ยิ่งไล่ตามกลุ่มเมฆหมอกสีดำนั้นมาก็ยิ่งได้กลิ่นอันชวนคลื่นเหียนบางอย่างกระทบนาสิกชัดเจนขึ้นทุกฝีก้าว ซินหลงจดจำได้ทันทีว่านั่นคือกลิ่นอันใด หากเพียงมิแน่ใจว่าเหตุใดจึงปรากฏกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงเช่นนี้ในเมือง

ทั้งเมฆหมอกสีดำอันมีไอมารปะปนเช่นนี้

นับแต่ย่างก้าวเข้ามาแว่นแคว้นแห่งนี้ มักปรากฏเรื่องราวอันพาให้ใจเต้นระส่ำมิเว้นว่าง

ซินหลงจับจ้องไปเบื้องหน้าพบางหรี่สายตา กระบี่ไม้ท้อศักดิ์สิทธิ์อันผ่านการปลุกเสกโดยท่านอาจารย์ถึงเจ็ดทิวาราตรีกระชับมั่นอยู่ในมือ ไม้ท้อมักเป็นที่นิยมนำมาทำขึ้นเป็นกระบี่หรืออาวุธสำหรับขับไล่ภูตผีด้วยกล่าวกันว่ามีพลังแห่งทวยเทพแฝงเร้นอยู่ มีความสามารถในการสะกดกำราบพลังชั่วร้ายได้ดีกว่าไม้ชนิดอื่น ทั้งยังมีรูปแกะสลักมังกรปรากฏอยู่กลางตัวกระบี่ ทั้งอาจารย์เอ่ยบอกว่ากระบี่เล่มนี้ถูกทำขึ้นสำหรับนางเท่านั้นจึงมีมังกรอันเป็นสัตว์เทวาผู้พิทักษ์อีกทั้งคือความหมายแห่งนามของนาง

หากอย่างไร ส่วนหนึ่งย่อมขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งจากปราณของผู้ใช้

พลังปราณของซินหลงมิได้มั่นคงนักแม้ผ่านการเคี่ยวกรำฝึกหนักมากว่าสิบปี ด้วยวิชาการขับไล่ภูตผีถ้าจักให้ดี ผู้ฝึกจำต้องมีกายที่แข็งแกร่งแลแก่นวิญญาณอันมั่นคง แก่นวิญญาณที่ว่านี้ครั้นเจริญวัยแลผ่านการฝึกฝนจักแปรเปลี่ยนเป็นปราณซึ่งสามารถนำมาใช้ในการกำราบหรือส่งวิญญาณ หากนางมิใช่เช่นนั้น แม้เกิดมาจักมีความสามารถในการเห็นผีตั้งแต่ลืมตาดูโลกทว่าก็มิได้มีปราณหรือแก่นวิญญาณอันสูงส่งติดตัวมา

เพี้ยนผิดกับหมอผีบางคนแม้กำเนิดเป็นมนุษย์ ทว่าแก่นวิญญาณนั้นถือกำเนิดในภพเซียนแต่แรกเริ่มจึงมีปราณอันแข็งกล้ามิจำต้องอาศัยการบำเพ็ญเพียรหรือฝึกวิชาเท่าใดนัก หากก็หาได้น้อยมาก

เช่นนี้ การฝึกตนจึงสำคัญ อาจารย์มักกำชับให้ทำสมาธิทุกวัน หากแต่ผู้ใดจักล่วงรู้ว่าครั้นเมื่อเริ่มหลับตา ภูตผีที่วนเวียนก็มักจักมาร้องขอให้สวดส่งวิญญาณเพื่อเปลี่ยนภพอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งมิเป็นอันทำสมาธิอันใด

ชีวิตว่าที่หมอผีช่างลำบากลำบน

มาบัดนี้ จำต้องมาเจอกับกิจอันเป็นความลับแห่งสวรรค์ ช่างน่าขันที่หมอผีผู้เอรตัวยังมิอาจรอดต้องมาทำงานให้กับสวรรค์

กลิ่นเหม็นคล้ายซากศพคละคลุ้งรุนแรงขึ้นครั้นนางเข้าใกล้ประตูวังแห่งจิ้น

ยิ่งใกล้เพียงใด วิญญาณทั้งหลายเริ่มรายล้อม เช่นนั้นซินหลงจึงจำต้องชะลอฝีเท้าลง ทั้งให้ฉงนสงสัยว่าราตรีนี้เป็นค่ำคืนซึ่งประตูยมโลกแตกหรืออย่างไร จึงปรากฏเหล่าผู้ไร้ลมหายใจมากมายถึงเพียงนี้

นางกวาดตาไปโดยรอบพบเห็นพวกเขามากมายล่องลอยกันไปมา บ้างคลับคล้ายกำลังจักแตกสลายท่ามกลางแสงสลัว บ้างก็คลับคล้ายว่าเพิ่งหมดลม ด้วยความเข้มข้นของดวงจิตนั้นผิดแผกกัน ทว่าสิ่งเดียวในยามนี้อันซินหลงจำต้องตระหนกคือวิญญาณทั้งหลายกำลังจ้องมองมายังนาง ด้วยนัยน์ตาสีแดงก่ำ

มิผิดกับแววตาคู่นั้น

เช่นนี้นางจึงรู้ได้ทีเดียวว่ากำลังเกิดเหตุอันมิปกติเสียแล้ว

กระบี่ไม้ท้อในมือถูกตั้งขึ้น คืนนี้คงได้ฟาดผีกันสักตั้ง

เป็นไปดั่งคาด ผีสาวใบหน้าดุดันตนหนึ่งพุ่งแหวกอากาศมิเกรงใจตนอื่นเข้ามายังนาง ทั้งรวดเร็วแลเกรี้ยวกราดกระทั่งอากาศโดยรอบคล้ายถูกกดดัน

ในหัวของหมอผีสาวรีบคิดหาคาถากำราบทันที

เอ่ยไปแล้ว ซินหลงมักมีคาถาไล่ผีกันตายอยู่บทหนึ่ง นั่นคือคาถาชำระล้างโดยมีการอัญเชิญเทพปรมาจารย์หนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่นามว่าหลิวปัง ทว่าอาจารย์เคยบอก มิใช่ครั้นอัญเชิญแล้วมักได้ผลทุกครา

หากอย่างไรก็ต้องลอง

ครั้นเริ่มร่ายคาถาไปได้หนึ่งประโยค เบื้องหน้าจึงปรากฏลำแสงสีขาวจาง ๆ ทอดลงจากผืนนภาสีหยดหมึกอันเป็นปกติธรรมดาของคาถาชำระวิญญาณให้บริสุทธิ์คล้ายม่านกำแพงกั้นอยู่

ทว่า…

ผีตนนั้นลอยทะลุผ่านมาได้อย่างง่ายดาย มิใช่เพราะว่าคาถามิทรงฤทธา ทว่าจากความอ่อนด้อยในปราณของนางเอง

บัดซบ!

เช่นนั้นจึงหันหลังกลับแล้วเริ่มออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต สายตาเหล่าสัมภเวสีเร่ร่อนแปรเปลี่ยนจากดุดันกลับเป็นหยามเหยียดเมื่อเห็นว่าผู้เป็นหมอผีกลับวิ่งหนีผีเสียเอง

ช่างเสียชื่อศิษย์หมอผีมือฉมังหนึ่งในห้าของใต้หล้าเสียเหลือเกิน หากซินหลงคิดว่านั่นคือเวรกรรมของอาจารย์ต่างหากที่จำต้องรับนางเป็นศิษย์ หาได้เกี่ยวข้องกับความมิเอาไหนของนางไม่

สองเท้ายังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมิคิดชีวิตทั้งคิดได้ว่ามิน่าสอดรู้แต่แรก แม้รู้ดีว่าอย่างไรก็คงไร้ผลด้วยคงมิอาจหนีพ้น แน่แท้ ด้วยวิญญาณสาวตนเดิมบัดนี้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าดักทางนางไว้

หากตรองให้หนักแล้วก็มีเหตุอันชวนสงสัยบางประการ

ด้วยจักเอ่ยไปแล้ว ครั้นแต่สามารถมองเห็นวิญญาณมาตั้งแต่เยาว์ ทั้งช่วยหรือมิแน่ว่าอาจเป็นภาระให้กับอาจารย์ในการกำราบภูตผีมาก็มิน้อย ทว่ามิเคยปรากฏว่าจักมีสัมภเวสีตนใดแม้นหมายเอาชีวิตโดยไร้เหตุ

ครั้นคิดได้เช่นนั้นจึงชะงักฝีเท้า ก่อนเพ่งมองไปยังผีสาวนัยน์ตาแดงก่ำสีชาด

ด้วยอาจมีเหตุเกี่ยวข้องกับม่านหมอกไอมารสีดำอีกทั้งกลิ่นคลื่นเหียนอันรุนแรงนี้หรือไม่

“เจ้าคือผู้ใด?” ซินหลงร้องถาม หากสิ่งที่ได้รับตอบกลับมาคือความเงียบงันกับแววตาดุดัน “ขวางทางข้าด้วยเหตุอันใด?” นางเพ่งมองร่างอันไร้ลมหายใจในเสื้อผ้าสีขาวล่องลอยอยู่เบื้องหน้า หากพลังโดยรอบนั้นทั้งเข้มข้นทั้งกดดัน เมื่อพินิจให้ดีอาจเป็นวิญญาณที่เต็มไปด้วยโทสะแต่ครั้นยังเป็นมนุษย์ เมื่อถึงคราวตายนั้นก็มิได้สงบสุขแลไปสู่ที่อันเหมาะควรตามแต่กรรม

ส่วนมากมักเป็นจิตอันผูกพันติดแน่กับภูมิมนุษย์ด้วยความเจ็บแค้นบางประการ ภูตผีเหล่านี้ปรากฏอยู่ไม่น้อย โดยมากแล้วมักมิได้สิ้นลมด้วยเหตุอันเป็นธรรมชาติทว่าอาจถูกกระทำให้สิ้นชื่อด้วยน้ำมือของผู้อื่น จึงรั้งรอเวลาอีกทั้งยึดติดอยู่กับผู้กระทำหรือสถานที่แห่งนั้น

“เจ้ามิควรไปเส้นทางนั้น!” นางเอ่ยตอบด้วยเสียงอันดังก้องไปโดยรอบเส้นทางเดินอันนำไปสู่ประตูวังแห่งแคว้นจิ้นแสนมืดมิด “นายหญิงยังเมตตาให้โอกาสเจ้ากลับไปเสีย”

นายหญิง นางกล่าวผู้ใดกัน?

มีเรื่องราวอันมิชอบมาพากลปรากฏขึ้นทุกขณะ

ซินหลงกวาดมองไปโดยรอบ บัดนี้ผีหลายตนเริ่มให้ความสนใจ นางเห็นผีตนหนึ่งในรูปร่างบุรุษอันมีดวงจิตแสนเลือนราง ในมือปรากฏเชือกขนาดใหญ่โดยมีปมข้างหนึ่งผูกอยู่ที่ลำคอ มืออีกข้างพลางกระตุกซ้ำไปมาก่อนลงไปดิ้นทุรนทุรายอันเป็นภาพอันชวนสลดใจยิ่ง

ลักษณะเช่นนี้ มักเป็นมนุษย์ที่ปลิดชีพตนเองด้วยการผูกคอ แลจำต้องชดใช้การกระทำนั้นด้วยการทรมานเช่นนี้จนกว่าจักหมดซึ่งกรรมเวร

นางหันกลับไปสนใจที่ผีสตรีเบื้องหน้าอีกครา

“นายหญิง?” หมอผีสาวเปรยขึ้น “เจ้ากล่าวถึงผู้ใด?”

“หากปรารถนาจักมีลมหายใจก็อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งอันมิใช่กิจของเจ้า!” น้ำเสียงนั้นตะโกนกลับมา พร้อมกับสายลมรุนแรงซึ่งปะทะใบหน้าของนาง

“ถ้าเจ้ามิบอก ข้าจักรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเอ่ยถึงเรื่องใด ธรรมดาข้าก็ยื่นหน้าสอดรู้ไปเสียทุกเรื่อง”

วิญญาณสาวตนนั้นถลึงตาใส่นางแทบถลนครั้นได้ฟัง อีกทั้งไม่พูดพร่ำ กลับพุ่งตรงเข้าหาซินหลงในบัดนี้

“หากมิรู้ฟัง นายหญิงเอ่ยว่าให้จัดการเจ้าเสีย!”

“เกรี้ยวกราดเสียจริง!”

เจ้าของสะบัดกระบี่ไม้ท้อในมือหวังเพื่อส่งกำลังแห่งวัตรเข้าหยุดยั้งการรุกราน แม้ปราณสีขาวที่ถูกส่งออกไปมิพลาดเป้าทว่ามิอาจระคายผีสาวเบื้องหน้าแม้แต่น้อย

หากเช่นนี้จำต้องอัญเชิญเทพเจ้าสักองค์

ซินหลงจดจำคาถามิค่อยได้นัก หลายครั้งหลายคราก็จำสลับกันไปมาจึงมิปรากฏกำลังปราณแห่งเทพองค์ใดส่งลงมา บางคราก็อัญเชิญผิดองค์

ครานี้ตั้งใจอัญเชิญเทพหลิวปังอีกคราหนึ่ง มือข้างหนึ่งตั้งขึ้นในท่าดรรขนี

 

ด้วยท่วงทำนองแห่งผืนนภา

ข้าขอน้อมคารวะต่อเทพเทวา

ผู้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย

ผู้มลายภูตผี

ผู้มิปรานีกำลังแห่งมาร

ทว่า…ครั้นเมื่อขยับปากเริ่มต้นร่ายคาถากลับปรากฏเปลวเพลิงร้อนแรงเบื้องหน้าแผดเผาวิญญาณผีสาวตนนั้นก่อนสลายเป็นธุลีไปในอากาศพร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างทรมาน

นั่นมิใช่กำลังคาถาแห่งเทพหลิวปังด้วยเพราะนางท่องยังมิทันจบบททั้งยังมิปรากฏลำแสงเรืองรองเฉกเช่นเมื่อครู่

ผู้ใดกัน?

เปลวไฟนั้นไร้ซึ่งที่มา เหตุการณ์ชักประหลาดขึ้นทุกขณะ

ไหนจักนายหญิงที่ว่านั่น บัดนี้มิอาจจับต้นชนปลายได้ถูกว่าเกิดอันใดขึ้น

ครั้นมองไปโดยรอบก็ปรากฏกลุ่มหมอกควันสีเทาห้อมล้อมขึ้นโดยรอบ หมอกควันที่ว่านี้มักเกิดขึ้นก่อนมีการปรากฏกายของภูตผี

ยังมิจบเช่นนั้นหรือ?

มือข้างหนึ่งจึงรีบสอดเข้าไปในแขนเสื้อก่อนดึงยันต์แผ่นสีขาวโดยมีรอยหมึกสีเหลืองอันเขียนมาจากผงเจียงหวง (ขมิ้น) ตากแห้งซึ่งบดเองกับมือขึ้นมา ส่วนมากขมิ้นมักเป็นพืชสมุนไพรซึ่งใช้ในการขับไล่สิ่งชั่วร้าย พืชหัวส่วนมากมักมีกำลังในการดูดซับปราณจากผืนดิน ขมิ้นนั้นมีกำลังปกปักษ์แห่งหยาง เกี่ยวข้องกับธาตุไฟ บางครา มักใช้ผสมเกลือโปรดลงบนพื้นเพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคลภายในบ้านเรือนหรือนำมาป่นเป็นผงใช้ผสมหมึกเขียนบนแผ่นยันต์

วิญญาณสามตนพุ่งตรงเข้ามาหา เช่นนั้นจึงเริ่มร่ายคาถาก่อนที่แผ่นกระดาษในมือจึงปรากฏเปลวไฟขึ้นที่ปลายด้านหนึ่ง ซินหลงตวัดมันไปข้างหน้าแลปรากฏหลุมด้านล่างพร้อมเสียงโหยหวน จากนั้นวิญญาณทั้งสามจึงร่วงหล่นหายไปในพริบตา

นี่เรียกว่าการเปิดธรณีระหว่างภูมิมนุษย์แลยมโลกเพื่อส่งวิญญาณโดยมีแผ่นยันต์เป็นสื่อกลาง

อย่างไรก็เถิด นางจำต้องออกไปจากที่นี่เสียก่อนจักถูกรุม

ครั้นแต่อาจารย์จากไป อันที่จริงเรียกว่าจากไปก็มิถูกนัก ช่างเถิด… แลให้นางออกมาท่องยุทธจักร ครานี้ถือเป็นคราแรกที่ได้ปราบผีโดยมิปรากฏอาจารย์คอยชี้แนะ

ปรากฏผลล้มเหลวไม่เป็นท่า น่าอับอายเสียเหลือเกิน อาหลง

นางวิ่งกลับมายังอารามอีกประมาณหนึ่งก้านธูปให้หลังซึ่งก็เป็นยามเกือบฟ้าสางเสียแล้ว อย่างน้อยก็ยังสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาอย่างมีลมหายใจ ครั้นอาจารย์กลับมาเมื่อใด จำต้องไต่ถามให้รู้ความ

ครั้นคิดว่าคงได้พักหายใจหายคอ ทว่าซินหลงนั้นคะเนผิด

เมื่อย่างเท้าก้าวผ่านอารามตั้งใจจักเจ้าไปหาแม่ชีหนิงเหอเพื่อบอกกล่าวเรื่องราว ซินหลงกลับได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นขณะเดินตรงเข้าไปในอารามใหญ่ จึงมิรีรออันจักรีบวิ่งเข้าไปดู

เบื้องหน้าปรากฏชายหนุ่มร่างเล็กอายุคงมิพ้นยี่สิบหนาวนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ต่อหน้ารูปสลักแห่งพระโพธิสัตว์กวนอิมผู้เปี่ยมด้วยเมตตาต่อสรรพชีวิตโดยมีชายอีกสองคนช่วยกันดึงรั้งเขาไว้ ตรงปลายเท้าของเขาปรากฏแม่ชีน้อยซึ่งเพิ่งเข้าสู่เพศบรรพชิตได้มิพ้นสองปีแลแม่ชีพี่เลี้ยงนั่งสวดมนต์อยู่

หมอผีสาวเร่งเข้าไปทันที

“แม่นาง” แม่ชีผู้เป็นพี่เลี้ยงอีกทั้งคอยดูแลความสะอาดอารามเอ่ยเรียก “ช่วยเราดูเขาหน่อย”

“เกิดอันใดหรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม หากคำตอบมิได้มาจากแม่ชีรูปนั้น ทว่า…

“ออกไป!” เสียงทุ้มต่ำอันเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดถูกส่งออกมาจากชายหนุ่มผู้มีใบหน้าซีดขาวแววตาดุดัน

เพียงชำเลืองมองก็รู้ชัดว่ามิพ้นถูกผีเข้า

“ข้าบอกแล้วหรือมิใช่ … อย่าได้สอดรู้ในสิ่งอันมิใช่กิจของเจ้า!”

วาจานั้นทำเอานางนิ่งงันไปชั่วขณะด้วยคำพูดแลน้ำเสียงแทบมิผิดเพี้ยนจากที่นางได้ยินมาจากวิญญาณสาวจากสุสานอีกด้านของขุนเขาเมื่อครู่

แท้จริงแล้ว กำลังมีผู้ใดปรารถนาอันจักส่งสารบางประการถึงนางหรือไม่?