2 ตอน รัชศกเทียนเป่าปีที่สี่ เดือนอ้าย วันที่สิบสี่ ยามซื่อ
โดย อะซะกะโอะ
รัชศกเทียนเป่าปีที่สี่ เดือนอ้าย วันที่สิบสี่
อุทยานหลวงสระหลงฉือ, ปลายยามซื่อ (ยามซื่อ 09.00 - 10.59 นาฬิกา)
‘นายกองจางโปรดรอ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจะมีผู้นำทางคนที่ท่านต้องการพบมาที่นี่’
ขันทีผู้น้อยสวมชุดผ้าไหมสีเขียวอ่อนเอ่ยไว้เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ภายหลังรับคำสั่งจากคนสนิทของแม่ทัพกัวหลี่ซื่อมาช่วยนำสัมภาระติดกายของเขาไปจัดเก็บ และจัดเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ผลัดเปลี่ยนเพื่อให้ดูภูมิฐานเหมาะสมกับสถานที่ ด้วยอุทยานหลวงสระหลงฉือตั้งอยู่แทบพระพักตร์ของฝ่าบาท อยู่ห่างจากหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นและหอฮวาเอ้อเซียงในระยะสายตา จึงไม่ใช่สถานที่ที่ขุนนางระดับล่างหรือพลทหารยศน้อยได้รับอนุญาตให้ย่างกรายเข้ามา
ในสายตาของแม่ทัพกัวหลี่ซื่อที่รับใช้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้คงต้องคำนึงถึงความเรียบร้อยเหมาะสมไม่ให้ขัดเคืองพระทัย ต่อให้เป็นรายละเอียดยิบย่อยเช่นเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของผู้ที่เข้ามาในพื้นที่ส่วนพระองค์ ก็ย่อมต้องใส่ใจไม่ให้บกพร่อง เพียงแต่เมื่อคิดให้ดีเขายังไม่คลายสงสัยว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงเก็บเครื่องแบบของหน่วยงานอื่นไว้กับตัว และด้วยเหตุนี้หรือไม่ ขันทีน้อยผู้นั้นถึงเรียกขานเขาด้วยตำแหน่งในอดีต
เขาลอบถอนหายใจ ก้มมองเครื่องแต่งกายของตนอีกครั้ง เมื่อพิจารณาแล้วจึงพบว่าเสื้อชุดคลุมยาวตัดเย็บอย่างประณีตจากไหมชั้นดีชุดนี้ คือเครื่องแต่งกายประจำตำแหน่งผู้บัญชาการทหารของจิ้งอันซือ อันเป็นตำแหน่งที่ตนเคยดำรงอยู่ในเวลาสิบสองชั่วยามของเทศกาลซั่งหยวนปีก่อน หลังเหตุการณ์ร้ายผ่านไป เขาทราบว่าจิ้งอันซือถูกยุบ พนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งหลายล้วนแยกย้ายกลับไปสังกัดกรมกองของตน ตัวเขาเองพลันกลายเป็นคนไร้สถานะ เฉกเช่นเดียวกับผู้บัญชาการสูงสุดอย่างหลี่ปี้ที่เลือกเร้นกายออกจากเมือง หลบลี้ขึ้นเขาบำเพ็ญพรตขัดเกลาจิตใจ
เวลาหนึ่งปีล่วงผ่านนับแต่เหตุการณ์ร้ายสิ้นสุด บัดนี้ผู้คนคงลืมเลือนเหตุสะท้านฟ้าสะเทือนดินนั้นไปจนหมดสิ้น คงหลงเหลือไว้เพียงเรื่องเล่าประกอบบทสนทนาในวงน้ำชาหรือวงสุรา ไม่แน่ว่าแม้แต่คนในรั้วในวังก็อาจนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเสมือนเรื่องเล่าชวนหัวเรื่องหนึ่งเท่านั้น
คิดเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด ผู้ที่ไม่เคยประสบเหตุการณ์เช่นเดียวกันย่อมไม่สามารถทำความเข้าใจได้ และหาสนใจไม่ ผิดกับตนเองที่เป็นหนึ่งในผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด พบเห็นประสบการณ์ทุกอย่าง แม้บาดแผลเริ่มจางหาย แต่ความทรงจำในใจยังคงอยู่ ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นแรงผลักดันให้เขาย้อนกลับมาอีกครั้ง เพื่อพบกับใครบางคนที่เคยมีตัวตนอยู่ในความทรงจำนั้น และบัดนี้ยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กำแพงของวังมังกรแห่งนี้
ขณะนี้เวลาล่วงเข้าสู่ปลายยามซื่อ[1]แล้ว เขาตัดสินใจเดินย้อนกลับมาตามทางเดิม หลังออกไปสำรวจภูมิทัศน์รอบบริเวณที่สามารถมองเห็นได้ในระยะสายตา ดื่มด่ำกับฝีมือของบรรดาช่างหลวงที่ร่วมรังสรรค์สถาปัตยกรรมทั้งหลายโดยรอบขึ้นมาอย่างวิจิตรบรรจง จนแม้คนที่ถือตนเองเป็นคนหยาบช้าเช่นเขายังอดชื่นชมในความวิริยะอุตสาหะ และความคิดสร้างสรรค์ของยอดศิลปินเหล่านี้ไม่ได้ มาดว่าทอดสายตาไปยังทิศใดก็ล้วนให้ความรู้สึกราวกับไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์ หากแต่เป็นเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ สมคำที่เคยได้ยินเหล่าขุนนางที่มีโอกาสเข้ามาถวายรายงานกลับออกไปกล่าวชมให้ฟังอยู่เนือง ๆ
“นายกองจาง”
เขาเหลียวกลับมา ตกใจเล็กน้อยด้วยไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าจนกระทั่งเห็นตัวผู้พูดประชิดเข้ามาประสานมือคำนับ
ขันทีผู้น้อยคนใหม่ที่สวมชุดยาวสีเขียวอ่อนแจ้งให้ทราบว่าคนที่ต้องการมาพบกำลังเดินทางมา พร้อมกับถ่ายทอดคำสั่งจากหยางกุ้ยเฟยว่าหากเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว ขอให้พาคนกลับมาส่งยังตำหนักชั้นในด้วย
“นี่เป็นป้ายหยกสำหรับผ่านเข้าออกยังเขตพระราชฐานชั้นใน พระชายาขอให้ข้านำมามอบให้ท่าน โปรดเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี พระนางต้องการให้ท่านส่งคนให้ถึงอย่างปลอดภัย”
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณท่านมาก”
“ผู้น้อยขอลา”
จางเสี่ยวจิ้งก้มมองป้ายหยกเนื้อดีสีเขียวจางจนเกือบขาวที่สลักลวดลายบุปผชาติวิจิตรล้อมรอบอักษรคำว่า ‘หยางกุ้ยเฟย’ พลันนึกออกทันใดว่านักพรตหญิงไท่เจินเมื่อปีก่อน บัดนี้ได้รับการอวยยศขึ้นเป็นถึงหยางกุ้ยเฟย อันเป็นตำแหน่งฟูเหรินลำดับหนึ่ง สถานะยิ่งสูงส่ง อีกทั้งยังมีบารมีเหนือกว่าเจ้าชีวิตคนก่อนของนาง เท่ากับทำให้สถานะของนางสูงขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าทวี เมื่อตระหนักถึงความจริงข้อนี้ก็บังเกิดความกังวลขึ้นมาอย่างหนึ่ง แม้ว่าได้พบกับแม่หญิงนางนั้นอีกครั้ง นางจะยังเป็นหญิงงามผู้มีใจสัตย์ซื่อเช่นเดิม หรือกลายเป็นสตรีในวังที่เพียงชมชอบกับเปลือกนอกสวยงามโดยไม่อาจถามหาความจริงใจได้กัน
เขาซุกเก็บป้ายหยกเนื้อดีเอาไว้ด้านในอกเสื้อ จากนั้นเหลียวมองรอบด้านเพื่อคะเนทิศทางที่นางอาจปรากฏตัวขึ้น เพียงชั่วพริบตาพลันบังเกิดความคิดแยบคายบางประการ จางเสี่ยวจิ้งตัดสินใจอำพรางตนเองเพื่อลอบสังเกตคนที่กำลังเดินทางมา ครั้งนี้จะไม่ให้เกิดความผิดพลาดเช่นเมื่อครู่อีก
ถานฉีถูกนำตัวมาพบกับขันทีผู้น้อยในชุดสีเขียวอ่อนที่ยืนรออยู่ตรงปลายสุดของตีนบันไดด้านหน้าตำหนักของหยางกุ้ยเฟย ข้างกายนางยังมีนางกำนัลน้อยทั้งสองที่เข้ามาช่วยผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายตามมาขนาบข้าง และส่งนางจนถึงพื้นลาน
“พี่สาวอย่าลืมที่กุ้ยเฟยกำชับนะเจ้าคะ ท่านมีเวลาสิบสองชั่วยามออกจากวัง แต่หากต้องการกลับมาก่อนกำหนดเพื่อร่วมรับใช้พระนางในงานเทศกาลชมโคมคืนนี้ ก็ขอให้กลับมาให้ทันการจุดโคมต้นยามจื่อ[2]เจ้าค่ะ”
“ข้าทราบแล้ว”
ถานฉีพยักหน้าเป็นครั้งสุดท้าย สะบัดมือจากนางกำนัลน้อยทั้งสอง ขยับมายอบกายถอนสายบัวคำนับขันทีที่รออยู่ ขันทีน้อยประสานมือคารวะและรีบหมุนกายพานางเดินตัดผ่านลานกว้างด้านหน้าตำหนัก มุ่งตรงไปยังอุทยานหลวงสระหลงฉือที่อยู่ห่างออกไปในระยะร้อยก้าว
คนทั้งสองเดินตามกันอย่างเงียบเชียบ ถานฉีสำรวมกิริยาหากแต่ในใจกลับไม่สงบ ยิ่งก้าวร่นระยะทางถึงเป้าหมายเข้าไปมากเท่าใด หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงจนนางรู้สึกสับสน ด้วยไม่เข้าใจว่าความร้อนรนในอกยามนี้หมายถึงสิ่งใด ตลอดเวลานับสิบปีที่เคยได้ติดตามหลี่ปี้ พบปะผู้คนที่เปี่ยมทั้งยศศักดิ์และอำนาจมากมายหรือแม้แต่หนึ่งปีที่อยู่ภายใต้บารมีของหยางกุ้ยเฟย ยังไม่เคยมีครั้งใดที่ใจนางเต้นระทึกถึงเพียงนี้
“แม่นางถานฉี นายกองจางคงรออยู่บริเวณสระบัว จากตรงนี้ไป เชิญท่านตามสบาย”
ความคิดยังไม่ทันได้เรียบเรียงดี ขันทีผู้นำทางก็หันกลับมาประสานมือคารวะ ถานฉีก้าวผิดจังหวะ หยุดลงช้ากว่าอีกฝ่ายครึ่งก้าวจนเกือบชนเข้ากับปลายมือของเขา ทำได้เพียงสะกดความตกใจ รีบประสานมือรับการทำความเคารพ
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
ขันทีน้อยเร้นกายหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเหลียวกลับมามองตรงไปยังซุ้มประตูกลมด้านหน้า นางจึงพบว่าตนเองอยู่ตามลำพัง ถานฉีสูดลมหายใจเข้าพลางก้าวเดินช้า ๆ สายตามองทะลุผ่านวงกลมของช่องประตูไปยังทิวทัศน์เบื้องหลัง ปรากฏผืนน้ำใสกว้างใหญ่เรียบนิ่ง ซึ่งมีละอองจางจนเกือบมองไม่เห็นของหมอกยามเช้าชุดสุดท้ายลอยเรี่ยอยู่
หลันฮวาหลากสายพันธุ์ บัดนี้มีเพียงสายกับใบเล็กน้อยแผ่ลอยบนผิวน้ำด้วยไม่ใช่ฤดูบัวบาน กระนั้นภูมิทัศน์โดยรอบที่จำลองสถานที่สำคัญในสรวงสรรค์ตามความเชื่อ รวมกับสถาปัตยกรรมจากช่างฝีมือหลวงยังคงแต่งแต้มให้บรรยากาศโดยรอบงดงามไม่ต่างจากภาพเขียนของศิลปินมีชื่อ ไม่ไกลจากผืนน้ำสงบนิ่งมีศาลาไม้หลังหนึ่งตั้งอยู่ ตัวศาลายื่นลงไปในน้ำต่อเชื่อมกับทางเดินไม้หน้าแคบพอให้คนสองคนเดินสวนกันได้ ถานฉีหยุดยืนอยู่ริมฝั่ง หันมองรอบบริเวณอย่างระมัดระวัง หากบุรุษผู้นั้นอยู่ที่นี่นางสมควรเห็น
“เจ้าไปเล่นพิเรนทร์ที่ใดกัน”
นางจดจำมุมต่าง ๆ ของสถานที่นี้ได้ดี ด้วยมันเป็นหนึ่งในสถานที่โปรดของหยางกุ้ยเฟย พระนางมักขอให้ฮ่องเต้พานางออกมาเดินเล่นในบริเวณนี้ หรือคราวใดที่ฝ่าบาทมีราชกิจมาก พระนางก็โปรดการเดินเล่นที่นี่ตามลำพังโดยมักสั่งให้นางกำนัลคนสนิทที่มีถานฉีรวมอยู่ด้วยติดตามมา
ถานฉีกวาดสายตามองพื้นที่ครึ่งแรกของริมฝั่งติดซุ้มประตูโค้งอีกครั้ง เมื่อไม่พบการเคลื่อนไหวใดจึงค่อยเดินลึกเข้าไป ก้าวตรงไปยังกึ่งกลางศาลาเพื่อย่นระยะการมองไปให้ถึงอีกฝั่ง
หญิงสาวขยับเข้าไปเท้าแขนทั้งสองกับขอบศาลา หยัดกายเหม่อมองออกไปนอกท้องน้ำเลยไปยังริมฝั่งตรงข้ามถึงแนวกำแพงอีกด้าน ซึ่งด้านหลังลึกเข้าไปนั้นคือหมู่เรือนของพระตำหนักและท้องพระโรงสำหรับว่าราชการ รวมถึงหมู่เรือนล้ำค่าของบรรดาขุนนางที่รับใช้ใกล้ชิดในกรมกองต่าง ๆ ชั่วขณะหนึ่งนางพลันรู้สึกถึงความสงบของการหลบมาพักชมธรรมชาติ แม้จะเป็นเพียงธรรมชาติจำลอง แต่นางคล้ายเข้าใจขึ้นมาว่าเหตุใดหยางกุ้ยเฟยจึงชมชอบที่แห่งนี้
ถานฉีแย้มยิ้มกับตนเอง หยางกุ้ยเฟยนั้นเป็นสตรีใจอ่อน หลายครั้งยังคิดกังวลในเรื่องไม่จำเป็น เช่นครั้งหนึ่งถึงกับตัดพ้อว่าไม่อยากออกไปชมวนอุทยาน ด้วยเกรงคำยกยอจนเกินพอดีของเหล่ากวีว่านางนั้นงามเสียจนบุปผาทั้งหลายพากันเหี่ยวเฉา เหตุเพราะบรรดายอดกวีต่างสรรเสริญรูปโฉมของพระนาง และยกย่องให้เป็นถึงยอดพธูแห่งต้าถังผู้ได้สมญาว่า ‘มวลผกาละอายนาง’ ดังนั้นคงไม่มีสถานที่ใดที่ยอดแห่งบุปผาจะสามารถอวดโฉมสะพรั่งได้โดยสะดวกหากไม่ใช่ที่นี่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางกลับทอดถอนใจครั้งหนึ่ง ความจริงที่ของนางยามนี้ย่อมเป็นที่อื่น ตนเป็นเพียงนางกำนัล ไหนเลยจะมีอภิสิทธิ์ถึงขั้นสามารถยืนชมความงามของส่วนหนึ่งในอุทยานหลวงได้อย่างปลอดโปร่ง หากไม่ใช่เพราะมีพระเมตตาค้ำจุน ถานฉีไม่สามารถเข้าใจได้จริง ๆ ว่าหยางกุ้ยเฟยกำลังคิดสิ่งใด และยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้นางยังไม่รู้ด้วยว่าตัววู่วามผู้นั้นเร้นกายอยู่ที่ใด
“ถ้าเจอตัวเมื่อไร เห็นจะต้องดุว่ากันสักหลายที”
ถานฉีเริ่มหงุดหงิด เป็นผู้บอกว่ามารอพบแท้ ๆ ไฉนกลายเป็นนางที่ถูกทิ้งเอาไว้ตามลำพัง ณ ที่นี้กันเล่า
หญิงสาวกลับมายืนตัวตรง ปรบฝ่ามือปัดคราบฝุ่นละอองออกจากกัน นางพ่นลมหายใจทิ้งไปอีกสายหนึ่งพลางสะบัดกายกลับมา ฉับพลันนั้นสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวทางหางตาว่ามีเงาดำร่างหนึ่งปรากฏทาบลงบนผืนน้ำชั่วพริบตา เมื่อนางเพ่งมองมันกลับแวบหาย หญิงสาวรีบหันตามแล้วหมุนตัวกลับมาจนเป็นเส้นตรง ทันใดนั้นตรงหน้ากลับปรากฏร่างหนึ่งโจนลงมาอย่างรวดเร็ว และยืดตัวขึ้นยืนประจันหน้ากับนางห่างออกไปหนึ่งจั้ง[3]
ร่างนั้นเมื่อยืดตัวขึ้นยืนเต็มกายกลับสูงกว่านางครึ่งฉื่อ[4] มองเห็นเรือนกายแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่งราวแผ่นศิลาซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมไหมเนื้อดีสีน้ำเงินเข้มตัวยาว เห็นลวดลายผสมดิ้นทองกำลังปรากฏประกายเป็นริ้วภายใต้แสงแดดยามสาย ระหว่างที่ชายผ้าไหวโยนตัวมาตามสายลม ซึ่งพัดมาพร้อมกลีบของเหมยฮวาจากสวนในพระราชฐานชั้นในที่อยู่ไม่ไกล
ถานฉีรู้สึกราวกับเวลาเดินช้าลงยามที่เจ้าของร่างนั้นใช้ดวงตาเรียบนิ่งมองตรงมาที่นาง จ้องลึกเข้ามาตรึงทั้งสายตาและร่างของนางให้หยุดนิ่งกับที่ นางจดจำบุรุษตรงหน้านี้ได้ เวลาหนึ่งปีล่วงผ่านไปแล้วนับแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน ระหว่างเขากับนางเพียงรู้จักกันวันเดียวเท่านั้น นั่นคือวันเทศกาลซั่งหยวนเมื่อปีที่แล้ว หากนับแต่นั้นกลับยังไม่มีผู้ใดที่ทำให้รู้สึกสับสนในใจได้เท่ากับบุรุษผู้นี้
นี่อย่างไร เทพมารจำแลง บุรุษผู้คลุ้มคลั่งราวสัตว์ร้าย และนักโทษกบฏชั่วช้าที่คิดท้าทายโองการสวรรค์ คำกล่าวอ้างโกหกทั้งหลายผุดขึ้นในสมองของนางยามจ้องมองร่างสูงใหญ่ปานขุนเขาเคลื่อนใกล้เข้ามา จนถึงวันนี้ความคิดของคนในรั้วในวังหรือชนชั้นสูงยังคงคับแคบ ไม่สามารถแยกแยะความจริงกับความเท็จ และน้อยรายหาได้มีโอกาสพินิจผู้ถูกกล่าวหากับสายตาตนเองไม่ ว่าแท้ที่จริงแล้วคนผู้นี้คือทหารกล้า เป็นวีรบุรุษผู้องอาจและสง่างามน่าชื่นชมเพียงใด
“แม่นางถานฉี”
จางเสี่ยวจิ้งหยุดฝีเท้าเมื่อร่นระยะเข้ามาจนห่างจากนางเพียงหนึ่งฉื่อ ยกมือขึ้นประสานไว้ด้านหน้าพลางค้อมตัวคำนับ ถานฉีพลันได้สติ สองมือประคองชายกระโปรงชุดยาวยอบตัวลงถอนสายบัวเล็กน้อยแต่ไม่กล่าววาจา เมื่อทั้งสองหยัดกายขึ้นมานางจึงปรับสีหน้า แหงนขึ้นเขม่นมองเขาด้วยอาการตำหนิ
“เจ้าเป็นบุรุษเยี่ยงไร แจ้งว่าจะมาขอพบ แต่กลับให้สตรีต้องรอ”
หัวคิ้วหนาขยับเข้าแล้วคลายออก เปลี่ยนใบหน้าเรียบเฉยเป็นฉงนสงสัยเมื่อได้ยินนางบริภาษ ถานฉีเห็นภาษากายเช่นนั้นกลับยิ่งเดือดเนื้อร้อนอก ปีหนึ่งล่วงไปแล้ว แต่คนผู้นี้กลับยังทำเหมือนนางว้าวุ่นไปเองไม่เข้าเรื่องเสียอย่างนั้น
“แล้วนี่ทำอันใด เสื้อคลุมยาวชุดนี้เป็นเครื่องแบบนายกองแห่งจิ้งอันซือ สถานที่ถูกยุบ คนถูกย้ายกล้าเอามาสวมเช่นนี้ไม่กลัวถูกจับลงอาญาฐานปลอมแปลงฐานะหรือ”
จางเสี่ยวจิ้งมุ่นคิ้วรับฟังคำกล่าวหาโดยไร้สาเหตุของหญิงสาว ตระหนักได้อยู่แล้วว่าตนเองมีส่วนผิดที่เสียมารยาทให้นางต้องรอ ขณะเดียวกันกลับไม่เข้าใจว่าเวลาเพียงเศษหนึ่งส่วนสามเค่อหาได้นานจนนางต้องร้อนใจ จากนั้นจึงแน่ใจว่าถานฉีเลือกใช้การปรามาสกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจบางอย่าง เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงสืบเท้าเข้าใกล้นางอีกสองก้าว ครั้งนี้หญิงสาวชะงักเล็กน้อย เป็นฝ่ายก้าวถอยหลังด้วยปฏิกิริยาที่ทำให้เขาแน่ใจว่านางไม่ได้นึกโกรธตนเองจริงตามปากว่า
“เจ้าจะจ้องข้าไปถึงเมื่อใด ไม่รู้มารยาทหรือไร ข้าถามแล้วเหตุใดไม่ตอบ”
คราวนี้รอยยิ้มพึงพอใจแย้มบานออกมาบนใบหน้าเฉยชา ทำให้ถานฉีรู้สึกถึงกระแสความปรารถนาบางอย่างที่แผ่ออกมาจากร่างใหญ่ที่กำลังเคลื่อนเข้าประชิด นางวาดมือออกปัดฝ่ามือใหญ่ที่ขยับมาอย่างเงียบเชียบ เมื่อปัดมือขวาได้มือซ้ายก็ตามเข้ามา นางยกมือขวาของตนตีมันออกไปได้อีกครั้ง น่าเสียดายที่ครั้งที่สาม ทั้งสองมือของนางกลับถูกดึงรวบไปกดไว้ด้านหลัง ขณะที่เจ้าของมือออกแรงกดร่างนางเข้าหาอย่างรวดเร็ว
“คิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน กล้าล่วงเกินนางกำนัลในเขตพระราชฐานหรือ”
คนถูกดุว่าไม่ตอบ เพียงรักษารอยยิ้มเจ้าเล่ห์เอาไว้ ขณะโน้มตัวเข้าใกล้จนหญิงสาวเป็นฝ่ายเอนกายถอยหลัง
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น -!”
ถานฉีกล่าวเฉียบขาด แต่นางยังไม่ทันจบประโยค มือที่ถูกกดไว้กลับหลุดออกจาการจับกุม แลกด้วยการที่ทั้งร่างของนางถูกบุรุษผู้นี้รวบเข้าหาแล้วสะกดกลืนคำพูดทั้งหลายเข้าไปด้วยริมฝีปาก
หญิงสาวหลับตาลงตามการกระทำ ทั่วร่างสั่นสะท้านราวถูกน้ำเย็นจัดราดรดจนความรู้สึกแหลมคมทิ่มแทงไปทั่วทุกรูขุมขน นางฝืนจิกฝ่าเท้าออกแรงดันตัวเองออกมาได้ในเสี้ยววินาที แต่เพียงเผลอเลื่อนสายตาไปสบกับดวงตาที่หรี่ลงมอง หญิงสาวกลับไม่อาจฝืนห้ามแรงดึงดูดบางอย่างที่สัมผัสได้จากกายเขา ยอมผ่อนคลายความหวาดระแวงลงและเอนกายเข้าสู่อ้อมกอดของอีกฝ่ายอีกครั้ง
นับจากนั้นในสมองพลันมืดมิด ไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งใด นอกจากลมหายใจอุ่นร้อนที่ถูกถ่ายทอดเข้ามากับสัมผัสหนักแน่นจากฝ่ามือที่ประคองอยู่ข้างแก้มและบั้นเอว ระหว่างที่เขายิ่งรั้งนางให้แนบชิด ขณะถ่ายทอดความคะนึงหาอันลึกล้ำอย่างที่นางไม่อาจจินตนาการได้เข้ามาผ่านทางริมฝีปากที่จรดเข้า จนทำให้นางซวนเซใกล้ทรงตัวไม่อยู่ทีละน้อย
“จางเสี่ยวจิ้ง”
แต่ก่อนทุกอย่างจะพังทลาย ถานฉีใช้กำลังใจเฮือกสุดท้ายเหนี่ยวรั้งสติของตนกลับมา สองมือวางทาบลงบนสาบเสื้อด้านหน้าและออกแรงขยุ้มเต็มแรง ในที่สุดจึงสามารถหยุดกระแสเพลิงปรารถนาที่กำลังลุกลามจนเกือบกลายเป็นไฟผลาญให้มอดลงได้ทันเวลา
“ขออภัย”
ถานฉีหายใจรวยริน น้ำเสียงทุ่มนุ่มยังก้องอยู่ในหู แม้ปากเอ่ยถ้อยคำขอขมา มองตาก็รู้ว่าเขาไม่ได้สำนึกเสียใจ หากไม่เพราะนางขอ ตัววู่วามนี้ย่อมไม่หยุดตัวเองเอาไว้แค่นี้ แต่เมื่อรู้เช่นนี้นางกลับอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ แม้เวลาจะผ่านไป แต่คนทึ่มทื่อไหนเลยจะกลายเป็นบุรุษทรงเสน่ห์เจ้าปัญญา
“เติงถูจื่อ”
นางดันตัวออกห่างจากอ้อมอกอีกฝ่ายเพื่อให้แหงนหน้ามองเขาได้ถนัด จางเสี่ยวจิ้งเบิกตาขึ้นเล็กน้อย พริบตาต่อมาถึงค่อยคลี่ยิ้มอย่างปลอดโปร่ง แล้วค่อยปล่อยมือข้างหนึ่งจากเอวนาง คงเหลือมือซ้ายที่ยังประคองข้างแก้มนางเอาไว้
“คนบ้ากามบุ่มบ่าม ชอบยั่วให้ข้าโมโห”
“ข้านึกว่าจะไม่ได้ยินคำนี้จากปากเจ้าแล้ว”
“คนบ้า” ถานฉีเอ็ดอีกคำ ยกมือทุบตีเขาด้วย “สมองเจ้าเลอะเลือนหรืออย่างไร ชอบถูกดุว่า”
“ทีนี้เจ้าเชื่อหรือไม่”
“เรื่องอันใด” ถานฉีสงสัย
“ว่าสักวันเจ้าจะเป็นหญิงอารมณ์ร้าย และต้องกลายเป็นคนที่ดุมาก” เขากระซิบกับนางด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวนึกออกทันใดถึงบทสนทนาผิดที่ผิดทางระหว่างที่อยู่ในเกวียนเทียมวัวที่บรรทุกร่างมือสังหาร เวลานั้นเขาลอบมองนาง นางเองก็ลอบมองเขา พวกเขาต่างลอบมองกัน ก่อนที่คนผู้นี้จะถือดีพูดจาคึกคะนอง กล่าวหาว่านางจะกลายเป็นหญิงแก่อารมณ์ร้าย เพราะบุรุษที่นางมีใจให้จะอยู่กับนางได้เพียงวันเดียวเท่านั้น
“เรื่องไร้สาระ” ถานฉีจดจำได้ทุกอย่าง เมื่อนึกถึงจึงรู้สึกสะท้านในอกขึ้นมาจนขอบตาร้อนผ่าว นางเบนหลบสายตาที่กำลังจ้องมองตนเองออกทันที อยากขยับกายไปสงบสติอารมณ์ให้ห่าง แต่มือของเขายืดออกราวกับอสรพิษผงกร่าง ทั้งยังบีบแน่นราวกับคีม ในที่สุดถึงกับรั้งนางให้ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่อาจเลี่ยงหลบได้
“แล้วปากสุนัขตัวใดที่บอกว่าจะไม่ไปจากกัน”
“เป็นข้า”
หญิงสาวสะบัดหน้ากลับมาทันเห็นดวงตาสีเข้มทั้งสองปรากฏประกายแน่วแน่จริงจัง จางเสี่ยวจิ้งปล่อยมือจากกายนาง ก้าวถอยไปด้านหลัง เตรียมคุกเข่าคำนับแล้ว แต่ถานฉีถลันไปคว้าหัวไหล่ทั้งสองเหนี่ยวร่างใหญ่เอาไว้
“เจ้าอย่าทำเช่นนี้!”
“เจ้ามีเหตุสมควรให้โกรธข้า และข้าสมควรขอโทษเจ้า”
“ไม่ เจ้าติดค้างคำขอโทษข้าจริง แต่ต้องไม่ใช่ชดใช้ด้วยวิธีนี้ เจ้าเป็นบุรุษ หนำซ้ำยังเป็นวีรบุรุษของต้าถัง ไหนเลยจะมาคุกเข่าก้มหัวให้สตรีได้ เป็นเรื่องไม่อาจกระทำ”
หญิงสาวยืนกราน นางเพียงน้อยใจในสิ่งที่เกิดขึ้นตามประสาสตรี หาได้โกรธเกลียดจริงจัง ดังนั้นจึงไม่อาจยืนรับการโขกศีรษะขอขมาได้ จางเสี่ยวจิ้งไม่เพียงเป็นบุรุษที่มีสถานะสูงส่งในสายตาของผู้ที่ชื่นชม แต่เขายังสูงวัยกว่านาง มาดว่ามองในมุมใดย่อมไม่สมควรกระทำเช่นนี้
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าต้องการให้ข้ากระทำสิ่งใดไถ่โทษ”
ถานฉีจ้องมองคนตรงหน้า ยามนี้อย่าว่าแต่ความดุร้ายที่ไม่ปรากฏ ไหวพริบเล่ห์เหลี่ยมยามปฏิบัติงานตามล่าคนร้ายยังไม่หลงเหลือด้วยซ้ำ ราวกับพญายมผู้น่าเกรงขามกลายเป็นเพียงบุรุษใสซื่อที่ไม่รู้ประสามองแล้วทั้งน่าขบขันและน่าเอ็นดู
“แล้วเจ้า กลับมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด”
“ข้า...” วาจาของจางเสี่ยวจิ้งติดขัด “ข้าอยากพบเจ้า”
“ได้พบแล้วจะทำอันใด”
“ข้าอยากใช้เวลากับเจ้า เทศกาลชมโคมเป็นงานมงคล หากได้เที่ยวชมเทศกาลซั่งหยวนปีนี้ด้วยกัน คงนับเป็นช่วงเวลาพิเศษที่สุดในชีวิต”
ถานฉีรับฟังคำสารภาพตรงไปตรงมาแล้วพลันรู้สึกอบอุ่นในใจ จางเสี่ยวจิ้งที่นางรู้จักเมื่อหนึ่งปีก่อน เบื้องแรกเป็นบุรุษท่าทางหยาบกระด้างจนคล้ายไร้มารยาท หากแต่มีความคิดเฉียบแหลม หลายครั้งกล่าววาจาเฉียบคมเชือดเฉือน หากแต่ยามอยู่กับนาง เขากลับปฏิบัติอย่างไร้เล่ห์เหลี่ยมจนหลายทีกลับดูไร้เดียงสา เช่นเดียวกับคำพูดนี้ที่ทำให้นางเผลอนึกลำพองตนเองว่ามีคุณพิเศษกว่าผู้อื่นพริบตาหนึ่ง
“เจ้ากล่าวเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา ไหนเลยจะทำให้ความทรงจำของใครเป็นสิ่งพิเศษได้ปานนั้น”
“แต่ไม่ใช่กับข้า” จางเสี่ยวจิ้งยืนกราน
“เจ้าสามารถไปกับข้าได้หรือไม่ หรือข้าจำเป็นต้องไปขอเข้าเฝ้าหยางกุ้ยเฟยเพื่อขอประทานอนุญาต”
“ไม่ต้อง” ถานฉีส่ายหน้าห้าม “พี่หญิงมีคำสั่งแก่ข้าแล้ว นางว่าวันนี้ให้ข้าออกไปชมเทศกาลได้”
“มีเวลาเท่าใด”
“สิบสองชั่วยาม” ถานฉีตอบ ครั้งนี้เป็นฝ่ายขยับเข้าไปยืนประจันหน้ากับเขาในระยะประชิด ช้อนสายตาขึ้นมองพิจารณาความคิดเบื้องหลังดวงตาสีเข้มทั้งสอง
“มีเวลาเพียงเท่านี้ ยังอยากพาข้าไปอีกหรือไม่”
“ต่อให้มีเวลาเพียงครึ่งเค่อก็คุ้มค่า”
เขาไม่เสียเวลาทบทวน ขยับถอยหลังไปประสานมือคำนับอีกครั้ง
“แม่นางถานฉี โปรดให้เกียรติด้วย”
ต่อให้นางเคยถูกล่วงเกินถึงสองครั้งสองครา หากแต่เมื่อมีบุรุษที่ไม่เคยเกรงกลัวแม้อาญาแผ่นดินมาก้มศีรษะคำนับ นางไหนเลยจะใจดำกล้าปฏิเสธได้ลง ถานฉีคิดและตัดสินใจยอบตัวลงถอนสายบัวรับคำขอ เมื่อเสร็จค่อยเดินเข้าไปใกล้ เชิดหน้ามองอย่างไม่เกรงกลัว
“สิบสองชั่วยามต่อจากนี้ ต้องรบกวนนายกองจางแล้ว”
นางว่าพลางเบี่ยงตัวหลบเดินจากใต้ร่มศาลาออกสู่แสงแดดภายนอก ปล่อยให้จางเสี่ยวจิ้งทอดสายตามองตามเรือนร่างบอบบางงดงามเคลื่อนห่างออกไป
สายลมเดือนอ้ายยังโชยมาพร้อมหอบเอากลีบดอกไม้กับกลิ่นหอมรัญจวนเข้ามาในบรรยากาศ ยิ่งขับย้อมให้ทิวทัศน์ของสวนกลางน้ำงดงาม เน้นให้ภาพลักษณ์ของสตรีตรงหน้ายิ่งดูคล้ายนางฟ้าจำแลงมากกว่าจะเป็นเพียงปุถุชนธรรมดา
หากไม่เพราะเหตุการณ์สะท้านขวัญปีที่แล้ว มาดว่าเขาพยายามทุ่มเททั้งชีวิตก็คงไม่อาจได้เห็นแม้เพียงปลายแขนเสื้อของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เขาจึงไม่ลังเลและรีบก้าวตามนางไป
แม้ไม่รู้ว่าดอกฟ้าจะโน้มกิ่งลงมายังผืนดินอีกนานเท่าใด แต่สิบสองชั่วยามนับจากนี้ เขาจะใช้เวลาทั้งหมดให้คุ้มค่า อย่างน้อยก็เพื่อสร้างอีกความทรงจำที่ดีให้เกิดขึ้นระหว่างกัน เพื่อที่ตนเองและนางจะไม่ต้องกลับมาเสียดายเมื่อย้อนนึกถึงเรื่องของวันนี้ในภายหลัง
[1]ยามซื่อ คือ เวลา 09.00 – 10.59 น.
[2]ยามจื่อ คือ เวลา 23.00 – 24.59 น.
[3] หน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ 1 จั้ง ประมาณ 3.33 เมตร
[4] หน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ 1 ฉื่อ ประมาณ 30 เซนติเมตร
Comments (0)