3 ตอน 3 วิวทะเล, ห้องพัก, สวนส้มฮัลลาบง
โดย sorrow
3
วิวทะเล, ห้องพัก, สวนส้มฮัลลาบง
เราสองนั่งกินจิมดักไปประมาณหนึ่งก็เริ่มอยู่ท้อง อาหารจานนี้มากเกินไปสำหรับผู้หญิงร่างผอมอย่างเทียนซ้ำยังมากไปสำหรับคนที่มีเนื้ออย่างฉัน
“ดื่มกาแฟไหมบัว” หญิงสาวผมสีควันบุหรี่ตรงข้ามถาม
“เอาสิ” ฉันวางช้อนและตะเกียบลงกับจานพลางพยักหน้ารับ
“มีร้านสะดวกซื้อที่หน้าทางเข้า” หญิงสาวยกนิ้วชี้กลับหลังไปทางประตู “แต่เป็นกาแฟสำเร็จรูปนะไม่ใช่กาแฟสด สนใจไหม เราว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอก”
“ไปสิ ไม่อยากรออยู่ในนี้เหมือนกัน” ฉันตอบ ไป เทียนลุกขึ้นเดินนำออกไปทันที
เทียนพาฉันมาถึงหน้าร้านก่อนที่เธอจะเดินออกไปรอด้านนอก ร้านสะดวกซื้อที่เธอพูดถึงเป็นร้านค้าขนาดเล็กมาก ภายในร้านมีขนมขบเคี้ยวและผลไม้ตากแห้งคล้ายร้านขายของฝากตามต่างจังหวัดในไทย ด้านในมีตู้กาแฟอยู่สองตู้แบ่งเป็นร้อนและเย็น ฉันเลือกกาแฟร้อนสำเร็จรูปเพื่อแก้หนาวก่อนเดินออกมารับอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก
ภายนอกของร้านอาหารเป็นลานจอดรถขนาดกว้าง เยื้องออกไปเป็นป้ายรถเมล์ พอมองรอบอาณาบริเวณอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งถึงได้สังเกตเห็นเมืองโดยรอบอย่างชัดเจนมากขึ้น ภาพเบื้องหน้าไม่ใช่วิวทะเลแสนว่างเปล่าหากแต่เป็นถนนเลนเดียวสะอาดสะอ้านเส้นตัดสีเหลืองและขาวชัดเจนมีราวเหล็กกั้นขอบทางเลยไปเป็นพื้นดินทอดยาวไปมีสิ่งปลูกสร้างและเสาส่งสัญญาณ ตรงพื้นที่ที่ฉันยืนอยู่นั้นพอมีเสาไฟฟ้าให้เห็นตลอดทางยาวแต่มิได้บดบังภูมิทัศน์ตรงหน้าแต่อย่างใด
ฉันหยิบกล้องเพนแทกซ์ขึ้นมาส่องบันทึกภาพเสาไฟฟ้าตัดพื้นถนนและภาพพื้นดินสิ่งปลูกสร้างกับท้องฟ้าเก็บไว้ สายตาเลื่อนไปตามช่องมองภาพเพื่อหามุมที่ดีที่สุดจนสะดุดเข้ากับหญิงสาวผมสีควันบุหรี่อยู่ห่างออกไปราว 20 เมตร เธอยืนหันหลังให้ถนน มือซ้ายล้วงกระเป๋าเสื้อกันหนาวมือขวาคีบบุหรี่ไว้กับริมฝีปากในบริเวณสำหรับสูบบุหรี่ ฉันหยุดลงที่มุมดังกล่าว รอจังหวะไม่นานนักก่อนกดชัตเตอร์บันทึกภาพที่เห็น ฉันเดินเข้าไปใกล้เธอและหาที่นั่งใกล้ๆ
เทียนที่เห็นฉันนั่งอยู่ก็รีบดับบุหรี่แล้วเดินตามมานั่งด้วย เธอหยิบโลลี่ป๊อปสีเดิมออกมาจากกระเป๋าเสื้อแกะออกจากห่อนำเข้าปาก ดูจากห่อและสีคงเป็นรสสตรอว์เบอร์รี
“กินไหม” เธอถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันตอบ “ชอบโลลี่ป๊อปเหรอ”
“ค่ะ” เธอตอบเสียงเรียบ “จริงๆ ไม่อยากให้ในปากมีกลิ่นบุหรี่มากกว่า”
แปลกคน ฉันคิด
“แปลกไหม” เธอหัวเราะ
“ไม่รู้ว่าแปลกหรือเปล่าเพราะเราไม่สูบ”
“บัวเป็นนักเขียนเหรอ เห็นพี่จาบอก” เธอถาม
“อ่าใช่... แต่ไม่ใช่นักเขียนที่ดังอะไรหรอกนะ” ฉันออกตัวแก้เขิน “เราเพิ่งเขียนได้สองสามเล่มเอง เป็นนิยายเล่มเล็กๆ พี่จาไปโม้ว่าอะไรเนี่ย”
“ไม่ได้บอกอะไรหรอกแค่แนะนำเฉยๆ แล้วนี่บัวเขียนเกี่ยวกับอะไรน่ะ”
“ที่ผ่านมาเขียนรวมเรื่องสั้นน่ะ” ฉันตอบ
“น่าสนใจจัง” เธอพลิกลิ้นที่อมโลลี่ป๊อปอยู่ “มาที่นี่เพราะหาข้อมูลเขียนหนังสือสินะ”
“ทำนองนั้น เรามาเที่ยวปกตินี่แหละแรงบันดาลใจจะได้ไหมอีกเรื่องหนึ่ง”
“สนใจที่ไหนเป็นพิเศษล่ะ”
“ไม่มีนะ อยากมาก็มาเลยเพราะคิดว่าที่นี่สวยดี”
“ถ้าอยากได้ข้อมูลอะไรถามเราได้เลยนะ”
“ขอบคุณนะ” ฉันยิ้ม “เป็นไกด์แล้วไม่รู้สึกเบื่อที่นี่บ้างเหรอ”
“อย่างที่บอกแหละว่าที่มาคือมาอำลาบรรยากาศ” เธอตอบและไม่พูดอะไรต่ออีกทำเพียงพลิกลิ้นให้โลลี่ป๊อปที่อยู่ในปากละลาย
“ขอถ่ายรูปไว้หน่อยสิ” ฉันยกกล้องฟิล์มขึ้นมาไว้ที่ระดับหน้าอก
หญิงสาวหันมามองหน้า “เอาสิ” เธอตอบเรียบๆ “ต้องยิ้มไหม”
“เอาแบบนี้แหละ ที่อมโลลี่ป๊อปอยู่เนี่ย”
เทียนขยับตัวให้นั่งอยู่ในท่าสบายสายตามองกล้อง ฉันก้มตัวลงเล็กน้อยให้เธออยู่กลางเฟรมพอดีแล้วกดถ่ายออกไป
“ชอบกล้องฟิล์มเหรอ” เธอถาม
“อืม สวยดี ชอบลุ้นรูปที่ถ่าย บางม้วนถ่ายทิ้งไว้นานๆ ค่อยเอาไปล้างจนลืมว่าถ่ายอะไรมา พอกลับมาดูตอนล้างแล้วได้ความรู้สึกที่ดีมาก”
“อ๋อ...” เธอพยักหน้า
“เคยถ่ายปะ”
“ไม่อะ ปกติทำงานไกด์ปกติแต่ดิจิทัล ถ้าพกฟิล์มไปเปลืองสตางค์แย่”
“ฮ่าๆ เข้าใจ คนอื่นๆ ออกมาแล้วไปกันเถอะ” ฉันร้องทักเมื่อเห็นสมาชิกคนอื่นๆ ออกมาจากร้านอาหาร
.
รถบัสจอดเทียบที่ลานจอดรถของโรงแรมที่อยู่ติดกับลานจอดรถเป็นร้านอาหารเกาหลีเอาใจคนเมืองฉันอ่านไม่ออกแต่ป้ายหน้าร้านมีคำว่า Seoul เขียนต่อท้ายไว้อยู่ ด้านหน้าของโรงแรมเป็นถนนสองเลนฝั่งตรงข้ามเป็นสันเขาสูงทำให้ทิวทัศน์ด้านหน้าโรงแรมถูกบดบังโดยสมบูรณ์
เราขนของที่จำเป็นลงจากรถมารวมกันด้านหน้าพี่จายื่นคีย์การ์ดให้สมาชิกแต่ละบ้านจนครบ ฉันและเทียนพากันหอบของเดินขึ้นบันไดอวดความแข็งแรงให้แก่บรรดาแม่ๆ และเด็กเล็ก เหนื่อยว่ะ เทียนสบถก่อนหัวเราะออกมา ห้องของเราอยู่ชั้นสี่บริเวณทางเดินเล็กแคบขนาดที่ไม่สามารถลากกระเป๋าพร้อมกันได้ เทียนนำทางอย่างคล่องแคล่วเข้าไปในห้อง ภายในห้องนี้ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนักทว่าอุปกรณ์อำนวยความสะดวกนั้นครบครัน
“โรงแรมมีคีย์การ์ดให้ใบเดียวนะจะไปไหนบอกเราแล้วกัน” เธอลากกระเป๋าเข้าชิดทางเดินด้านใน “เอ้อ...อยากนอนฝั่งไหนน่ะ” หญิงสาวหันมาถาม
“เทียนอยากนอนริมหน้าต่างเปล่า” ฉันถามกลับ
“เราแย่งวิวริมเครื่องบินแกมาแล้วอะ”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร เราไม่ชอบแสง เทียนนอนเถอะ”
“แต่ตรงนี้วิวดีนะ” เธอเดินเลาะขอบเตียงไปเปิดผ้าม่าน วิวตรงหน้าที่ได้เห็นเป็นทิวเขาเตี้ยอยู่ไกลๆ ตรงกลางเป็นวิวบ้านคนและชุมชนเมือง “เผื่ออยากซึมซับบรรยากาศ ให้ตัดสินใจครั้งสุดท้าย”
“ไม่เป็นไร ตามสบายเลย” ฉันยืนยัน
“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มแล้วหย่อนก้นลงบนเตียงนอน ดูท่าเธอจะชื่นชอบอะไรแบบนี้เป็นพิเศษตั้งแต่อยู่บนเครื่องบินแล้ว
“เราจะไปที่ไหนกันต่อเหรอ” ฉันถาม
“แป๊บนะ” เธอปลดเสื้อกันหนาวออกหยิบแผ่นพับขนาดเอสี่ที่พี่จาแจกให้ก่อนขึ้นเครื่องมาดู “ไปแต่ไร่นาทั้งนั้นเลย” เทียนหัวเราะและวางแผ่นพับลงข้างตัว
“ไปไร่นา?”
“อืม...โปรแกรมวันแรกจัดได้น่าเบื่อสุดๆ”
“ก็สมกับเป็นพี่จาแหละ” ฉันหัวเราะคิกคิกตาม
“นี่เที่ยวกับพี่จาบ่อยเหรอ”
“ถ้าในเอเชียก็ใช่ จังหวัดที่ไม่ใช่เมืองหลวงเราไปกับพี่จาบ่อย ไปจนยืมเงินแกออกค่าทัวร์ก่อนได้อะ”
“ฮ่าๆ เก๋อะ” เทียนพลิกตัวลงนอนคว่ำหันหน้ามาทางฉันแล้วหลับตา
“ง่วงเหรอ”
“อืม...อยู่บนเครื่องนอนไม่เต็มอิ่ม” เธอตอบ
แหม...กล้าพูด ฉันคิดในใจ ใครกันที่พิงฉันตลอดทาง
“แล้วนี่จะออกไปเที่ยวไหม”
“คงไม่ล่ะ...ไปไร่ไปนาขอบาย”
“ไหนบอกอยากไปอำลาบรรยากาศ”
“แต่ไม่ใช่กับที่ไร่นาอ่า...” เทียนตอบเสียงอู้อี้
.
สุดท้ายฉันก็ปล่อยให้เทียนนอนพักอยู่ที่ห้อง เราสองคนแลกคอนแทกต์กันไว้เผื่อในกรณีที่กลับมาห้องแล้วเธอไม่อยู่ ก่อนเดินออกจากห้องหญิงสาวทิ้งท้ายไว้ว่า ขอให้เพลิดเพลินกับทุ่งคาโนลานะคะ ฉันได้แต่สงสัยว่ามันคืออะไร ทว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกัน
สถานที่แรกที่ทัวร์พามาเป็นไร่ส้มไร่หนึ่งที่ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากที่พักมาประมาณยี่สิบนาที เป็นไร่ส้มจริงแท้ไม่มีสิ่งใดปะปน โชคดีที่อย่างน้อยส้มนี่ก็รสชาติไม่แย่อะไร ที่นี่คือสวนส้มฮัลลาบง 5 เป็นผลไม้ประจำเกาะนี้แต่เมื่อเดินไปชิมไป(สวนที่นี่ให้เราเด็ดส้มที่ปลูกไว้หน้าสวนกินได้ตามสบาย)ฉันก็พบส้มอีกชนิดให้ชิมคือส้มเลเดอร์ฮัง 6 แม้ขนาดลูกจะเท่ากันทว่าลักษณะของมันแตกต่างกัน พอลองเอามาแกะดูเนื้อสัมผัสของมันก็แตกต่างกันส่วนเรื่องของรสชาติฉันแยกไม่ออกหรอกรู้แค่มันปอกง่ายกว่าเท่านั้น
อืม...น่าเบื่ออย่างที่เทียนบอกจริงด้วย น่าเบื่อจนต้องแยกคุณลักษณะของเนื้อส้มทั้งสองชนิดให้มันดูมีอะไร
เดินเล่นไปได้เพียงครู่เดียวก็ต้องกลับออกมารอด้านนอกเพื่อหาอะไรทำแก้เซ็ง การเฝ้าจับสีหน้าของผู้คนเป็นวิธีแก้เบื่อทางเดียวที่ฉันพอจะนึกออก ในที่นี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสุข บางคนก็ทำหน้าบึ้งตึง บางคนก็ทำหน้านิ่งเฉยบอกบุญไม่รับแต่ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่มีใครมีรูปลักษณ์หรือลักษณะท่าทางที่โดดเด่นเท่ากับเทียนเลยทั้งภายนอกและภายใน
“ทริปวันแรกเอาใจผู้สูงอายุหน่อยนะ” พี่จาเดินเข้ามาตบไหล่เบาๆ
“ยังอยู่ในโหมดที่รับได้” ฉันตอบ
“วันนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแนวนี้หมดเลยชื่นชมธรรมชาติ” พี่จาไล่ชื่อสถานที่ไม่ว่าจะเป็นแปลงดอกไม้หรือบ้านพักของกลุ่มชนพื้นเมือง “พรุ่งนี้อาจจะเข้าทางแกมากกว่า”
“ที่นี่ก็ไม่ได้แย่อะไรพี่ มีโอกาสได้มาทั้งทียังไงก็อยากไปให้ครบ”
“อื้ม แต่โปรแกรมทัวร์มันไปได้ไม่หมดทั้งเกาะหรอกต้องใช้เวลาเดินทาง ที่ไหนอยากไปซ้ำค่อยไปหลังวันที่สี่” เธอแนะนำ
“แล้วบัวจะไปได้ยังไงอะพี่”
“รวยหน่อยก็จ้างคนขับรถเป็นส่วนตัว”
“โห เสียดายเงินอะ เที่ยวแถวตัวเมืองเอาแล้วกันหลังจากนั้น”
“อ้อ... มีอีกวิธีถูกและดี” พี่จายกนิ้วชี้ขึ้นบนอากาศ “บอกให้เทียนพาไปหรือไม่ก็จ้างนาง”
“หา...” ฉันเผลออ้าปากค้าง “เขาไม่กลับพร้อมลูกทัวร์คนอื่นเหรอ”
“เทียนคงอยู่ที่นี่สักระยะเลยเห็นบอกจะไม่กลับมาอีกแล้วเลยจะอยู่นานหน่อย”
“อ่า เห็นเทียนพูดอยู่เหมือนกัน”
“ลองคุยกับมันดู มีอะไรก็ปรึกษามันได้ มันเที่ยวในเมืองบ่อยเทียนอะ”
“ได้พี่... เออพี่จา” ฉันนึกคำถามคำถามหนึ่งออก
“ว่า” ไกด์สาวเลิกคิ้ว
“ทำไมเทียนถึงลาออกจากงานไกด์อะ”
“อืม... พี่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนักขอไม่พูดดีกว่า” พี่จาเอ่ยเสียงเนือยๆ “ถ้าสนิทแล้วก็ลองไปถามดูสิ”
ฉันไม่ได้ตอบอะไรเป็นคำพูดได้แค่พยักหน้ารับและคิดต่อในใจว่าทำไมคนอัธยาศัยดีแบบเธอถึงออกจากงานแบบนี้
...
เทียน
เดี๋ยวจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกนะ
ถ้ากลับมาแล้วบอกเดี๋ยวเอาคีย์การ์ดไปให้
...
5. Hallabong Orange ส้มฮัลลาบงหรือส้มหัวจุก เป็นส้มขึ้นชื่อของเกาะเชจู มีเนื้ออ่อนและรสชาติที่หวานเป็นพิเศษ เอกลักษณ์ของสายพันธุ์นี้มีหัวเป็นจุกของส้มที่ยื่นออกมา
6. Redhyung Orange ส้มเลเดอร์ฮังมีเปลือกสีออกแดงเข้มกว่าส้มชนิดอื่นมีผิวเนียนต่างจากส้มฮัลลาบงทำให้ปอกง่ายกว่าส้มชนิดอื่น
Comments (0)