายคนอื่นงั้นหรือ?
เขาเหลือบมองคนข้างตัวอย่างพินิจอีกครา… เสื้อผ้าอันไม่คุ้นตา ดูราวกับผ้าชิ้นเดียวที่นำมาห่อร่างแล้วพาดพันทบกันหลายชั้นนั้นดู...ประหลาด ทั้งสีผมดกดำซึ่งหาได้ยากในดินแดนที่เขาอยู่ ซ้ำยังรูปทรงของขื่อคานผนังอันประกอบด้วยไม้และกระดาษ?
คราวแรกเขานึกว่าตัวเองหลุดมาอยู่เขตชนบทห่างไกลจากเมืองหลวง แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว เขากลับพบความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง…
นี่ ไม่ใช่ที่ๆ เขาเคยอยู่!?
แต่เป็นที่ใดกันเล่า? อดีต อนาคต หรือมิติอื่น!? เรื่องที่มีจอมเวทสายมิติเวลาเดินทางข้ามมิตินั้น ใช่ว่าจะไม่เคยมีบันทึกมาก่อน แต่เขาไม่เคยคิดว่าเรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง ในยามที่ไม่ได้สติเสียด้วย
สิ่งที่ค้นพบ ทำให้เขาหลุดหัวเราะเบาๆ
“ฮะๆ”
เด็กหญิงที่ยังยื่นถ้วยน้ำ ค้างอยู่ ได้แต่มองอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป เสี่ยวจวิน”
ทว่าเขาไม่ได้ฟังคำอีกฝ่าย
จะอย่างไรก็ช่าง ตอนนี้เขายังคงมีชีวิตอยู่ เขาแค่หาหนทางกลับไปยังโลกเดิม แล้วไปตามฆ่าไอ้คนที่มันฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ชะ อยากรู้นักว่าหมอนั่นจะทำหน้าอย่างไร เมื่อพบว่าซากศพที่ตัวเองทึ้งกระจาย ยังคงอยู่ดีไร้รอยขีดข่วน
ท่านจอมมารแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ก่อนจะพบว่าศีรษะปวดแปลบอย่างรุนแรงจนเขาต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
“เสี่ยวจวิน!” คนข้างตัวร้องขึ้นอย่างเป็นห่วง
...ลู่ผิงจวิน…
เสียงขานเรียกดังขึ้นในห้วงความคิด เขาพบว่ามีภาพบางอย่างวาบผ่าน ดูเลือนรางไม่ปะติดปะต่อนัก แต่มีคนเบื้องหน้าอยู่ในนั้น พร้อมข้อมูลบางอย่างที่เขาหยิบจับมาได้ จึงกะพริบตามอง
“อวี้ฟาง...?”
คนตรงหน้าขมวดคิ้ว มองมาด้วยแววตำหนิเจือจาง “เหตุใดไม่เรียกข้าว่าพี่---”
ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบ พลันได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากด้านนอกพร้อมเสียงพูดโอ่โวยวาย แม้จะจับใจความไม่ค่อยได้ แต่ฟังคล้ายกับมาหาเรื่องเต็มที่
สีหน้าของเด็กหญิงพลันซีดเผือด แต่ถึงอย่างนั้น นางยังคงหันมากำชับเขา “เสี่ยวจวิน เจ้าอยู่นี่นะ ข้าจะออกไปดูก่อน” พูดเสร็จก็วิ่งออกไป
“...” เขากระพริบตามอง ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ความไม่รู้ค่อนข้างกวนใจท่านจอมมาร เขาจึงหย่อนขาลงจากเตียง ทดสอบกำลังกายดูเล็กน้อย ร่างนี้ค่อนข้างอ่อนแอ ขยับแข้งขาไม่ค่อยได้ดั่งใจนัก แต่ก็น่าจะดีกว่าอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสลุกจากเตียงไม่ขึ้นมากนัก พอหันมองดูรอบๆ แล้ว นอกจากสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชิน ส่วนสูงอันกระจ้อยร่อยนี่ก็ชวนให้รู้สึกสลดอยู่บ้าง แต่ก็เอาเถอะ เขาไม่ใช่คนเรื่องมากนักหรอก
เสียงด้านนอกหยุดไปเล็กน้อยเมื่อ ‘อวี้ฟาง’ วิ่งออกไปดู แต่หลังจากนั้นยังคงมีเสียงพูดคุยโต้เถียง ตามด้วยเสียงกรีดร้องของเด็กสาว
ตัวเขา ซึ่งตอนนี้น่าจะมีชื่อเรียกว่า ‘ลู่ผิงจวิน’ ได้แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเดินเอื่อยๆ ออกไปดูเสียหน่อย เมื่อพ้นประตูห้องออกมา เขาก็พบกับความวินาศสันตะโร เหล่าเครื่องเรือนซึ่งประกอบด้วยตู้และเก้าอี้ไม้เก่าๆล้มระเนระนาด ใกล้ๆ ประตูทางเข้า มีชายสามคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นท่าทางยโสโอหัง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดี ขณะกำลังดึงผมอวี้ฟาง สีหน้าเฉยเมยกึ่งเยาะหยัน “บอกตาแก่บ้านเจ้า หากยังไม่จ่ายหนี้ ข้าจะมาลากตัวเจ้าไปขายเสีย” พูดจบก็เหวี่ยงเด็กสาวทิ้งไปทับแถบเศษกระเบื้อง ทำให้นางร้องอย่างเจ็บปวด
ลู่ผิงจวินคิ้วกระตุก
ฉากนี่มันอะไร
ไอ้คนที่รับบทตัวร้ายแบบนี้ เมื่อก่อนมันควรจะเป็นเขาไม่ใช่รึ หลับไปตื่นหนึ่ง ทำไมโลกถึงได้กลับตาลปัตรไปแบบนี้
ลู่ผิงจวินเพียงกอดอกมองดูเรื่องราวตรงหน้า ขณะนั้น ดูเหมือนชายหนุ่มจะหันมาเห็นเขาที่ยืนอยู่ข้างประตูพอดี ท่านจอมมารเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย
ชายผู้นั้นทำท่ายิ้มเยาะ ก่อนหันกายจากไป
อวี้ฟางเม้มปากพยายามยันกายลุกขึ้น แม้เมื่อกี้นางจะกรีดร้องอย่างเจ็บปวด กลับยังคงกัดฟันกลั้นน้ำตาไว้ บนฝ่ามือและช่วงขาดูเหมือนจะถูกเศษกระเบื้องบาดจนเลือดไหลเป็นทาง บางทีอาจโดนเส้นเลือดใหญ่ ทำให้เลือดไหลทะลักอย่างน่ากลัว
“เสี่ยวจวิน เจ้าอย่าดูเลย ข้าจัดการเอง เจ้าไปพักก่อนเถอะ” เด็กหญิงพูดน้ำเสียงซึมเซา ขณะควานหาผ้าเพื่อมาห้ามเลือด
ลู่ผิงจวินเพียงมองดู ไม่ได้คิดเข้าไปช่วย หรือกลับไปนอนอะไรนั่น ไม่ช้ามีเสียงทุ้มดังมาจากประตูทางเข้า “เกิดอะไรขึ้น!?”
ผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหมดจด ใบหน้าอ่อนเยาว์เหมือนเพิ่งพ้นวัยเด็กไม่กี่ปี เขาเบิกตามองรอบๆ สายตาวาดผ่านลู่ผิงจวินจึงฉายแววโล่งใจ แต่เมื่อหยุดลงที่เลือดบนตัวอวี้ฟาง เขาก็ขมวดคิ้ว “เจ้าบาดเจ็บ… พวกซั่งจื่อมาหาเรื่องอีกแล้วหรือ”
“ข้าไม่เป็นไร...” อวี้ฟางตอบ ขณะพันผ้าห้ามเลือดอย่างคล่องแคล่ว
“ไปร้านยา ไปหาท่านพ่อกันก่อนค่อยว่ากัน แผลใหญ่เช่นนั้น ใส่ยาสักหน่อยเป็นการดีกว่า” ว่าแล้วก็แบกอวี้ฟางขึ้นหลังก่อนหันมามองท่านจอมมาร “น้องจวิน เจ้าเพิ่งฟื้น ความจริงข้าอยากให้เจ้าพัก แต่อยู่ตรงนี้คนเดียวอาจไม่ดีนัก เจ้าก็ไปกับพี่เถอะ”
ลู่ผิงจวินพินิจดูในความทรงจำ พบว่าคนตรงหน้าเหมือนจะเป็นพี่ใหญ่ของบ้านสกุลลู่ นามว่าลู่เชาหรง ครอบครัวนี้นอกจากพ่อแม่แล้ว ก็มีพี่น้องร่วมสี่คน เขาเป็นคนสุดท้องพอดี
เห็นลู่ผิงจวินไม่พูดไม่จา เพียงตามมาเงียบๆ ลู่เชาหรงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขากระชับแบกอวี้ฟางให้ดี ก่อนเดินไปทางตลาด
เบื้องนอกอาคารเป็นบ้านเขตกันดาล เกือบๆ จะอยู่นอกเมือง ห่างออกไปอีกนิดเดียวก็เป็นเขตสลัมแล้ว ดูเหมือนครอบครัวนี้จะไม่ค่อยมีอันจะกินสักเท่าไหร่ เรื่องนี้ทำให้ลู่ผิงจวินรู้สึกว่า… น่าสมเพช
แต่เมื่อค้นดูในความทรงจำที่ผ่านมา คล้ายกับว่าก่อนหน้านี้เขาเคยอยู่บ้านหลังใหญ่ พร้อมคนรับใช้ไม่น้อย แต่กลับเกิดเหตุบางอย่าง ทำให้ทั้งครอบครัวถูกริบทรัพย์ เงินก้อนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ เจ้าบ้าน หรือก็คือพ่อของร่างนี้นำมาใช้ซื้อบ้านจนหมดตัว ตอนนี้พวกเขาจึงกินอยู่อย่างอัตคัดขัดสน รวมทั้งอาการป่วยออดๆ แอดๆ ของเขา ทำให้คนในบ้านแทบจะรีดเลือดเพื่อซื้อหยูกยามาให้เขากิน
ลู่ผิงจวินลูบคาง สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ดูเหมือนเจ้าของร่างนี้จะมีส่วนทำให้ครอบครัวนี้ล่มจมอยู่บ้างนะนี่
เมื่อเดินตามหลังพี่ใหญ่นั่นไปได้ครึ่งทาง มองดูบ้านเรือนอันดูคร่ำครึแออัดแปลกตารอบข้าง ผู้คนส่วนใหญ่ผมดำตาดำ ชวนให้รู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง แต่เขาค่อนข้างแน่ใจว่าเอาตัวรอดได้ ในเมื่อไม่มีความจำเป็นต้องอยู่กับครอบครัวนี้อีกต่อไป เขาจึงถอยหลบออกมา เดินเข้าไปในซอยข้างทาง
เขตนี้ดูเหมือนจะเข้าใกล้ใจกลางเมืองมากขึ้น ทำให้แม้เป็นซอยเล็กแคบ ก็ยังมีคนผ่านไปมา มีเด็กบางกลุ่มจับกลุ่มเล่นลูกดิ่ง ขณะลู่ผิงจวินกำลังจะเดินผ่านไป เด็กที่ดูเหมือนเป็นหัวโจกก็หันมามอง “โอ๊ะ นั่นมันเจ้าขี้โรคบ้านสกุลลู่ไม่ใช่รึ”
“จวินน้อยออกมาเดินได้แล้วหรือ เดี๋ยวก็เป็นลมล้มพับไปอีกจะแย่เอานะ” เด็กอีกคนพูดขึ้นก่อนจะหัวเราะครื้นเครง
ใครบางคนพูดขึ้น "จับเจ้าหนูนี่ไว้ เจ้าว่าลู่หยางจะยอมอยู่เฉยๆให้เราซ้อมหรือไม่?"
ไม่นานเขาก็ถูกเด็กเหล่านั้นยืนขวางทางไว้ ท่านจอมมารเพียงขมวดคิ้วมอง ก่อนยกยิ้มตรงมุมปาก
เจ้าเด็กพวกนี้ไม่รู้เสียแล้วว่าเขามีพลังมากพอจะฆ่าล้างเป็นเถ้าธุลีได้แค่เพียงกระดิกปลายนิ้ว กาลก่อนเขาทั้งเผาทำลายหมู่บ้าน ผ่าแยกปฐพี กวาดล้างทหารฝ่ายผู้กล้าทิ้งอย่างเกลี้ยงเกลาด้วยไฟบรรลัยกัลป์ เขาหัวเราะหึๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ พานให้เด็กคนอื่นๆ ชะงักไป
ท่ามกลางเงามืดจากอาคารรอบด้าน สายลมปริศนาพัดโชยหอบเอากลุ่มฝุ่นดินฟุ้งขึ้นมา ก่อเกิดบรรยากาศน่าพิศวงชนิดหนึ่งชวนให้ผู้คนเหงื่อตกอย่างหวาดหวั่น
“เจ้า เจ้าจะทำอะไร” เด็กพวกนั้นเพิ่งรู้สึกได้ว่าวันนี้เจ้าเด็กนี่ดูแปลกกว่าคราวก่อนที่เคยพบ ราวกับเป็นคนละคน
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าพลังนี่ ขอบเขตการทำลายล้างจะเป็นไง เผอิญข้าควบคุมพลังไม่ค่อยได้เสียด้วย” เขาพูดราวกับพึมพำกับตนเอง ขณะยกฝ่ามือขึ้น เล็งไปเบื้องหน้า
ป๊อก
เสียงดังพร้อมลูกไฟเล็กๆ ที่ปรากฏบนปลายนิ้วท่านจอมมาร
“.........”
เด็กชายตัวน้อยจ้องลูกไฟในมือ ตาเบิกกว้าง หนังตากระตุกหยิกๆ
“นั่น… อะไร เจ้าเล่นกลรึ?” เด็กๆ เบื้องหน้ามองมาอย่างงงงวย
ท่านจอมมารยกมืออีกข้างขึ้นกุมขมับด้วยความรู้สึก… หมดท่า
...ไอ้ร่างกายนี้…
ร่างกายนี้ มันจะอ่อนแอเกินไปแล้ว!!
เวทมนตร์สักกระผีกยังแทบไม่มี
ลูกไฟจิ๋วเนี่ยนะ ลูกไฟจิ๋ว เม็ดเท่าหยิบมือ! บอกใคร ใครจะเชื่อว่าจอมมารผู้ครองดินแดนกว่าครึ่งซีกโลก เสกลูกไฟกระจิ๋วหนึ่งมากปราบศัตรู!! ขืนพวกอริผู้กล้ามาเห็นเข้า ไม่หงายท้องหัวเราะเยาะจนตัวงอเรอะ…
เหล่าเด็กๆ มีท่าทีเหมือนเพิ่งตื่นจากอาการงุนงง “เล่นอะไรของเจ้า คิดว่าแสดงกลพรรค์นั้นแล้วเจ้าจะรอดเรอะ”
สิ้นคำ ใครคนหนึ่งกระโจมใส่หวังจะจับตัวลู่ผิงจวิน แต่ยังไม่ทันจะถึงตัว ร่างของเด็กนั่นก็ถูกผลักเหวี่ยงไปติดกำแพง พร้อมเด็กอีกคนที่เข้ามาร่วมวงกะทันหัน
ผู้มาใหม่หันกายไปเผชิญหน้ากับเหล่าเด็กๆ กลุ่มนั้น เขายืนบังลู่ผิงจวินไว้ด้วยท่าทีราวกับกำลังปกป้อง “พวกเจ้าอีกแล้ว! ยกพวกมากมารังแกคนอื่น คิดว่าดูดีนักเรอะ!”
“ล ลู่หยาง!!” เด็กๆ เผยสีหน้าหวาดหวั่นขึ้นมา แต่ยังคงทำปากกล้าท้าทาย พร้อมกลู่เข้ารุม
ท่านจอมมารไม่ทันได้มองว่าพวกเขาทำอะไรไปบ้าง สำหรับเขา แมลงพวกนี้ไม่อยู่ในสายตาสักนิด เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพึมพำ “ลูกไฟข้า… ไฟบรรลัยกัลป์ของข้า...” พอเงยหน้าขึ้นมา เขากลับพบกับเหล่าเด็กๆ กำลังสู้กับเด็กชายอีกคน ฝ่ายหลังแม้ตัวคนเดียว แต่การเคลื่อนไหวทั้งปราดเปรียว ดุดัน ทั้งอย่างนั้นก็ยังคงเป็นเด็ก จึงถูกชกจนหน้าตาฟกซ้ำ แต่ว่าก็ว่า การทะเลาะกันอย่างเด็กๆ แบบนี้ ท่านจอมมารอย่างเขาทนดูไม่ได้จริงๆ
ขณะกำลังคิดว่าจะเดินหลบฉากออกไปราวกับไม่ใช่เรื่องตัวเองอยู่นั้น เด็กพวกนั้นก็เป็นอันยกพวกหนีไป
“เฮอะ! ดีแต่ปาก” เด็กลู่หยางนั่นถุยน้ำลายเชิงดูแคลน ก่อนหันกลับมาด้วยท่าทีเป็นห่วง “อาผิง เจ้าไม่เป็นไรนะ?”
“อา...” ท่านจอมมารตอบอย่างขอไปที มองอีกฝ่ายซึ่งหน้าตาคล้ายกับอีกสองคนที่เขาเพิ่งพบเจอ แม้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แขนขามีรอยฟกซ้ำ แต่ดูแล้วไม่น่าร้ายแรงอะไร
พอเห็นว่าน้องชายไม่เป็นอะไร เขาจึงทำท่ากระฟัดกระเฟียด “เจ้าพวกบ้านสกุลซั่ง ชอบมาหาเรื่องพวกเราทั้งพี่ทั้งน้อง น่าโมโหนัก!” ลู่หยางชกกำปั้นลงกับฝ่ามือ ด้วยท่าทีเหมือนยังไม่หายแค้น แต่ก็เกิดเจ็บแผลบนใบหน้าขึ้นมา จึงยกมือขึ้นลูบแถวมุมปาก “ว่าแต่เจ้าหายป่วยแล้ว? เหตุใดออกมาเดินคนเดียว?”
แม้ลู่ผิงจวินจะยังรู้สึกสิ้นหวังไม่หายกับร่างกายอันแสนอ่อนเปลี้ยนี่ แต่ในเมื่อต่อไปอีกสักพัก เขายังจำเป็นต้องพึ่งครอบครัวนี้อยู่ จึงได้แต่ถอนหายใจยอมรับชะตากรรมเงียบๆ “ซั่งจื่อมาที่บ้าน พี่อวี้ฟางบาดเจ็บ พี่ใหญ่เลยพาไปหาท่านพ่อ ข้าตามออกมาแต่พลัดกันระหว่างทาง” เขาเอ่ยชืดๆ เลียนแบบวิธีพูดของเจ้าของร่าง
ลู่หยางเพียงพยักหน้า ก่อนพาเขากลับไปยังบ้านอันแสนคร่ำครึหลังเดิม
ด้วยคำให้การของลู่หยางที่บอกว่าตอนอยู่ในตรอก เห็นน้องชายทำท่ากุมขมับ สีหน้าซีดเผือด อาการไม่สู้ดี ราวกับยังไม่หายป่วย จากนั้นสมาชิกบ้านสกุลลู่ล้วนลงความเห็นให้เขาพักฟื้นอยู่แต่บ้าน อย่างน้อยต้องรอดูอาการไปอีกหนึ่งอาทิตย์!
ท่านจอมมารเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว
อะไรคือ คนบ้านนี้ทุกผู้ล้วนทำงานทำการ แต่เจ้าเด็กนี่กลับต้องถูกขังอยู่แต่บ้านเป็นตัวถ่วงผลาญเงินผลาญทอง เขาไม่เข้าใจคนบ้านนี้จริงๆ มีเจ้าตัวไร้ประโยชน์แบบนี้อยู่ เหตุใดไม่โยนทิ้งไปชะ จะได้ไม่ต้องเสียค่าอาหาร ค่ายา ค่านำพาความเดือดร้อน
พอเอ่ยปากถามอวี้ฟาง อีกฝ่ายก็เพียงแต่ยิ้มๆ ก่อนลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยนเอ่ย “เมื่อเจ้าโตขึ้น เจ้าจะเข้าใจ...”
โตกับผีน่ะสิ
ลู่ผิงจวินได้แต่กลอกตามองบน
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เมื่อเขาเริ่มจะปรับตัวปรับสภาพจิตใจได้บ้าง ทั้งอาการป่วยที่พวกนั้นห่วงนักหนาก็ไม่มีกำเริบสักนิด ท่านจอมมารจึงคิดว่าคงได้ฤกษ์สำหรับการจรลีเสียที
คืนนั้นเมื่อทุกคนหลับ เขาจึงแอบย่องออกจากบ้าน เมื่อจะเปิดประตูรั้ว เขาพลันชะงักไป…
ไม้ขัดล็อกบนบานประตูเก่าซอมช่อนั่น ดันติดหนึบเสียจนเขาดึงไม่ออก ไม่รู้เป็นเพราะเขาแรงน้อยเกินกว่าจะดึงขึ้นไปได้ หรือเพราะความเก่าทำให้อะไรๆ มันติดๆ ขัดๆ ไปหมด ดึงอยู่นานสองนานกลับขยับเขยื้อนไม่ถึงหนึ่งชุ่น
ท่านจอมมารหงุดหงิดมาก!
เขาหันมองรอบๆ เห็นต้นไม้แห้งๆ ริมกำแพง จึงยื่นมือไปเกาะกิ่งก้าน ปีนขึ้นไป ขณะคิดอย่างเหนื่อยใจ ...เขามาทำอะไรที่นี่… แต่ปีนไปไม่นานกลับต้องพักหอบหายใจอยู่บ่อยครั้ง ท่านจอมมารรู้สึกเหนื่อยมาก ทำไมปีนต้นไม้แค่นี้ต้องลำบากลำบนขนาดนี้!
หลังความพยายามอย่างทุลักทุเลแทบจะครึ่งค่อนคืน เขาก็มาถึงยอดกำแพงได้ในที่สุด นั่งพักมองถนนเบื้องล่างซึ่งโรยตัวในความมืด จากบนนี้ กะระยะคร่าวๆ สูงราวสองจั้งได้ เขาเริ่มไม่แน่ใจนักว่าร่างเล็กๆ นี่จะพอรับไหวหรือไม่ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาจึงไม่ไปคิดมาก กระโดดลงไป
คาดไม่ถึงว่า ตัวเขาจะหล่นตุ๊บลงไปบนอ้อมอกของคนผู้หนึ่งซึ่งควบม้าออกมาจากซอกอาคารพอดี
(จบตอน)
Comments (0)