ลมปราณของข้าเริ่มปั่นป่วน ร่างกายร้อนระอุราวกับเปลวเพลิง ลำคอเหือนแห้ง แต่แล้วพวกมันก็หายไปราวกับเป็นคำโกหก ข้าสะดุ้งลุกขึ้นมามองเข้าไปในความมืด เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ จึงค่อยเห็นว่าที่นี้คือถ้ำแห่งหนึ่ง

เมื่อคล่ำดูรอบๆ มือก็เปื้อนน้ำเมือกบ้างอย่าง เมื่อยกขึ้นมาดูค่อยสังเกตเห็นว่ามันคืออะไร

เพราะมืดมากจึงไม่รู้ว่านั้นคือน้ำอะไร แต่น้ำนั้นมีกลิ่นคาวประสานกันกลิ่นสนิมเหล็ก ทำให้ล่วงรู้ได้ทันทีว่า มันคือเลือด

"ได้โปรดช่วยข้าด้วย ช่วยข้าออกไปจากที่นี้ที"เสียงอันแหบแห้งดังมาจากข้างหลัง เจ้าของเสียงเป็นผู้ชายที่กำลังบาดเจ็บหนัก

หลังจากหันไปมองดูจึงค่อยพบว่าครึ่งร่างของชายคนนั้นฝังไว้ใต้หิน เลือดที่อยู่บนมือก็คงจะเป็นเลือดของชายคนนั้นที่เจิงหนองอยู่เต็มพื้น

ถ้ำนี้คงจะถล่มลงมาขังพวกเขาไว้ แม้จะหวาดกลัวแต่เขาระงับอารมณ์ของตัวเอง

"ยังไหวไหม ข้าจะลองพยายามเอาหินออกทีละก้อน"แต่เมื่อพยายามคลื่อนที่ไปหา จึงค่อยพบว่าขาโดนมือข้างหนึ่งจับไว้

ดวงตาที่มองตรงมาไร้ซึ่งประกายแสง ผมเผ้ายุ่งเหยิง มือกุ้มท้องที่โดนกระบี่แทงทะลุลำตัว ลำไส้ไหลออกมา คาดว่าคงตายไม่นานเพราะเลือดยังไม่แห้ง

เมื่อเอื้อมมือลงไปแงะมือข้างนั้นออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก็พบว่าต่อให้พยายามมากเท่าไหร่ก็แงะมือข้างนั้นออกไม่ได้ ก่อนตายชายคนนี้จะต้องมีความปรารถนาแรงกล้าขนาดไหนกัน

ถึงอย่างไรก็ต้องช่วยคน สุดท้ายก็ดึงกระบี่ออกจากตัวของชายคนนั้น ตัดมือที่จับขาทิ้งก่อนที่จะหันไปมองดูผู้รอดชีวิต

"อดทนหน่อย ข้าจะรีบช่วยเดี๋ยวนี้แหละ"ข้าพยายามปลอบชายแปลกหน้า

ชายคนนั้นกลับมองมาด้วยดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าซีดขาว กรีดร้องอย่างเสียสติ

มือของชายคนนั้นยกขึ้นมาข่วนเมื่อเข้าใกล้ ราวกับสัตว์ป่าที่พยายามเอาตัวรอดในวินาทีสุดท้ายของชีวิต

"ปล่อยข้าไป ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ข้าไม่ได้ยินอะไรเลย ท่านปล่อยข้าไป อย่าฆ่าข้า ข้ามีประโยชน์นะ"

เมื่อคำพูดไม่เป็นภาษาสะท้อนไปรอบๆ ถ้ำ จึงค่อยสงสัยว่าเหตุการณ์ตรงหน้านี้มันเกินจากอะไร

ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ในป่า กำลังตามหาสหายแล้วหลังจากนั้นก็...

อึก... จู่ๆ หัวก็เจ็บแปลบเหมือนจะระเบิด

หลังจากนั้น ก็อยู่ในสภาณที่มืดมิดมาตลอดแต่มันเป็นที่ไหนกัน ที่แห่งนั้นมีกลิ่นคาวเลือดคลุงไม่ต่างจากที่นี้ ข้าทำอะไรในที่แห่งนั้นนะ

จริงสิข้าขโมยแผนที่มาได้นี้

ข้าลองสำรวจร่างกายตนเองก่อนจะพบว่าแม้แต่ชุดก็เปลี่ยนไป แต่เดิมเสื้อผ้าของข้าซักจนสีตกหมดแล้ว เก่าจนขาด ไหนเลยจะมีเครื่องทองมาประดับได้

สถานการณ์นี้มันอะไรกัน

คิดได้ไม่ทันไรก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากอีกมุมหนึ่งของถ้ำตามมาด้วยเสียงร้องเพลง เสียงนั้นยั่วยวนชวนรุมหลงราวกับเป็นเสียงของปีศาจ

ขอเลือดเจ้า มาหลอมกระบี่แล้วจะไร้ผู้ใดต้าน

ขอเนื้อหนังเจ้า เสกสร้างศราตราเป็นฝันร้ายยามค่ำคืน

ขอกายาเจ้า เพื่อข้าร่วมพิชิตคนในใต้หล้า

ขอจิตเจ้า มิต้องหวนคืนสู่วัฏสงสาร มิต้องเจ็บปวด

ร่างที่ออกมาจากหลังกำแพงนั้นเหมือนดั่งเมฆหมอก เป็นภาพลวงตาบนผิวน้ำ ผิวสีซีดเหมือนกระดาษ ผมดำยาวสลวย สวมชุดสีขาวราวกับชุดไว้ทุกข์ มีตุ้มหูแปลกตาสีทองข้างเดียวเปล่งประกายในความมืด

"เด็กน้อยทำไมยังไม่ฆ่าละ รึในที่สุดก็คิดจะขัดคำสั่ง"ชายคนนั้นเลียริมฝีปากตัวเอง"ข้าละไม่เข้าใจเจ้าจริงๆ โกรธข้าแล้วรึไง ข้าไม่ชอบที่มืดเปิดปากถ้ำซะที"

วิญญาณสีขาวโน้มตัวลงมาพลางกระซิบข้างหู"ได้ยินข้าไหม"

ร่างของข้าล้มลงไปข้างหลัง ชายคนนั้นคล้ายรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยรีบใช้มือข้างหนึ่งลองศีรษะของข้าเอาไว้

"รึว่าที่แท้ยานั้นจะเอาไว้รักษาจริงๆ เจ้าผีดิบน้อยของข้า ข้าดันทิ้งมันลงน้ำไปแล้ว ว่ายน้ำไปเก็บเองได้หรือไม่"

ชายคนนี้คงจะเป็นปีศาจอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเหตุใดถึงพูดด้วยน้ำเสียงยั่วยวนเช่นนั้นได้ รึว่าคนผู้นี้มิใช่ชาย

แล้วใครเป็นผีดิบน้อยของเจ้า

ชายคนนั้นจู่ๆ ก็อุ้มข้าขึ้น เพราะไม่ทันตั้งตัวข้าจึงคว้าตัวชายคนนั้นไว้ เมื่อมองขึ้นไปก็ได้รอยยิ้มประหลาดตอบกลับมา

"รึว่าข้าจะเปลี่ยนใจ ไม่นำยาห่อนั้นกลับมาให้เจ้าแล้วดี รู้หรือไม่สีหน้าในยามนี้ของเจ้าน่าสนใจไม่น้อย"

เพราะอย่างนั้นข้าจึงซุกใบหน้าไว้ไม่ให้ชายคนนั้นเห็น แต่ได้รับเสียงหัวเราะแปลกๆ ตอบกลับมาแทน ตอนแรกข้าก็อยากดิ้นให้หลุดอยู่แต่ชายคนนี้ตัวสูงกว่าข้าที่ยังเป็นแค่เด็ก ต่อให้ลงไปได้ดีๆ ก็ใช่ว่าจะเดินได้

ตั้งแต่เกิดมานี้ก็เป็นครั้งแรกที่พบคนตายได้สยดสยองขนาดนั้น แม้แต่แรงจะเดินก็ยังไม่มี ต่อให้ชายคนนี้จะดูอันตรายแต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย น่าจะอยู่ด้วยได้

แต่ว่าแล้วสรุปที่นี้มันที่ไหน แล้วเจ้านี้หลงคิดว่าข้าเป็นใครกัน คงเพราะมืดมองมองไม่เห็นหน้า ทำให้เข้าใจผิด

"ข้าจะฆ่าเจ้า เจ้าสังหารสหายของข้า หากข้ายังมีชีวิตอยู่ข้าจะ..."

"อย่าไปฟังคำพูดไม่เข้าหู"

แล้วข้าก็โดนปิดหูเอาไว้ไม่อาจได้ยินสิ่งใด

มือของชายชุดขาวปิดหูของข้าไว้ ตอนนี้ข้ารู้สึกถึงความเงียบและความหนาวเย็นที่มาจากฝ่ามือคู่นั้น

ดูจากสถานการณ์แล้ว ชายที่อุ้มข้าอยู่คงจะเป็นคนที่ดูแลคุณชายน้อยซักคนที่อายุเท่าข้า แล้วคุณชายน้อยคนนั้นก็โดนสั่งให้ฆ่าคนละมั้ง

ในยุทธภพปลาใหญ่กินปลาเล็ก การที่สำนักใหญ่จะเลี้ยงดูบุตรธิดาของตนเองด้วยวิธีนี้ก็ไม่แปลก

เช่นนั้นปีศาจชุดขาวตนนี้คงจะเข้าใจว่าข้าคือเยี่ยนจิน บุตรชายคนโตของสำนักกระบี่ดารา ได้ยินข่าวมาว่าอายุสิบแปดปีแต่รู้แจ้งตำราพิไชย์สงคราม บรรลุถึงขั้นจิตกระบี่

ส่วนชายคนนี้จะต้องเป็นปีศาจที่สำนักเลี้ยงเอาไว้ เพื่อทำเรื่องสกปรกให้กับสำนัก

เช่นนั้นมิใช่ว่าข้ายิ่งเสี่ยงตายหรือ

ข้าควรเปิดเผยตัวตนดีหรือไม่

แล้วฝีเท้าของชายคนนั้นก็หยุดลงอย่างกระทันหัน จนข้าอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองแต่ที่ถูกปิดไว้กลับเป็นตาแทน

"ผีดิบน้อยอยากสังหารคนควรทำแต่พอดี ไม่ควรทิ้งศพไว้ให้คนอื่นพบเห็น ข้าช่วยเจ้าได้แค่เท่านี้"น้ำเสียงนั้นเจือปนความเศร้าหมอง

แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็ได้กลิ่น โดยเฉพาะที่แห่งนี้กลิ่นจะแรงเป็นพิเศษ ทั้งยังได้กลิ่นเน่าเหม็นของซากศพอีกด้วย

ที่แท้คุณชายน้อยทำไมถึงต้องฆ่าคนเยอะขนาดนี้ อย่างมากก็ให้ฆ่าแค่สามคนเพื่อฝึกความกล้า แต่กลิ่นเน่าเหม็นจนหายใจไม่ออกนี้คงจะเกินสิบศพ

แม้จะอยากอาเจียนออกมาแต่ก็ฝืนสะกดมันไว้ ไม่เช่นนั้นมันคงดูผิดแปลกไปไม่น้อย

"ข้าเคยเตือนเจ้าไปแล้วว่าอย่ารับภารกิจตอนที่ร่างกายยังไม่หายดี เช่นนั้นข้าจะรีบเดินหน่อยแล้วกัน"

เหมือนว่าจะป่วยสินะ ถึงได้ไม่ออกมาพบปะกับผู้คน

คุณชายน้อยท่านนี้ จะป่วยบ่อยเหมือนข้าหรือจะมีโรคประจำตัวกันแน่

หลังจากผ่านมาซักระยะหนึ่งในที่สุดกลิ่นซากศพก็เบาบางลงมาก สามารถรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดเข้ามาอ่อนๆ ได้ นอกจากนั้นยังได้ยินเสียงน้ำด้วย คงใกล้ถึงแล้ว

ถ้าเช่นนั้นก็บอกไปเลยแล้วกันว่าพาคนมาผิด คงจะไม่รีบฆ่าแก้งกันหลอก

"เอาละลู่เหวินไปเก็บมา"

ปีศาจตนนี้ รู้ชื่อข้าได้ยังไง

ในพริบตานั้นร่างของข้าลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วก็ร่วงหล่นลงบนผิวน้ำ ข้างหูได้ยินแต่เสียงอื้ออึง ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่เพียงพอที่จะรู้ว่ามีใครบ้างคนหัวเราะอยู่

ตั้งแต่ตอนแรกที่ตื่นขึ้นมาในใจล้วนสับสนวุ่นวาย มีเพียงตอนที่อยู่ใต้น้ำ แต่กลับสงบอย่างน่าประหลาด แท้จริงข้ารู้เหตุผลอยู่แล้ว ทุกคราที่ถูกสายน้ำกลืนกิน ได้แต่ปล่อยกายไป ทำให้รู้สึกสงบได้เสมอราวกับหวนคืนสู่ธรรมชาติ ตัดเรื่องทุกใจยามเป็นมนุษย์

แต่ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลามาปล่อยกาย ปล่อยใจ

ข้าพลิกตัวว่ายเข้าไปคว้าถุงปักลายมู่ตันสีแดงสดที่จมลงใต้ผิวน้ำ แล้วพลิกกลับขึ้นไปบนผิวน้ำ แล้วทิ้งตัวลงเบื้องหน้าปีศาจในเสื้อสีขาว

"ข้าก็นึกว่าจะใช่เวลานานกว่านี้ซะอีก เจ้าเก่งขึ้นมาก"แม้รอบด้านจะมืดมิดแต่ข้าก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของปีศาจ

จิตใจข้าไขว้เขว่เล็กน้อยเพราะเดิมทีไม่เชื่อว่าปีศาจสามารถอ่อนโยนได้

"ถึงแม้ท่านจะพูดอย่างนั้นแต่ข้าก็ไม่ดีใจ ปีศาจขึ้นชื่อเรื่องการล่อลวงคน ท่านต้องการอะไรกันแน่"น้ำเสียงนั้นหนักแน่น

หากอยู่ต่อหน้าศัตรูที่กลัวที่สุดสิ่งที่เราต้องทำคือสงบให้ได้มากที่สุด นั้นคือคำพูดของสหายของข้านามว่าปิงมู่ซาน  พวกเราทะเลาะกัน ทว่าดิมทีคนที่เขาทะเลาะด้วยคือฟางเจิ่นหลิ่ว 

พวกเราสามคนรู้จักกันมาตั้งแต่เข้าสำนัก เดิมทีก็ไม่ได้สนิทกัน จนกระทั่งถูกขับไล่มาเป็นลูกศิษย์ระดับล่าง สุดท้ายก็กลายเป็นสหายสนิทที่ไว้ใจกัน เรื่องทะเลาะกันพวกนี้ ไม่ทันข้ามวันก็จะคืนดีกันแล้ว

หลังจากทะเลาะกันมู่ซานก็เดินเข้าไปในป่า พวกเรารู้จักป่าพื้นนั้นเหมือนลายเส้นบนฝ่ามือเดิมคิดว่าเขาจะกลับมา แต่หลังจากผ่านไปสองวันเขาก็ไม่กลับมา

สิ่งที่ข้าจะต้องการจะทำคือตามหาคน แม้เป็นปีศาจก็ไม่อาจขัดขวาง

"หกปีที่ผ่านมาเจ้าเสมือนหุ่นไม้ ข้าทำอะไรไปเจ้าก็เฉยชาไปเสียทุกครั้ง ครั้งนี้ข้าทำให้เจ้าตอบข้าได้แล้ว เจ้าถามว่าต้องการอะไร"เขาก้าวเท้าเข้ามาหาช้าๆ "มีแค่เจ้าที่เห็นข้า ข้าต้องการให้เจ้าพูดกับข้าเหมือนดั่งวันนี้ก็เพียงพอ"

"ท่านอยากให้ข้าพูดว่าสวัสดีในยามเช้า หรือกินข้าวรึยังในตอนบ่ายงั้นเหรอ"น้ำเสียงแผงความประชดประชัน

หลังจากฟังข้าจบปีศาจตนนั้นก็ยิ้ม เป็นรอยยิ้มแสนสดใสของเด็กน้อยในยามที่ได้ของที่ต้องการ

แล้วมันก็ใช้มือเชยคางของข้าขึ้น เล็บสีเข้มยาวจนบาดเนื้อ ข้ามองขึ้นไปเห็นดวงตาสีรัตติกาล น่าเสียดายที่ในดวงตานั้นไร้ซึ่งแสงดาว มันสะท้อนใบหน้าของข้า ที่แม้แต่ข้าก็ไม่คุ้นเคย หรือเพียงเพราะเป็นการมองผ่านดวงตาคน ไม่อาจมองดูได้ชัดเจน

ครานี้ชายคนนั้นยิ้มเยี่ยงปีศาจร้ายกาจที่ต้องการครอบครอง ในตอนนี้ข้ารู้แล้วว่ามันจะไม่จบแค่การสวัสดียามเช้า หรือกินข้าวรึยังในบามบ่าย ปีศาจต้องการข้ารับใช้และข้าก็เข้าไปนั้งในตำแหน่งนั้นโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

"ผีดิบน้อยข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนรักษาคำพูด ในวันรุ่งขึ้นรู้ตัวหรือไม่ว่าควรทำตัวอย่างไร"รอข้าพนักหน้า ปีศาจจึงค่อยพูดต่อ"วันนี้เจ้าพักผ่อนไปก่อน ข้าจะดูแลเอง"

แม้จะมีข้อสงสัยมากมายที่ข้าอยากถามแต่ว่าเรื่องราวในวันนี้หนักหนานัก ควรค่าแก่การพักผ่อนเป็นเวลานานหลายวัน

ดวงตาจึงปิดลง ร่างถูกทิ้งบนผิวหนังเย็นเฉียบไม่ต่างจากน้ำแข็ง ในห้วงความคิดก่อนสิ้นสติ ข้าหวังยิ่งนักว่าจะไม่ป่วยไข้เพราะข้าต้องการพบหน้าปิงมู่ซาน ไม่ว่าเขาจะอยู่ในที่แห่งใด ข้าก็อยากพบหน้าเขาอีกครั้ง ช่างน่าแปลกใจเขาหายไปเพียงแค่วันเดียวเองไม่ใช่เหรอ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเขาหายตัวไปนานนัก จนภาพในวันวานเริ่มจางหาย