3 ตอน รัชศกเทียนเป่าปีที่สี่ เดือนอ้าย วันที่สิบสี่ ปลายยามอู่
โดย อะซะกะโอะ
รัชศกเทียนเป่าปีที่สี่ เดือนอ้าย วันที่สิบสี่
ล่วงเข้าปลายยามอู่ (ยามอู่ 11.00 - 12.59 นาฬิกา)
นับแต่ตัดสินใจเข้าวังเพื่อติดตามรับใช้หยางกุ้ยเฟยตั้งแต่พระนางยังดำรงตำแหน่งนักพรตหญิงไท่เจิน นี่นับเป็นครั้งแรกที่ถานฉีได้ก้าวกลับออกมายังภายนอกกำแพงวังมังกร กลับสู่กระแสสังคมอันคึกคักปั่นป่วนและมีชีวิตชีวาของปุถุชนธรรมดาที่เคยห้อมล้อมนางไว้
หญิงสาวสนใจใคร่รู้ทุกสิ่ง ไม่ว่ามองทางใดล้วนเต็มไปด้วยสิ่งล่อตาล่อใจราวกับเพิ่งพบเห็นเป็นครั้งแรก ชาวฉางอันยังคงแข็งแรงกระตือรือร้น ทั้งยังดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษในบรรยากาศงานเทศกาล ชาวบ้านร้านค้าในตลาดต่างตระเตรียมของประดับ ริ้วผ้าแพรพรรณหลากสี รวมถึงโคมกระดาษหลากรูปทรง ตั้งแต่หน้าตาสามัญไปจนถึงรูปร่างวิจิตรพิสดารออกมาติดแขวนกันวุ่นวาย ใบหน้าผู้คนเปื้อนยิ้ม การเคลื่อนไหวรวดเร็วต่อเนื่อง ทั้งยังได้ยินเสียงพูดคุยสดใส คละเคล้าเสียงหัวเราะสรวลเสแว่วมาเป็นระยะไม่ขาด
“มีที่ใดที่แม่นางต้องการเที่ยวชมเป็นพิเศษหรือไม่”
ถานฉีชะลอฝีเท้า เบี่ยงกายกลับมาช้อนสายตามองผู้เดินขนาบข้างเยื้องไปด้านหลัง ถ้อยคำที่เอ่ยถามแฝงความสุภาพเป็นการเป็นงาน ให้ความรู้สึกประดักประเดิดจนนางแปลกใจ ทั้งสีหน้าสงบนิ่งจนแลดูเคร่งขรึมเกินจำเป็นนี่อีก หญิงสาวเขม่นมองแล้วไม่อาจเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นแกล้งอันใดนางอยู่หรือไม่
“เจ้าเป็นอะไร เหตุใดวางตัวสุภาพกับข้านัก”
นางสังเกตเห็นความแปรเปลี่ยนบนใบหน้าเรียบนิ่งในพริบตา ดวงตาสีเข้มคล้ายพองโตอยู่ภายใต้เปลือกตาอวบนูน ก่อนมุมปากข้างหนึ่งจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มซุกซนระคนครุ่นคิด ถานฉีมุ่นคิ้วทันที สีหน้าคล้ายมีแผนการแยบคายบางอย่างเช่นนี้ไม่ต่างจากยามที่ได้พบกันในคลังเก็บของของกองกำลังโย่วเซียว
“ขออภัย”
จางเสี่ยวจิ้งปล่อยให้ถานฉีสื่อสารกับความเงียบมาชั่วอึดใจแล้วจึงเอ่ย จากนั้นผงกศีรษะขึ้นปรายตามองนางด้วยแววตาที่ส่งผ่านความอุ่นระอุบางอย่างมาให้หญิงสาวสัมผัสได้
“ข้าเพียงแค่…มองแล้วเห็นว่าเจ้างามมาก จึงวางตัวไม่ถูก”
“…เติงถูจื่อ”
ถานฉีนิ่งไปชั่วหายใจเข้าออก ดึงสายตาหลบขณะอุทานออกมาแผ่วเบา จึงไม่เห็นเจ้าตัวศิลาเดินได้เชิดหน้าขึ้น ลอบมองสีหน้าที่กำลังแปรเปลี่ยนด้วยคำพูดตนของนางอย่างพึงพอใจ
“สิ่งดีมีให้มองมากมาย ผู้คนล้วนแต่งตัวสวยงาม ประดับบ้านเรือนร้านค้าอย่างน่ามอง ข้าก็นึกว่าเจ้าเพลิดเพลินกับการชมบรรยากาศ คิดไม่ถึงว่าที่เดินเงียบมาตลอดเพราะเอาแต่...”
ถานฉีคิดแล้วรู้สึกคล้ายมีมดแมลงไต่ตอมในใจจนต้องระบายความรู้สึกออกมา นึกไม่ถึงว่าไม่อาจกล่าวจนจบจำต้องสงบคำพูดเอาไว้ก่อน ด้วยตระหนักว่าจะเป็นการกล่าวหาตนเอง
นางเม้มริมฝีปากพ่นลมหายใจเพื่อปรับท่าทางเตรียมเดินต่อ หากแต่ไม่อาจขยับพ้นเพราะถูกร่างใหญ่เคลื่อนเข้ามาประชิด จนเงาทอดทาบมากลืนเงาร่างนางจนแนบสนิท
“มีสิ่งงดงามที่สุดอยู่ใกล้ตัว ไยข้าต้องมองสิ่งอื่น”
หญิงสาวลอบกลืนเสียงอุทานที่คล้ายก่อตัวขึ้นลงคอ กะพริบตามองสบกับดวงตาที่หรี่ลงมอง แล้วเห็นมุมปากเขาคลี่ออกกว้างขึ้น
เมื่อเห็นนางไม่ส่งเสียงหรือแสดงอาการคล้อยตาม จางเสี่ยวจิ้งพลันขยับกายร่นเข้าประชิด ก้มใบหน้าลงเลิกคิ้วมองอย่างท้าทายและหยอกเอิน จนถานฉีต้องยกมือดันอกเขาเอาไว้ก่อน แล้วจึงเห็นรอยยิ้มด้วยความยินดีปรากฏออกมา
“ชอบให้ข้าชมเจ้าหรือ”
ถานฉีถึงกับต้องเบิกตา ชั่วยามก่อนเขาจู่โจมนางอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ยามนี้ยังกล้าถามสิ่งที่ไม่ควรกลางวันแสก ๆ ช่างเป็นคนที่วาจาไม่สำรวมนัก เวลาล่วงไปจนครบหนึ่งปี แต่บุรุษผู้นี้ยังคงเป็นตัวร้ายกาจกวนใจไม่เปลี่ยน
“ไม่ตอบ? ข้าพูดแทงใจดำหรือไร”
“คนบ้า”
ถานฉีอุทานได้คำหนึ่ง กลับทำให้จางเสี่ยวจิ้งหัวเราะได้
“เจ้าชอบให้ข้าชมเจ้า ชอบที่ข้าชอบเจ้า และพอใจที่ข้ามองเจ้า เรื่องง่ายพรรค์นี้ไยต้องลำบากไม่ยอมรับ”
ถูกกล่าวหาถึงสามครั้งสามคราถานฉีไหนเลยจะทนได้ นางสะบัดฝ่ามือน้อยตีแก้มตัวกวนใจเสียงดังเพี๊ยะ สะบัดหน้าหนีออกไปทันที ทิ้งคนกระเซ้าเย้าแหย่ยืนเอามือหนึ่งเท้าเอว อีกมือยกขึ้นลูบคางระหว่างบิดกล้ามเนื้อใบหน้าไปมา จางเสี่ยวจิ้งไม่เจ็บไม่คัน หากเต็มไปด้วยความฮึกเหิมลำพอง สำหรับบุรุษที่มีจิตปฏิพัทธ์ต่อสตรีผู้หนึ่งแล้ว หากถูกดุด่านับว่าถูกชม และหากถูกตบย่อมสมควรทราบว่าถูกบอกรัก
“เก็บมือไม้เจ้าให้ดี ใครใช้ให้เข้ามาหยิบฉวย”
หญิงสาวหดมือเข้าไปในแขนเสื้อใช้มันฟาดปลายนิ้วที่ยื่นเข้ามาหา ถานฉียังคงเชิดหน้ามองตรงโดยพยายามไม่สบตา แม้สองแก้มเริ่มเป็นสีแดงเข้มขึ้นจากเลือดฝาดผสมชาดที่ผัดไว้ด้านนอก จางเสี่ยวจิ้งรวบมือทั้งสองไพล่หลังยอมคล้อยตาม หากแต่โยกไหล่ลงกระซิบข้างหู
“ถ้าเจ้าไม่ยอมให้ข้าเดินด้วยโดยดี ต่อไปข้าจะอุ้ม”
ถานฉีตวัดสายตาดุมองค้อนอีกฝ่ายทันที
“สำรวมท่าทางเจ้าด้วย เห็นแก่เครื่องแบบที่ยืมมาใส่บ้าง”
“เครื่องแบบนี่ข้าไม่ได้ขอ เป็นแม่ทัพกัวเอามาให้ข้าเอง”
จางเสี่ยวจิ้งสั่นศีรษะ
“ถึงกระนั้นมันก็บ่งบอกฐานะของหน่วยงานที่สังกัด จะแสดงกิริยาใดย่อมต้องระวัง”
“หน่วยงานที่ถูกยุบ ผู้บัญชาการลาออกจากตำแหน่งเช่นนั้นหรือ เกรงว่าบัดนี้คงไม่มีผู้ใดจำชื่อได้แล้วกระมัง”
จางเสี่ยวจิ้งกล่าวความจริง หากแต่วาจาสัตย์ซื่อแฝงอาการเสียดสีโดยไม่ตั้งใจจนทำให้ถานฉีรู้สึกคล้ายถูกปลายเข็มสะกิด นางผ่อนลมหายใจ ทอดสายตาลงต่ำ เงียบไปชั่วหายใจเข้าออก
“ถูกของเจ้า จิ้งอันซือก่อตั้งได้สี่เดือน รับภารกิจเดียวแล้วปิดตัวลง ทุกสิ่งล้วนกลายเป็นอดีตที่ถูกกลบฝังรอการลืมเลือน”
จางเสี่ยวจิ้งเลื่อนสายตามองตามการเคลื่อนไหวของใบหน้างามที่ปรากฏเงาของความหม่นเศร้าฉายทาบ ถานฉีเปรยออกมาหนึ่งประโยคแล้วไม่กล่าวสิ่งใดอีก นางเพียงสืบเท้าก้าวต่อโดยไม่หันกลับมา คล้ายจมลงสู่ภวังค์ความคิด
สำหรับพวกเขาแล้ว สถานที่แห่งนั้นคือที่แห่งความทรงจำ ที่ ๆ ทุกคนถูกโชคชะตาชักพาให้มาพบกัน ก่อนได้ร่วมผจญภัยผ่านเรื่องราวร้ายดีด้วยกันมากมายในเวลาสิบสองชั่วยาม แม้เป็นเพียงวันเดียว แต่ร่องรอยการกระทำกับความทรงจำทุกอย่างล้วนสลักลงไปในกายใจอย่างแน่นหนา ไม่อาจลบลืมได้โดยง่าย
จางเสี่ยวจิ้งคิดแล้วเร่งฝีเท้าขึ้นก้าวทันนาง ยื่นฝ่ามือซ้ายออกคว้าข้อมือเล็กเรียวดึงให้อีกฝ่ายชะลอฝีเท้า เมื่อถานฉีหันกลับมาค่อยเอ่ยขึ้นคำหนึ่ง
“เรากลับกวงเต๋อฟาง ไปเยี่ยมอารามจิ่งหลงและสถานที่ที่เราได้พบกันเถอะ”
ถานฉีจ้องประสานสายตากับจางเสี่ยวจิ้ง คลี่ยิ้มเล็กน้อย
“ไปสิ กลับไปจิ้งอันซือกัน”
สถานที่ตั้งของจิ้งอันซืออยู่ในกวงเต๋อฟาง ใกล้กับตลาดประจิม เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอารามจิ่งหลงและเคหสถานของขุนนางผู้ใหญ่ที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทาน บัดนี้หลังจากหน่วยงานถูกยุบ พื้นที่ส่วนใหญ่กลับกลายเป็นของหลวงและถูกปรับปรุงเป็นสวนสาธารณะให้แก่ประชาชนในฟาง เพลานี้ยามตะวันขึ้นสูงเหนือศีรษะทั้งยังเป็นวันเทศกาล จำนวนผู้คนที่มาเดินเล่นพักผ่อนจึงยังมีไม่มาก กระนั้นยังเห็นแนวแถวของโครงไม้สูงที่ตั้งขึ้นไว้สำหรับแขวนโคมประดับตามเทศกาลมีโคมจำนวนไม่น้อยถูกแขวนติดเอาไว้ และกำลังมีอีกมากที่เจ้าหน้าที่ของทางฟางจำนวนหนึ่งกำลังเร่งจัดเรียงขึ้นให้เต็มแถว
ถานฉีเดินไปหยุดยืนอยู่ห่างจากแถวของบรรดาเจ้าหน้าที่ แหงนหน้ามองพวกเขาเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ฝ่ายจางเสี่ยวจิ้งเดินวนดูรอบบริเวณเพื่อสำรวจทิศทาง ไม่นานจึงเดินกลับมาสะกิดหลังแขนของหญิงสาวให้รู้ตัวและขยับเดินตาม
ทั้งสองจดจำได้ว่ามีช่องทางลับบริเวณกำแพงอารามจิ่งหลงที่เคยใช้ลักลอบกลับเข้าไปด้านข้างผนังของที่ทำการ แม้ว่าขณะนี้ศูนย์บัญชาการปิดตัวลง แต่ช่องทางลับอาจยังใช้การได้ ในที่สุดจางเสี่ยวจิ้งเสาะหาพบจึงนำถานฉีเดินไปยังจุดนั้น โชคดีที่ช่องทางลับยังคงลับอยู่จึงไม่ต้องตาผู้คน เพียงพริบตาคนทั้งสองสามารถอาศัยจังหวะที่ผู้คนรอบข้างมองเมินลักลอบเข้าไปด้านใน
“เจ้าระวังด้วย”
จางเสี่ยวจิ้งหย่อนตัวลงบนพื้น ก่อนหันกลับมาหาถานฉีที่กำลังหย่อนตัวตามมา นางพยักหน้าแล้วปล่อยมือ นึกไม่ถึงว่าลอนกระเบื้องที่ปลายนิ้วเหนี่ยวไว้นั้นกลับลื่นจนทำให้นางเสียจังหวะ ร่างเอนหงายจนเกือบทิ้งน้ำหนักลงพื้นผิดท่า โชคดีที่บุรุษเบื้องล่างจับตามองอยู่โดยตลอดจึงรับร่างบางไว้ทัน
“บอกให้ระวังอย่างไร”
เจ้าของอ้อมแขนแข็งแกร่งเอ่ยเสียงนุ่ม ช้อนสายตาผสมรอยยิ้มหยอกเอินมองหญิงสาวที่ตกใจ ถานฉีเหนี่ยวบ่าเขาไว้เพียงพริบตาแล้วผละออก เอ่ยขอบคุณเสียงค่อยก่อนเบี่ยงตัวเดินหลบ
ร่างบอบบางในชุดกระโปรงยาวสีมะปรางสุกเดินนำไปก่อนหลายก้าว ทิ้งให้บุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้มก้าวตามไปช้า ๆ ถือโอกาสลอบมองเค้าโครงร่างเย้ายวนใจเคลื่อนไหวอยู่ใต้แสง
จางเสี่ยวจิ้งกวาดสายตาเพียงครั้งเก็บภาพรอบลานกว้าง บริเวณนี้สมควรเป็นตำหนักหลังเล็กซึ่งเป็นที่พำนักส่วนตัวของหลี่ปี้เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ ใต้เรือนเป็นทางน้ำที่ทอดยาวไปบรรจบกับคลองเล็กในส่วนของตำหนักใหญ่ ตลอดสองข้างเป็นพุ่มไม้ดอกปลูกเป็นแนวให้ความสดชื่น หากแต่บัดนี้เหลือเพียงกิ่งก้านกำลังแตกหน่อแทงใบอ่อน ไม่ไกลมีสนต้นเตี้ยยืนต้นอยู่กลางลานที่โรยไว้ด้วยกรวดละเอียดอันเป็นส่วนหนึ่งของสวนหินตามศิลปะแบบเต๋า ห่างออกไปไม่ไกลเริ่มมีไม้ดอกที่บานช่วงปลายเหมันต์ผลิดอกโชยกลิ่นหอมอ่อนจางออกมา
ถานฉีเดินข้ามขั้นบันไดหน้าตัวเรือนตำหนักน้อยขึ้นไปยืนมองบานประตูที่ปิดสนิท จางเสี่ยวจิ้งหยุดสูดเอากลิ่นหอมสดชื่นในบรรยากาศเพื่อเรียกคืนความทรงจำครั้งที่ได้รับอิสรภาพโดยไม่คาดฝันเมื่อปีก่อนกลับมา พร้อมดึงเอาภาพจำแรกที่ได้พบกับหญิงสาวออกมาด้วย เขายืนทบทวนความทรงจำนี้ต่ออีกเล็กน้อย ก่อนกระโจนครั้งเดียวจากพื้นข้ามขอบรั้วริมทางเดิน ขึ้นไปยืนบนยกพื้นในระดับเดียวกับนาง
“คิดถึงคุณชายหรือ”
“ไม่ใช่ ข้าเพียงคิดถึงความหลัง” นางปฏิเสธ มือที่กำลังยกทาบบานไม้พลันชักกลับมากุมไว้ด้วยกัน
“คุณชายข้าสบายดี คืนนี้จะมาถวายพระพรฝ่าบาท ณ พระตำหนักซิงชิ่งร่วมกับเหล่าขุนนางผู้ใหญ่”
“เหมาะสมแล้ว” จางเสี่ยวจิ้งเอ่ยออกมาคำหนึ่ง
“บุรุษชาติตระกูลสูงส่งมีปัญญา ไฉนเลยเก็บตัวอยู่กลางป่าเขา หาทำประโยชน์อันใดได้ไม่”
ถานฉีขยับกายหันมองใบหน้าเรียบเฉยหยาบกร้าน สังเกตเห็นแววหม่นเศร้าปรากฏขึ้นฉาบทับบางเบา ขณะที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ขื่นขมบางประการที่ปนมากับวาจาเมื่อครู่ จางเสี่ยวจิ้งพูดถูก คุณชายของนางเป็นผู้มีปัญญา ทั้งชาติกำเนิดสูงศักดิ์ สมบูรณ์พร้อมทั้งรูปและทรัพย์สมบัติ ถือเป็นคนหนุ่มที่มีจิตใจมุ่งมั่นเหมาะสมกับการฝากอนาคตของต้าถัง แต่เมื่อคิดเช่นนั้นประกอบกับลอบสังเกตคนตรงหน้า นางพลันฉุกคิดขึ้นมาว่าเขาเองก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ
“มองหน้าข้านานเช่นนั้น คิดสิ่งใดอยู่”
จางเสี่ยวจิ้งไม่หันมาแต่เอ่ยถาม เมื่อถานฉีอึกอักจึงค่อยตะแคงศีรษะมาส่งยิ้มหยอกเย้าท้าทาย
“อยากพินิจดูให้ชัดหรือว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงชอบข้าถึงเพียงนี้”
ถานฉีลอบกำมือ หากไม่ติดว่าแรงทุบตีของสตรีย่อมเบาจนไม่ระคายผิวเขา นางคงชกให้สักหมัด
“เปล่า ข้าเพียงสงสัยว่าเหตุใดเจ้าเงียบ”
“ไม่มีสิ่งสมควรพูดย่อมไม่พูด” จางเสี่ยวจิ้งบอก
“เช่นนั้นการกวนใจข้าคือสิ่งสมควรพูด?”
หญิงสาวท้วงถาม ครั้งนี้ความพยายามของนางสามารถกระตุ้นให้จางเสี่ยวจิ้งเคลื่อนกาย ขยับหันมาเชิดหน้ามองด้วยรอยยิ้มซุกซน แต่เขาไม่ตอบคำถาม ไม่เฉลยข้อข้องใจ และใช้เพียงสายตาแฝงประกายบางอย่างมองมาให้นางคาดเดาเอาเอง
ถานฉีรำคาญท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่ายนัก หากไม่นับครั้งแรกที่เขากับนางได้สนทนากันสั้น ๆ ที่หน้าเรือนนี้ระหว่างรอหลี่ปี้ปรากฏกาย เหตุการณ์ต่อจากนั้นกลับมีเพียงกิริยาแกล้งยั่วโมโหราวกับมันเป็นเรื่องชวนหัว
“เจ้ากลับมาที่นี่เพื่ออะไร”
เมื่อไม่ได้รับคำตอบของกิริยาชวนให้หัวใจนางปั่นป่วน ถานฉีจึงถามในสิ่งที่ตกตะกอนอยู่ตรงก้นบึ้งของหัวใจตามตรง คำถามคราวนี้ได้ผล เพราะทำให้จางเสี่ยวจิ้งเปลี่ยนสีหน้า
“เพียงพบข้าวันเดียว เท่านี้หรือ”
“ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง หามีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ไม่สามารถควบคุมได้”
เขากล่าวออกมาโดยไม่ใช่คำตอบ
“เพียงอย่างเดียวที่อาจสามารถกระทำ คือซื่อสัตย์ต่อความคิดตนให้ถึงที่สุด”
“เจ้ากล่าววาจาอันใด”
ถานฉีขมวดคิ้ว ก้าวถอยหลังโดยไม่ตั้งใจเมื่อเห็นจางเสี่ยวจิ้งสืบเท้าใกล้เข้ามา
“ข้าอยากพบเจ้า นั่นคือความสัตย์”
จางเสี่ยวจิ้งกล่าวเสียงเบาทว่าหนักแน่นในความรู้สึก พูดจบก็ฉวยฝ่ามือเล็กของนางไปกุมไว้
“และข้ายินดีพบเจ้าเพียงวันเดียว หากนั่นเป็นสิ่งเดียวที่สามารถกระทำได้”
“ตกลงเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”
“ถานฉี” เขาเอ่ยชื่อนาง สะกดให้หญิงสาวหยุดคำพูดต่อไปที่เคลื่อนขึ้นมาจ่ออยู่ตรงริมฝีปากของตนเอาไว้
“วันนี้หยางกุ้ยเฟยประทานอนุญาตให้เจ้าออกมาเที่ยวชมงานเทศกาลไม่ใช่หรือ เหตุใดไม่ละวางเรื่องขุ่นเคืองใจ แล้วตั้งใจหาความเพลิดเพลินเล่า”
“สิ่งใดคือความเพลิดเพลิน?”
“ย่อมไม่ใช่การจ่อมจมอยู่กับอดีต ไม่ใช่การทอดเวลาให้เสียเปล่าในสถานที่อันไม่มีอยู่จริงอีกต่อไปแล้ว”
“แต่เจ้าย้อนกลับมาก็เพราะอดีต”
“ข้าย้อนกลับมาเพราะคนที่มีชีวิตอยู่ต่อมาจากอดีต ไม่ใช่เพราะตัวอดีต”
จางเสี่ยวจิ้งโต้แย้ง กระชับฝ่ามือหยาบหนาบีบมือของนางแน่น สองตาสบกับนางนิ่งโดยไม่หลบเลี่ยง
“บัดนี้เจ้าเป็นปัจจุบันของข้า และข้าก็ต้องการให้เจ้าอยู่กับปัจจุบันกับข้าด้วย”
ถานฉีไม่อาจดึงสายตาหลบ มาดว่านางพยายามแล้วดวงตาสีเข้มทั้งสองก็เคลื่อนตามติดเป็นเงาจนนางอ่อนใจ
“ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าอยากชมดูเป็นพิเศษบ้างเลยหรือ”
จางเสี่ยวจิ้งถามเป็นครั้งที่สอง ถานฉีครั้งนี้สองแก้มเริ่มอุ่นขึ้น นางหยุดคิดแล้วเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “ข้าแสบท้อง”
“เหตุใดไม่รีบบอก ปล่อยตัวเองเดินหิ้วท้องมาตั้งไกลได้อย่างไร” ตามด้วยการดุนางอีกประโยคหนึ่ง
“เรื่องเช่นนี้สมควรให้บุรุษเป็นผู้เสนอชวน ให้สตรีพูดก่อนได้อย่างไร”
“เจ้ารู้ว่าข้ายินดีรับฟังเจ้าทุกเรื่อง ไยต้องพิรี้พิไร”
เขาย่นคิ้วท้วงนางอีกหนึ่งประโยค
“ในเมื่อข้าพูดแล้วก็ย่อมเป็นหน้าที่เจ้าบริการ”
นางปรักปรำเขาอีกคำรบ กระตุ้นให้คนฟังแค่นหัวเราะอ่อนใจ
“เช่นนั้นข้าพาเจ้าไปหาอาหารเลิศรสบำรุงกำลังก่อน ต่อจากนั้นเราไปเที่ยวชมเมืองฟากประจิม อาจแวะสักการะศาสนสถานในไหวหย่วนฟางเพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วค่อยแวะชมสินค้านอกด่านจากตลาดประจิม ดีหรือไม่”
“แผนฟังดูเข้าที เช่นนั้นเจ้าก็นำทางไป”
ถานฉีฉวยโอกาสในพริบตารูดดึงมือออก เตรียมเบี่ยงกายเดินเลี่ยงหลบมาตามเดิม เสียดายที่ครั้งนี้มือซ้ายของจางเสี่ยวจิ้งกลับตามติดประหนึ่งเส้นยางที่ยืดออกแล้วดีดกลับ
“ไม่เดินหนีข้าทุกครั้งไม่ได้หรือไร”
เขาเอ่ยท้วง น้ำเสียงแฝงความหงุดหงิดระคนน้อยเนื้อต่ำใจอย่างละครึ่ง
“หนึ่งปีล่วงไปแล้ว ไม่ทำให้เจ้าอยากให้โอกาสข้าบ้างหรือ”
ถานฉีมองดวงตาที่สั่นไหวของเขายามที่เอ่ยวาจาตัดพ้อ นอกจากความดุร้ายเกรี้ยวกราดที่ไม่ปรากฏ นางยังไม่คาดว่าจะได้เห็นความอ่อนไหวเยี่ยงนี้จากตัวบุรุษที่เหี้ยมหาญจนทุกคนโจษจันกันด้วย
“ข้า” หญิงสาวไม่สามารถเอ่ยตอบได้ทันที จำต้องหยุดเรียบเรียงความคิดตนเองครู่หนึ่ง
“...ขออภัยด้วย” ในที่สุดนางสามารถกล่าววาจาได้ “ข้าเพียง ไม่แน่ใจว่าสมควรวางตัวกับเจ้าอย่างไร”
สิ่งนี้เป็นความซื่อตรงที่สุดเท่าที่นางสามารถอธิบายความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่ในใจของตน เวลาหนึ่งปีล่วงไปแล้วจริงดังว่า หากแต่เวลาที่ล่วงไปไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงว่านางกับเขาเพียงรู้จักกันหนึ่งวัน ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน พวกเขามีเวลาเพิ่มอีกวัน แต่พิจารณาแล้วยังน้อยเกินไป
“ไม่ต้องคิดมาก ข้าเพียงขอติดตามอยู่ใกล้เจ้าบ้าง พ้นจากนี้เจ้าต้องการทำอย่างไรก็จงทำเถอะ”
ถานฉีพยักหน้าเล็กน้อย นางลองบีบมือกลับ แต่ไม่ทันตอบรับการปล่อยมือของอีกฝ่ายก่อน
“เราไปกันเถอะ หากไม่รีบเกรงว่าคนคงแน่นร้านแล้ว”
Comments (0)