“สตรีผู้นั้นคือผู้ใดหรือเจ้าคะ?”

“ท่านหญิงซื่อเหลียน” แม่ชีหนิงเหอให้คำตอบให้คำตอบ ครั้นเดินพ้นออกมาจากธรณีประตูของตำหนักเมื่อครู่ “นางคือน้องสาวแห่งจิ้นอ๋อง”

จิ้นอ๋องคือผู้ปกครองแคว้นจิ้นองค์ปัจจุบัน เขาขึ้นครองแว่นแคว้นแห่งนี้ได้มิพ้นสิบเดือน ด้วยพระบิดาจิ้นอ๋ององค์ก่อนเพิ่งสิ้นบุญไปเมื่อกว่าปีก่อน

ซินหลงเห็นแม่ชีเจ้าสำนักหันหน้าเข้าหาประตูซึ่งมีแผ่นยันต์ลงอักขระแห่งเทพปราบมารติดอยู่ตรงด้านหน้า รับรองว่าหากมิสะกดด้วยโซ่ตรวนนั้นไว้อีกคราคงมิอาจกำราบไว้ได้

ซินหลงยื่นนิ้วก่อนแตะลงบนหมึกสีดำบนกระดาษสีเหลืองซีดที่บัดนี้เริ่มจางลง ก่อนจักยกขึ้นสูด ครั้นได้กลิ่นฉุนอันรุนแรงของมันจึงเล่นเอาชะงักไปชั่วครู่ ยันต์นี้แน่นอนว่าเขียนด้วยผงของอาเหว่ย (มหาหิงคุ์)

ผู้ใดจักคาดคิดว่าสิ่งที่ได้จากน้ำมันหรือยางไม้ชนิดนี้ นอกจากมีคุณในการช่วยขับลม บางครายังสามารถนำมาเขียนบนแผ่นยันต์เพื่อปัดเป่าภูตผีหรือสิ่งชั่วร้ายได้

ทว่าครั้นเห็นท่านหญิงเจ้าของตำหนักแล้วไซร้ ให้ติดยันต์ทั้งประตูหรือฉาบทาด้วยอาเหว่ยทั้งบานก็คงมิสามารถกันได้ นัยน์ตาดุดันแดงก่ำกระทั่งเป็นสีเลือดเช่นนั้น ทั้งผิวกายยังขาวซีด น้ำมันยางจากอาเหว่ยเพียงอย่างเดียวคงเอามิอยู่

ทั้งไอมาร วิญญาณมากมาย แผ่นยันต์กันผี แลสตรีผู้มีเรือนผมยาวขาวสลับดำ สถานที่นี้แทบมิใช่วังเสียแล้วหากคลับคล้ายสุสานโบราณอันมีภูตผีสิงสถิตอยู่เสียกว่า

หากอาจารย์กลับมาจำต้องถามให้รู้ความว่านี่คือสาเหตุที่ให้มายังแว่นแคว้นนี้หรือไม่ หากคำตอบนั้นก็แทบจักปรากฏเบื้องหน้าอยู่ทีเดียว

“ช่วยสวดส่งวิญญาณแถวนี้ให้ข้าเสียหน่อย ซินหลง” ผู้ถูกไหว้วานเพียงพยักศีรษะรับ

มิพ้นหนึ่งก้านธูป สิ่งซึ่งได้รับมอบหมายก็เสร็จสิ้น ช่างน่าประหลาดที่วังแห่งจิ้นเต็มไปด้วยผีมากเสียกว่าคน องครักษ์ นางกำนัล คนรับใช้ หรือกระทั่งผู้อยู่ในตำหนักแต่ละนางแต่ละคนก็มีท่าทีคล้ายถูกผีเข้าแทบแยกมิออกกันทีเดียวว่า ผู้ใดคนผู้ใดผี ยิ่งเสียกว่า เหตุใดนางจึงจำต้องมาสวดส่งวิญญาณในวังแทนที่จักเป็นวัด อารามหรือสุสาน

ที่พึลึกกว่านั้น โดยเฉพาะสตรีผู้มีนามว่าซื่อเหลียน คะเนจากใบหน้าอันซีดขาวคงมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทว่าร่างกายซูบผอมราวกับว่ากำลังถูกครอบงำหรือเอ่ยเรียกว่ากัดกิน ไหนยังจักน้ำเสียงที่ซ้อนทับกันนั่นอีก

ราวกับมีสองตัวตนในหนึ่งร่าง

พบเจอเทพเทวา มาร ปีศาจมาก็มิใช่น้อย ทว่า เพิ่งเคยพบเห็นสิ่งนี้เป็นคราแรก

“เจ้าเห็นอย่างไร ซินหลง?” แม่ชีเจ้าสำนักเอ่ยถามครั้นเดินกลับมาถึงยังอาราม

“ข้ามิเคยพบเห็นที่ใดปรากฏไอมารรุนแรงเฉกเช่นนั้น ท่านหญิงผู้นั้น...” แม่ชีหนิงเหอพยักหน้ารับอย่างเยือกเย็นมิผิดบรรยากาศโดยรอบ “ข้ามิแจ้งใจนัก มารแม้สิงสู่ หากแต่พอดูดกลืนปราณ (พลังชีพ) แห่งเจ้าของร่างจนสิ้นก็จักจากไปภายในเพลามินานนัก”

ครั้นสิ้นคำ ท่านเจ้าสำนักจึงกวักมือให้นางนั่งลง พร้อมเอ่ยชวนจิบน้ำชา ดูท่าว่าอาจจำต้องคุยกันยืดยาว ซินหลงมิรีรออันจักทำตาม

“ท่านหญิงซื่อเหลียนก่อนหน้าเคยเป็นศิษย์ของข้า” แม่ชีหนิงเหอเริ่มเล่าพลางยกจอกขึ้นจรดฝีปาก “นางแตกฉานวิชาการอัญเชิญเทพแลมาร สามารถหยั่งถึงพลังวัตร (พลังชีพ) ของผู้ถูกอัญเชิญเหล่านั้นมาใช้ให้เป็นคุณ หากผู้ใดจักคาดคิดว่าวันหนึ่ง ในวันที่นางกำลังโศกาด้วยการลาจากไปอย่างกะทันหันของพระบิดา มารตนหนึ่งล่อลวงด้วยทำพันธะสัญญาว่าจักนำพาคนตายให้ฟื้นคืนแลกเปลี่ยนกับการให้ได้กลืนกินดวงจิตของนาง”

“หากดวงจิตถูกกลืนกินจักสูญสลายมิอาจหวนคืน”

“ถูกต้อง ดวงจิตแห่งผู้บำเพ็ญพรตนั้นย่อมเป็นที่ปรารถนา มิว่าจักครอบงำหรือดูดกลืน แม้นางมิได้ตกปากรับคำ ทว่าในขณะที่จิตกำลังอ่อนแอแลอาสัญ มารตนนั้นจึงถือโอกาสสิงสู่ร่างของนาง” เจ้าสำนักแม่ชีบอกกล่าว

“เส้นผมของนางกำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว วิญญาณแลวัตรกำลังถูกดูดกลืน ยามใดเมื่อเรือนผมเปลี่ยนสีจนหมด นางจักสิ้นนาม” นักพรตหญิงพยักหน้ารับอย่างเห็นพ้อง คำเอ่ยของซินหลง

“นางกำลังต่อต้านอย่างทรมาน” แม่ชีหนิงเหอกล่าวเสริม หมอผีสาวเองก็มิปรากฏซึ่งความเห็นต่าง ด้วยแววตาอันแปรเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่งนั้นบัดนี้ยังติดตรึงในห้วงคำนึงของซินหลง

มิพ้นกระทั่งในความฝัน

“ได้โปรดอย่าข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ จงไปเสีย ไปจากที่นี่”

นางยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีสง่างามในอาภรณ์สีดำอันให้ความรู้สึกคล้ายยามค่ำ น้ำเสียงอันนุ่มนวลทว่าปะปนด้วยแววตระหนกดังก้องขณะที่ซินหลงกำลังจมอยู่ในห้วงนิทรา แววตาคู่เดิมปรากฏเด่นชัดในห้วงฝัน มันช่างให้อารมณ์หม่นหมองเสียยิ่งกว่ายามเดินเที่ยวในสุสาน

“จงไปเสีย แม่นาง”

กายของซินหลงดิ้นทุรนทุราย เม็ดเหงื่อผุดประปรายยังกรอบหน้า กระทั่ง…

พลั่ก!

ร่างของนางร่วงหล่นสู่พื้นกระเบื้องอันเย็นเฉียบทำเอาสะดุ้งพรวดก่อนลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว นางกวาดสายตามองไปรอบห้อง ทว่าอย่างไรก็มองได้มิถนัดถนี่ด้วยรอบตัวนั้นมืดสนิท

ไยนางจึงฝันถึงท่านหญิงผู้นั้น แลด้วยเหตุใดจึงถูกบอกกล่าวมิให้เข้าไปยุ่มย่าม

คิดแล้วก็ให้ปวดหัวนัก ด้วยเพราะตาแก่ผู้ล่วงลับให้ออกมาท่องยุทธภพทีเดียว แล้วดูเข้า บัดนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย อาจเปลี่ยนภพไปแล้วหรือไม่?

ซินหลงเองก็มิได้ตั้งใจเข้าไปข้องเกี่ยว ทว่าเช่นนั้นแล้วนางจักร่ำเรียนวิชาเหล่านี้มาเพื่อสิ่งอันใด ด้วยเห็นผู้เป็นทุกข์อยู่เบื้องหน้า

มารสิงสู่ร่างนั้นมิผิดกับภูตผี ทว่าด้วยวัตรมารอันแข็งแกร่งเนื่องเพราะมักดูดกลืนปราณจึงกำราบได้ยากมารบางตนผ่านการบำเพ็ญมีตบะสูงส่ง ภูตผีทั่วไปบางคราเพียงสะกดวิญญาณก็สามารถส่งไปยังปรโลกได้ ยิ่งเหล่าผีไร้ญาติที่วิญญาณใกล้สลายเพียงสะบัดมือหรือสวดมนต์บทสองบทก็จักเปลี่ยนภพทันที แต่เหล่ามารหัวดื้อนั้นทั้งสวดทั้งสะกดทั้งไล่อย่างไรก็มิยอมไป

ผู้ถูกสิงสู่มิวายถูกกลืนกินจนสิ้นลม

นับว่าท่านหญิงผู้นั้นทานทนนัก ทั้งยังถือเป็นผู้มีพลังวัตรอันสูงส่งด้วยเพราะสามารถต่อต้านกำลังแห่งมารในตนได้แม้พ้นมาหลายเพลา ทว่ากระทั่งแม่ชีหนิงเหอผู้เป็นอาจารย์เจ้าของสำนักตระหง่านยังขุนเขาที่มีชื่อเมื่อฟังแล้วโศกเศร้าแห่งนี้ยังมิอาจทำอันใดได้

แล้วอย่างซินหลงเล่า

มิแน่ว่าแทนที่จักไล่ผีกลับกลายเป็นถูกผีไล่หรือไม่

นางหันมองออกไปยังหน้าต่าง พบว่าด้านนอกยังคงมืดสนิท มิแน่ใจนักว่าบัดนี้คือยามใด ทว่าจักให้นอนต่อก็คงมิอาจข่มตาหลับด้วยมโนภาพของท่านหญิงผู้นั้นยังคงแจ่มชัดในห้วงคำนึง

ไปเดินเที่ยวแถวสุสานเสียหน่อย เผื่อเจอของดี

คิดได้เช่นนั้นจึงหยิบกระบี่ซึ่งทำขึ้นจากไม้ท้อแท้ ๆ สะพายรั้งไปด้านหลัง ด้วยเป็นกิจวัตรหากคืนใดครึ้มอกครึ้มใจก็จักเดินออกไปรอบเมือง โดยเฉพาะสุสานนั้นเป็นสถานที่ซึ่งโปรดปรานนัก

ครั้นคบค้ากับภูตผีนานเข้ากลับคิดว่า ผีนั้นหลอกมิเก่งเท่าผู้คน ทั้งยังสนทนารู้เรื่องเสียกว่า หากแต่อย่าได้เอ่ยถึงเทพเทวา บางองค์พูดจามิเป็นประสาด้วยถือว่าสถิตยังภูมิอันสูงส่ง

มืออีกข้างถือไม้แขวนโคมไฟเพื่อส่องสว่าง จากนั้นมุ่งหน้าสู่สุสานอีกฟากหนึ่งของขุนเขา

ขุนเขาแห่งการร่ำไห้ เพียงได้ฟังชื่อก็ปรารถนาจักหลั่งน้ำตา

ในช่วงก่อนยามอิ๋น (๐๓.๐๐-๐๕.๐๐ น.) นางมักจักออกเดินไปตามตรอกซอกซอยหรือบางคราจักโผล่หน้าไปยังสุสาน ด้วยอาจารย์มักกำชับเพื่อให้ไปดูว่ามีคนหรือภูตผีที่ปรารถนาอันจักขอความช่วยเหลือหรือไม่โดยมากแล้วก็จักไปสวดส่งวิญญาณสำหรับวิญญาณที่รอการข้ามภพ ทว่าสำหรับวิญญาณตนที่ยังคงติดข้องอยู่ยังภูมิมนุษย์จักยังไม่สามารถทำอันใดเพื่อเปลี่ยนภพได้

จักมีที่ใดปรากฏสัมภเวสีมากมายไปเสียกว่าบริเวณสุสาน

ตลอดทางบรรยากาศช่างมืดสลัว อากาศโดยรอบขมุกขมัวปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว ซินหลงยังคงมิอาจลบภาพแววตาอันหมองหม่นออกจากมโนสำนึก ทั้งคิดว่านางผู้นั้นกำลังทนทุกขเวทนาเพียงใดในการต่อสู้กับกำลังแห่งมารในตัว

แลด้วยเหตุใดจึงหาญกล้าอัญเชิญมารออกมาแล้วถูกสิงสู่ ตรองดูแล้วหาเรื่องใส่ตัวหรือไม่ คือสิ่งอันซินหลงข้องใจนัก

วิญญาณชายหนุ่มตนหนึ่งลอยทะลุผ่านร่างหญิงสาวไปโดยมิทันระวัง หากเป็นคนธรรมดาก็คงมิวายถูกชน ทว่าครั้นเมื่อมีวิญญาณล่องลอยผ่านร่างของซินหลงคราใด มักรู้สึกประหลาดแทบทุกครา

“ลอยให้มันดีได้หรือไม่ ทะลุผ่านข้าไปเช่นนี้” ผีหนุ่มผู้นั้นได้ฟังก็ชะงัก เขาหันกลับมามองยังต้นเสียง ก่อนยียวนด้วยการลอยถอยหลังทะลุผ่านร่างนางอีกคราหนึ่ง พร้อมเสียงหัวเราะกังวานอันฟังแล้วชวนขนลุก

พรึ่บ!

ลัญจกร (สัญลักษณ์มือ) เพื่ออัญเชิญวัตรแห่งเทพจู้หรง (เทพแห่งอัคคี) จึงปรากฏพร้อมกับเปลวไฟลุกโชติช่วงขึ้นรอบวิญญาณของบุรุษหนุ่มเพื่อส่งเขาข้ามไปอีกภพหนึ่ง

เอ่ยกันตามจริงนั้น บทสวดก็เพียงพออันจักส่งวิญญาณทว่าในเมื่อกวนประสาทมากก็ลองไปแบบพิสดารดู

“แม่นาง” ครานี้คือร่างวิญญาณของชายชราผู้มีเครายาวผู้หนึ่ง เดิน…ลอยเข้ามาทักทาย บนฝีปากปรากฏรอยยิ้มใจดี

“ท่านลุง”

“คะเนจากอาภรณ์แลลูกประคำ” เขาว่าต่อ พลางลอยไปมาวนรอบตัวของนางทั้งกวาดตามองสารรูปของหญิงสาวแต่หัวจรดเท้า เสื้ออาภรณ์เนื้อผ้าธรรมดา เสื้อด้านหนึ่งสีขาว ด้านหนึ่งสีดำอันคือสัญลักษณ์แห่งหยินหยาง กางเกงขายาว สวมรองเท้ารัดขึ้นจากข้อเท้าถึงหน้าแข้ง ผมด้านหลังมัดรวบเก็บปล่อยเพียงปอยผมสองข้างด้านหน้า บนมวยผมมัดด้วยผ้าแถบปักปิ่นอันทำขึ้นจากกระดองเต่าซึ่งเอ่ยกันว่าใช้กันภูตผีปีศาจทั้งยังคือสัญลักษณ์แห่งความมีอายุยืน ท่านอาจารย์ผู้คงมิได้ใช้จึงล่วงลับผู้นั้นมอบให้นางเมื่อสักเจ็ดแปดปีก่อนเอ่ยบอกว่าเอาไว้กันผี ทว่าก็มิเห็นมีผีตนใดเกรงนางแม้แต่ตนเดียว “เจ้าคงเป็นเด็กวัด”

นางชำเลืองมองเขาทั้งส่งตาขวาง หากมิติดว่าเป็นผีจักซัดให้หมอบ

“หน้าข้าเหมือนเด็กวัดหรือไร?” ครั้นได้ยินคำถาม ขายชราจ้องหน้าอันสดใสแม้กระทั่งในความมืดของนาง ทว่าส่ายศีรษะ

“หน้ามิเหมือน แต่สารรูปเหมือน”

พรึ่บ!

ไฟแห่งเทพจู้หรงปรากฏขึ้นอีกคราโทษฐานปากมาก จากนั้นฝีเท้าทั้งสองจึงก้าวต่อไปยังจุดหมาย

ครั้นก้าวเดินไปเบื้องหน้า นางเดินผ่านสุสานของชายชราอีกคนหนึ่งซึ่งบัดนี้นั่งมองเครื่องเซ่นที่ลูกหลานคงนำมาให้ด้วยแววตาละห้อย

“ท่านลุง ไยจึงนั่งมองเครื่องเซ่นเช่นนั้น?” เขาหันมองนางด้วยแววตาฉงนด้วยมิเคยคิดว่าจักมีมนุษย์คนใดมองเห็น

“ลูกชายแลลูกสะใภ้ข้านำผลไม้มาให้ แต่ลืมเอาธูปมา” ครั้นได้ฟังเช่นนั้นซินหลงจึงพลันถอนใจ โชคร้ายที่นางเองก็มิได้ถือติดมือมาเช่นกัน เลิ่นเล่อกันเสียจริง หากมิจุดธูปจักส่งถึงผู้ล่วงลับก็ลำบากมิรู้หรือไร

คิดได้ดังนั้นจึงหันมองไปโดยรอบจึงพบว่าหลุมศพข้าง ๆ มีธูปวางอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบไปนำมาเพื่อจุดไฟจากโคมในมือ แลปักลงบนเครื่องเซ่น มินาน สีหน้าอันมัวหมองของชายชราเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นปีติขึ้นทันที

“ขอบใจนัก แม่นาง” ซินหลงเพียงพยักหน้ารับ

“ปรารถนาจักเปลี่ยนภพหรือไม่ ท่านลุง?”

“ข้ายังอยากอยู่กับลูกหลานอีกสักหน่อย”

ลูกหลานที่พาเครื่องเซ่นมาให้แต่ลืมธูป ช่างน่าอยู่ด้วยนัก หากเช่นนี้ก็มิอาจเปลี่ยนภพด้วยยังคงมีห่วงนางก็มิอาจทำอันใดได้

ครั้นคิดได้เช่นนั้นจึงบอกลาแล้วเดินจากมา ทว่าพ้นไปมิถึงสิบก้าว กลิ่นบางอย่างอันชวนคลื่นเหียนปะทะสัมผัส ทั้งเมฆหมอกประหลาดแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ

นางเงยหน้าขึ้นมอง

เป็นไอมารมิผิดทีเดียว กลุ่มควันสีดำกำลังล่องลอยไปทางวังแห่งจิ้น

ซินหลงก้าวตามไปทันทีโดยปราศจากความลังเล