"ท่านผู้นำ"

"หืม"

"ทะ ท่าน ... หากท่านสวมชุดนี้"

"มีเหตุอันใดรึ"

"สภานักเวท"

"เจ้าเพิ่งเรียกเราว่า ท่านผู้นำ มิใช่หรือ"

 

เขายิงคำถามสวนสาวใช้ผู้รออยู่หน้าห้องของตนกลับไป สีหน้าของเธอกระอักอ่วนใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพบว่าเครื่องแต่งกายที่ผู้นำของตนกำลังสวมใส่นั้นประกอบไปด้วยชุดสีขาวมุกเต็มตัวแขนยาวถึงข้อมือและขายาวลงอยู่เหนือข้อเท้า แต่ทว่านอกจากมันจะแนบเนื้อเสียจนเห็นร่องมัดกล้ามเนื้อแน่นชัดและส่วนโค้งนูนแสนโดดเด่นของเรือนร่างแล้วนั้น ด้านบนกลับมีเพียงชุดคลุมเนื้อผ้าโปร่งแสงสีเดียวกันคอยทับซ้อน รัดให้เข้ารูปด้วยเข็มขัดผ้าหน้ากว้างประดับโซ่ทองคล้องรอบเอวและซ่อนทั้งหมดอยู่ใต้ผ้าคลุมประจำตำแหน่งสีโลหิตผืนยาวลากพื้น ติดเข็มกลัดรูปดวงตาสีทองอยู่ระหว่างไหปลาร้าทั้งสอง คอยปกปิดสิ่งที่เทพพยากรณ์ผู้นี้จงใจเก็บเป็นความลับไว้

จนกว่าจะถึงเวลาเปิดเผยมัน

สตีเฟนออกห่างจากห้องพักของตนในคัทชูหนังพื้นเรียบซึ่งถูกเย็บปิดคลุมพื้นผิวรองเท้าด้วยผืนผ้าสีแดงปักขอบทอง แต่ละเท้าย่างก้าวไปตามโถงทางเดินยาวอย่างเชื่องช้าและทรมาน เกิดจากความเขาดื้อรั้นไม่ยอมใส่ถุงผ้ารอบเท้าอันแสนน่าเกลียดเพียงเพราะมันปิดบังข้อเท้าของตน ทำให้ขอบรองเท้าคอยเสียดสีด้านหลังจนเริ่มแสบผิว

หากไม่ใช่วันสำคัญ เขาคงไม่สนใจคำตำหนิติเตียนแล้วถอดมันออกเสีย

อย่างไรก็ดีเขายังคงเดินต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับชินชาต่อความเจ็บปวดที่เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็ไม่สามารถทำอะไรตนได้

หรือไม่ อาจเพราะภายในใจมีเป้าหมายที่เหนือกว่า

สตีเฟนเดินจนถึงโถงกลางใหญ่ที่สุดของปราสาทแห่งนี้ มันเป็นห้องอเนกประสงค์ที่สามารถรองรับผู้คนได้นับร้อยพันและถูกใช้ในทุกโอกาสสำคัญไม่ว่างานรวมคนนอกหรือพิธีกรรมภายใน แม้จะมีหน้าต่างเพียงบานเดียวซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังบัลลังก์ของผู้หยั่งรู้ แต่ด้วยขนาดมหึมาเพราะกินพื้นที่ตั้งแต่ขอบพื้นจรดเพดานจนเรียกได้ว่าผนังทั้งด้านเป็นกระจกล้วน แตกต่างจากด้านอื่น ๆ ที่แกะสลักลายนูนลงยันต์อักษรรูนทับซ้อนกันมากมาย ผนวกเข้ากับเวทมนตร์ของปราสาทแห่งนี้ ทำให้แสงสว่างในห้องเกินคำว่าเพียงพอไปไกลโข

ในปัจจุบัน กลางห้องโถงได้กลายเป็นที่ตั้งของโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัวยาวสีวอลนัทไหม้ ผืนผ้าขาวปกคลุมพื้นผิวโต๊ะและประดับประดาไปด้วยภาชนะและเครื่องใช้สำหรับรับประทานอาหารอย่างเพียบพร้อม รายล้อมรอบโต๊ะโดยเก้าอี้สีเดียวกับโต๊ะซึ่งบุนวมบนที่นั่งและพนักพิงไว้

และข้างหลังเก้าอี้แต่ละตัว ปรากฏตัวแทนผู้เข้าร่วมพิธีคัดสรรในครั้งนี้

สตีเฟนยังคงก้าวเดินอย่างสง่างามตามที่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่จำความได้ ก่อนจะหยุดอยู่หน้าบัลลังก์ประจำตำแหน่งเทพพยากรณ์คนปัจจุบันซึ่งตั้งอยู่เกือบในสุดของโถงใหญ่ พลางกวาดสายตามองตัวแทนแต่ละคนที่หยุดการสนทนาลง รวมถึงกลุ่มผู้ติดตามของแต่ละฝ่ายซึ่งยืนห่างออกไปริมห้องเรียงติดผนัง

เพราะรู้ดีว่าทุกหมู่เหล่าต่างเฝ้ารอเขาอยู่นาน จึงเป็นเหตุให้ผู้หยั่งรู้แห่งเฮาส์ออฟวิชานติใช้เวลาไปกับการปั้นคำกล่าวทักทายแสนสวยหรูตามการอบรมสั่งสอนที่ตนได้รับมา และเมื่อเสร็จสิ้น เหล่าผู้ติดตามของตัวแทนทุกฝ่ายก็ทยอยกันเดินออกจากโถงกลางโดยมีผู้รับใช้คอยนำทางพาพวกเขาไปยังสวนเรือนกระจกที่จัดไว้ ส่วนผู้ที่ยืนรอบโต๊ะทุกคนก็เดินมานั่งเก้าอี้ของพวกเขาด้วยท่าทีที่ต่างกันออกไปตามลักษณะนิสัยแต่ละคน

แอนโธนี่ สตาร์ค บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนจากเฮาส์ออฟสตาร์คผู้ขึ้นชื่อลือชาด้านการพัฒนาบ้านเมืองได้อย่างรวดเร็วแม้จะเพิ่งได้รับการสืบทอดตำแหน่งผู้ปกครองนครนิวสตาร์คต่อจากบิดาของตน ผู้นำคนเก่าที่เพิ่งสิ้นใจไปได้ไม่นานนัก

ธอร์ โอดินสัน บุตรชายคนกลางแห่งเฮาส์ออฟโอดิน บุรุษผู้มาพร้อมเส้นผมสีทอง ขึ้นชื่อในฐานะยอดนักรบชั้นครูและเป็นหนึ่งในสามผู้ปกครองแอสการ์ดรัชสมัยปัจจุบัน

ทีชัลล่า บุตรชายของกษัตริย์ทีชาก้าแห่งเฮาส์ออฟแพนเธอร์ ผู้ปกครองวากานด้าที่เพียบพร้อมทั้งทางด้านศาสตร์และศิลป์ แถมยังขึ้นชื่อในด้านการวางตน กิริยามารยาทที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีเยี่ยมจึงทำให้เป็นชายผู้มีแต่คนหมายปองไปทั่ว

เป็นเรื่องปกติสำหรับสามอาณาจักรนี้ที่มักส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธีในทุกรุ่นอย่างไม่เคยขาด ถึงกระนั้นเขากลับพบความน่าสนใจของตัวแทนอีกสอง

คลินท์ บาร์ตัน ผู้ที่ใครต่อใครต่างไม่รู้ประวัติเบื้องลึกเบื้องหลัง ตัวแทนแห่งไทรส์เคลเลียนที่ปกครองโดยเฮาส์ออฟชีลด์ วงศ์ตระกูลผู้ซึ่งเส้นสายภายในแท้จริงแล้วคงเรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรจากเฮาส์ออฟวิชานตินัก เหตุจากเป็นที่ลือกันหนาหูว่าถูกสาปแช่งจากเทพพยากรณ์คนเก่าคนแก่ก่อนหน้าเขาหลายชั่วอายุคนให้อาณาจักรแห่งนั้นไม่สามารถมีผู้ปกครองสายเลือดเดียวกันสืบทอดตำแหน่งต่อกันได้ จึงมีการคัดเลือกภายในเพื่อเฟ้นหาผู้เหมาะสมจากทุกครัวเรือนทั่วไทรส์เคลเลียนในทุกรัชสมัย

ซึ่งแน่นอน นอกจากคนในและอาจจะมีพวกสายสืบ ก็มีเพียงเทพพยากรณ์ตั้งแต่คนเก่าก่อนจนถึงสตีเฟนเท่านั้นที่รู้ความจริงว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากการก่อกบฏภายใน พยายามล้มล้างการปกครองเก่าเพื่อให้เฮาส์ออฟไฮดราขึ้นแทนที่ แต่เพราะเกรงกลัวว่าอำนาจจะสั่นคลอนจึงป้ายสีใส่เรื่องเหนือธรรมชาติไปเสีย

และสตีเฟนก็อับจนปัญญาจะไขความจริงเหลือเกินว่าเหตุใดเบื้องบนที่ได้รับรู้แล้วนั้นถึงยังไม่มีการลงโทษอะไรทั้งสิ้น 

แต่นั่นก็เป็นเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว และเขาก็ได้รับรู้ถึงคำทำนายว่าการปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะดีเสียกว่า สตีเฟนจึงไม่คิดสนใจอะไรต่อ

จะเหลือเพียงแต่อีกบ้านหนึ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า

เฮาส์ออฟซู

สืบสายเลือดมาจาก ซู เหวินหวู่ ผู้นำเท็นริงคนปัจจุบัน เป็นที่โจษจันกันในฐานะชายผู้รอดชีวิตจากการขึ้นแผ่นดินใหญ่ไปต่อกรกับพลังมืดด้วยตัวคนเดียวมาหลายครั้งหลายครา เสียงลือเสียงเล่าอ้างกล่าวว่าเขาต้องการแสวงหาขุมพลังพิเศษที่หายสาบสูญไปนานซึ่งมีพลังเหนือกว่าผู้ใดทั้งปวง ก่อนจะหยุดเป้าหมายของตนหลังได้พบหญิงสาวผู้เป็นที่รักและให้กำเนิดบุตรทั้งสอง

ซู เซียหลิง บุตรสาวผู้เก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น ด้านการรบประจันหน้าและด้านการวางแผนปกครองบ้านเมือง แข็งแกร่ง ดุดัน เฉียบขาด เป็นหนึ่งในยอดอิสตรีมากความสามารถแม้แต่บุรุษอกสามศอกก็ไม่อาจหาญกล้าท้าทายอำนาจของเธอ

สตีเฟนจึงค่อนข้างแปลกใจที่ได้พบกับ ซู ชางชี เพราะนอกจากข่าวลือที่แพร่สะพัดว่าชายผู้นี้มักชอบแฝงตัวปะปนไปกับชาวบ้านชาวเมืองและติดดินยิ่งกว่าราชบุตรคนไหน ภาพของคนตรงหน้าทำเอาเขาสงสัยว่า เหตุใดตัวแทนแห่งเฮาส์ออฟซูผู้เกรียงไกร ถึงได้เป็นบุตรชายผู้อ่อนโยน สดใสร่าเริงดูราวกับเป็นเด็กน้อยเยี่ยงนี้เล่า

ไหนจะการที่ผู้นำและทั้งอาณาจักรเท็นริงนั้นทรงอำนาจเกินกว่าจะต้องการพลังที่เขาได้รับมาถือครอง จะตีความได้ว่าเป็นการส่งมาเพื่ออะไรได้บ้าง ... มันคงเป็นเรื่องที่เขาอาจจะล่วงรู้สาเหตุในอนาคตเมื่อได้ใช้เวลากับชายผู้นั้น

เมื่อมองสำรวจจนครบทุกคน เทพพยากรณ์ก็เตรียมตัวก้าวเดินตรงไปนั่งในที่หัวโต๊ะของตน

หากไม่ถูกขัดด้วยเสียงประตูใหญ่เปิดออกกว้าง พร้อมกับชายผมสีเทาสว่างของผู้สวมชุดแขนยาวสีมืดและทับด้วยชุดคลุมสีขมิ้นเข้มแสนคุ้นตา คลับคล้ายคลับคลาราวกับตนเคยได้พบเห็นที่ไหนมาก่อน

และเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้โต๊ะอาหารสำหรับตัวแทนมากขึ้น

 

"หวังว่าข้าจะไม่ได้มาขัดขวางช่วงเวลาสำคัญ"

 

สตีเฟนจึงเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

แม้ห่างหายจากชีวิตของตนนานเกินกว่าจะนับได้

แต่เขาก็ไม่มีทางลืมได้เลย

 

"ไคซีเลียส"

 

เช่นเดียวกับนักเวทชั้นสูงต่างปรากฏตัวกันถ้วนหน้าอย่างพร้อมเพรียง แม้จะอยู่ด้านหลังของเขา แต่ด้วยประวัติของชายผู้มาใหม่หน้าเดิมทำให้ไม่ต้องหันไปมองสตีเฟนก็รู้ดีว่าทุกคนต่างเตรียมตัวรับมืออย่างเต็มกำลัง

แต่ทว่า ไคซีเลียสกลับหยุดนิ่งก่อนจะคุกเข่าลงตั้งขึ้นข้างเดียว สองมือประสานวางกุมหัวเข่าข้างนั้น ก่อนจะก้มหัวลงเพื่ออยู่ในท่าแสดงความเคารพนอบน้อมและไม่เป็นพิษเป็นภัยหรือมาทำร้ายใคร

 

"เจ้ากลับมาด้วยเหตุอันใด"

 

หว่อง ที่ปรึกษาคนสนิทของเทพพยากรณ์คนปัจจุบันซึ่งก็คือตัวสตีเฟนเองนั้นเอ่ยถามออกไป

เขายืนมองไคซีเลียสเงยขึ้นมาด้วยสีหน้าปกติสุขก่อนจะตอบคำถามนั้น

 

"ข้าก็มาร่วมพิธี ... ในฐานะตัวแทนประจำตระกูลอย่างไรเล่า"

"เจ้าไม่มีสิทธิ์"

"ข้าก่อตั้งเขตการปกครองของตนเองได้ ข้าคือผู้นำวงศ์ตระกูล แผ่นดินและผู้คนของข้าต้องการพรจากเหล่าทวยเทพเพื่อความเป็นอยู่ของพวกเขา ... ผู้คนที่ไม่มีอาณาจักรไหนยอมรับตัวตนของพวกเขา"

 

ประโยคหลังที่เจตนาชัดเจนว่าเป็นการค่อนแขวะผู้ฟังรอบโต๊ะอาหารทำเอาสตีเฟนอยากจะหัวเราะออกมาเสียนี่ แต่สถานการณ์ปัจจุบันอันตึงเครียดมันไม่เป็นใจให้เขาทำเช่นนั้นเลย อีกทั้งคงไม่พ้นกลายเป็นเรื่องย้อนเข้าตัวโดนตำหนิติเตียนมากกว่าเดิม สตีเฟนจึงได้แต่ยืนเงียบเพื่อรอฟังคำพูดอีกฝ่ายต่อ

 

"ช่วยชี้ทางสว่างให้ข้าทีเถิดว่าข้าต่างจากผู้อื่นในห้องนี้ตรงไหน"

"เจ้าเป็นคนของวิชานติ!"

 

สิ้นเสียงทีน่า นักเวทสาวเพียงหนึ่งเดียวแห่งสภาสูง ทั้งห้องต่างตกอยู่ในความเงียบงัน

สภาวะตึงเครียดจากคนของเขา

เหล่าตัวแทนบนโต๊ะต่างพากันแสดงออกถึงความกระอักกระอ่วนใจแม้จะพยายามปิดบังไว้

ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบอันน่าอึดอัด

นาน

นานจนเขาอยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่นั่นก็เท่ากับการสร้างปัญหาเพิ่มโดยไม่จำเป็น

 

"นอกจากพวกเราหาใช่สายเลือดเดียวกัน อีกทั้งมิได้รับการเลี้ยงดูเช่นพี่น้องแต่เป็นพวกพ้องร่วมชายคา ดั่งศิษย์มีครูร่วมกัน และข้าก็หาใช่ผู้มีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งนั้น ... อีกอย่าง พวกท่านก็ได้ขับไสไล่ส่งข้าออกจากที่แห่งนี้ไปนานแล้ว มิใช่หรือ"

 

ไคซีเลียสเอ่ยถามอย่างไม่ได้คาดหวังคำตอบ

ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา

สบตากับเขาเพียงผู้เดียว

 

"ยกเว้นเจ้า ... ไม่สิ ท่านผู้นำของข้า"

"นี่มันวิปลาสไปหมดแล้ว ท่านต้องจัดการเรื่องนี้"

 

คำเน้นหนักท้ายประโยคเป็นดั่งเชื้อเพลิงชั้นดี สุมไฟในใจของเหล่าผู้ใช้เวทจนมอดไหม้กว่าเก่า และเป็นเหตุให้แดเนียลผู้เข้ามาหลัง เหตุการณ์อันน่าอดสู จึงทำให้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรพูดกับเขาอย่างนั้น

แต่สตีเฟนยังคงเงียบ

เงียบ

ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง

ใช้ความคิด

หรืออาจจะเป็นอย่างอื่น

 

"สเตรนจ์"

 

เสียงเพรียกเรียกเตือนกึ่งห้ามปรามจากหว่อง ผู้เดียวที่เขาให้สิทธิ์ในการเรียกด้วยชื่อแทนตำแหน่งของตนนั้น เอ่ยนามของเขาออกมา

ไม่ว่าด้วยความหวาดกลัวต่อภัยที่ผู้มาเยือนจะก่อการ

หรือทางเลือกที่สตีเฟนกล้าพอจะก้าวเดิน

เมื่อเขาออกเดินห่างจากที่นั่งของตน

เยื้องย่างผ่านตัวแทนคนอื่น ๆ

และหยุดอยู่ตรงหน้าชายผู้นั้น

 

"เหตุใดเราถึงต้องยอมรับเจ้า"

 

ที่ก้มหน้าลงมองพื้น

แสดงถึงความเคารพอีกครั้ง

หรือมากกว่า 

 

"ท่านก็รู้ดี ทุกคน จากทั่วทุกแห่งหนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะนั่นหาได้ต้องการความช่วยเหลือจากทวยเทพ จากท่าน เหมือนกาลก่อน วิชาที่ไม่ว่าจะอาคมหรือความรู้ พลังมนตราหรือความปราดเปรื่องของท่านที่สมควรใช้เพื่อช่วยเหลือผู้น้อยด้อยฤทธิ์เดช"

 

คำตอบของไคซีเลียสยังคงเป็นไปอย่างที่เขาคาดไว้ รู้ดีว่าต้องพูดอย่างไรเพื่ออุดช่องโหว่กันสิ่งที่ตนต้องการจะหลุดลอยไป

คนเอาแต่ใจ

ไม่ต่างจากเขาเลยจริง ๆ

โดยเฉพาะสิ่งสุดท้ายที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยิน

สิ่งที่ทำให้ผู้ฟังยิ้มออกมา เช่นเดียวกับชายผู้คุกเข่าอยู่ตรงหน้าตน

 

"เมื่อผู้ต้อยต่ำมาขอความเมตตา ผู้นำแห่งเฮาส์ออฟวิชานติจะไม่หันหลังให้ ข้าหวังว่าคำสอนนั้นท่านจะยังคงจดจำได้ดี ใช่ไหม ... ท่านผู้นำ"

 

 

———————————————

 

 

มื้อกลางวันของพวกเขาดำเนินไปอย่างเชื่องช้ากว่าที่คิด

ส่วนใหญ่ของบทสนทนาบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยการไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันระหว่างเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดประสงค์หลักของพิธีนี้

อย่างเช่นเรื่องเส้นทางการค้าระหว่างไทรส์เคลเลียนและนครนิวสตาร์ค ตามประสาคู่ค้าเก่าแก่แต่ปางก่อน

สืบเนื่องจากการที่ฝ่ายชีลด์ยอมให้บรรพบุรุษตระกูลสตาร์คผู้ร่วมก่อตั้งและปกครองอาณาจักรอยู่ด้วยกันมานั้น แยกตัวออกไปตั้งเขตการปกครองพิเศษเป็นของตนหลังจากความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน แต่ก็ยังสามารถประนีประนอมอย่างสงบไปได้ด้วยดี มีการแบ่งดินแดนไทรส์เคลเลียนและทรัพยากรบางส่วนเพื่อให้เฮาส์ออฟสตาร์คสามารถตั้งต้นในการปกครองคนของตนได้ด้วยตัวเองอย่างไม่ลำบาก แถมยังพัฒนาก้าวกระโดดได้ในเวลาอันสั้น แลกกับการที่นครนิวสตาร์คต้องส่งเครื่องจักรให้กับไทรส์เคลเลียนของชีลด์ก่อนจะทำการแลกเปลี่ยนกับอาณาจักรอื่น ๆ

ต้องเรียกว่า สิ่งหนึ่งที่เลื่องลืออันดับต้น ๆ ของทายาทตระกูลสตาร์คทุกคนคงไม่พ้นการเจรจาทางการค้าที่ไม่เหมือนใคร ผู้ใดต่างก็มองว่าไร้ความงามทางภาษา แต่หากมันทำให้ได้สิ่งที่ต้องการหรือเป็นฝ่ายได้เปรียบยิ่งกว่า นั่นไม่เรียกวาทศิลป์ได้จริงหรือ

การแลกเปลี่ยนผู้ยึดถือและเผยแผ่คำสอนในความเชื่อของฝั่งแอสการ์ดและวากานด้ายังคงเกิดขึ้นอยู่สม่ำเสมอ เหตุด้วยว่าพวกเขาต่างนับถือและบูชาทวยเทพที่ต่างออกไป แม้จะเคยรับพรผ่านร่างทรงคนเก่าก่อนมาหลายรุ่น แต่ดูเหมือนทั้งสองอาณาจักรจะมีความเชื่อในเรื่องที่เหนือกว่าตนมากกว่าหนึ่งศาสนา และด้วยความเชื่อที่ต่างกันจึงเป็นเหตุให้ต้องมีการเจรจาอยู่บ่อยครั้งเพื่อคุ้มครองและอำนวยความสะดวกแก่นักบวชผู้ทรงศีล

เป็นหนึ่งสิ่งที่ทำให้ทวยเทพของเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่หากคิดบั่นทอนหรือทำลายความเชื่อนั้นอาจก่อเกิดภัยสงครามลุกลามเกินแก้ สตีเฟนจึงได้รับหน้าที่เดียวสำหรับประเด็นนี้

ผู้สังเกตการณ์

ถึงกระนั้น เขายังคงจับจ้องสลับกันระหว่างผู้มาเยือนคนล่าสุดที่ยังคงรับประทานมื้ออาหารของตนอย่างเงียบเชียบ กับเจ้าลูกหมา ...

ใช่ เจ้าลูกชายบ้านซูนี่เอาแต่จ้องเขาเหมือนสัตว์เลี้ยงที่เฝ้ามองเจ้านายอยู่ตลอดเวลาเสียจริง

แต่ไม่ทันได้พูดอะไรออกไป ก็มีเสียงขัดขึ้นมาเสียก่อน

 

"เสียงลือเสียงเล่าอ้างดังไปทั่วว่าท่านพยายามขึ้นดินแดนใหญ่ เป็นเรื่องจริงหรือไม่"

 

ธอร์ละจากการสนทนากับทีชัลล่าและหันไปหาไคซีเลียสแทน

ผู้ถูกถามเปลี่ยนเป้าหมายการมองไปยังผู้ปกครองแห่งแอสการ์ดแล้วยิ้มรับ

 

"สมเป็นบุตรแห่งท่านโอดินผู้รอบรู้ ท่านได้รับสารอย่างถูกต้องแล้ว"

"แต่เพียงย่างก้าวลงบนแผ่นดินก็ไม่มีผู้ใดรอดพ้นจาก เงามืด ได้ ท่านทำได้อย่างไร"

"เกรงว่าข้าจะไม่ใช่ผู้เดียวที่รอดจากเงามืดแห่งแผ่นดินใหญ่มาได้ ใช่หรือไม่ ท่านซู"

 

และจุดสนใจของบทสนทนาก็ถูกย้ายตำแหน่งไปยังชายตาใสนั่น ผู้ที่ได้ยินชื่อสกุลของตนก็หน้าตาตื่นขึ้นมาในทันใด

ให้ตายสิ

สตีเฟนนั่งมองชางชีนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น

 

"แต่ข้าก็อยากรู้ว่าท่านทำได้อย่างไร เพราะพ่อของข้าก็ไม่เคยบอกกล่าวอะไรกับข้าเลย"

 

จู่ ๆ คำตอบนั้นกลับทำให้สตีเฟนรู้สึกบางอย่างที่แปลกออกไป

ราวกับสิ่งที่ได้ยินนั้นไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อย

ราวกับชายผู้ดูไร้พิสงจะปกปิดอะไรบางอย่าง

หรือเขาจะโดนลวงเข้าให้จากภาพลักษณ์ตรงหน้า

เป็นไปได้หรือที่ผู้เป็นบิดาจะไม่พร่ำสอนหรือบอกกล่าวเล่าความอะไรกับบุตรของตนเลย

ถึงจะคิดสับสนอย่างไร แต่สตีเฟนก็เลือกความเงียบแล้วทำหน้าที่เดิมของตนต่อไป

 

"ยามไร้ที่พึ่งพิง อับจนซึ่งหนทาง เมื่อนั้นผู้คนจักสรรค์สร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง"

 

หรือเขาควรจะขัดขึ้นบ้าง ก่อนจะมีการนองเลือดจริง ๆ

แต่แล้วไคซีเลียสก็บอกเล่าเรื่องราวของเขาต่อ

 

"คนของข้าเพียงสำรวจพื้นที่ริมฝั่งเล็ก ๆ เท่านั้น แต่ดังคำท่านว่า การรับมือกับพลังมืดที่ไม่สามารถเตรียมการได้เพราะพวกเรานั้นด้อยความรู้ช่างเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ ไม่นานนักความมืดก็ได้กลืนกินผู้ติดตามของข้าจนกลายเป็นคนจิตวิปลาส ข้าจึงจำใจต้องปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมานเสีย"

 

ผู้บอกกล่าวเล่าถึงเรื่องราวแสนเศร้า

เงียบไปพักหนึ่ง

ก่อนจะสานต่อสิ่งที่ตนต้องการบอกให้จบ

 

"ลำพังพลังของข้ากับผู้คนที่หลงเหลือถูกใช้ไปกับการสร้างถิ่นที่อยู่ไปเสียหมด เป็นเหตุให้ข้าต้องมาพึ่งใบบุญของท่านเทพพยากรณ์ และที่ข้ามาเข้าร่วมล่วงเลยเวลาเริ่มต้น เป็นเพราะมีเรื่องด่วนให้ข้าต้องจัดการ"

 

หลังจากคำอธิบายสิ้นสุด สถานการณ์ก็ดูจะผ่อนคลายลงบ้างไม่มากก็น้อย แต่แน่นอนสุดคือสตีเฟนไม่รู้สึกถึงกริชล่องหนต่างถือจ่อคอกันและกัน

มันอาจจะเป็นการดีที่สุดในขณะนี้

และเมื่อเวลาล่วงเลยไปอีกสักพักหนึ่ง หมู่มวลแมลงหลากสีแสนสวยต่างพากันโบยบินจากด้านนอกเข้ามาใกล้เหล่าตัวแทนผู้เข้าร่วมทั้งหมด

อา ...

ถึงเวลาแล้วสินะ

 

"ผีเสื้อเหล่านี้มาจากแห่งหนใดกัน"

"อย่าทำร้ายพวกท่าน"

 

และยังคงเป็นไคซีเลียสผู้รู้ยิ่งกว่าใครอื่นในเรื่องนี้ที่ออกคำห้ามปราม เมื่อทั้งแอนโธนี่ คลินท์และธอร์ต่างพยายามปัดเป่าเหล่าผีเสื้อที่หาทางร่อนลงบนตัวพวกเขา

 

"ปล่อย ... ให้พวกท่านอยู่กับเรา"

"ข้าขอทำการคาดเดาว่าผีเสื้อพวกนี้สำคัญมาก"

"ผีเสื้อเรืองแสงยามอาทิตย์สาดส่อง ข้าไม่เคยพบ"

"เหมือนในสวนส่วนตัวของท่านแม่ข้าไม่มีผิด"

 

สตีเฟนพยักหน้าตอบรับให้กับทีชัลล่าที่หันมาถามตน ส่วนแอนโธนี่กับธอร์ต่างพูดความเห็นของพวกเขาและเป็นเหตุให้เกิดการไถ่ถาม แลกเปลี่ยนเรื่องราวใหม่ ๆ กัน

แต่แล้วเสียงฝีเท้าตึงตังแสนดังราวกับเกิดเหตุอะไรขึ้น พร้อมกับประตูห้องโถงที่ถูกเปิดออกอีกครั้ง

พวกเขาทั้งหมดนั่งมองผู้มาเยือน

หรือจะให้ถูก คงต้องบอกว่า จำใจ มา

 

"โลกิ"

"น้องข้า"

"เหตุใดถึงทำกับแขกของเราเยี่ยงนี้"

 

สตีเฟนลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ของเขาในเวลาเดียวกันที่ตัวแทนแห่งแอสการ์ดและวากานดาต่างเรียกผู้ติดตามของตน ชายทั้งสองต่างยืนโดยมีผู้รับใช้คอยประกบข้างคนละฝั่ง

และตะลึงงันไปกับภาพที่ตนได้เห็น

เพราะบนศีรษะของชายผิวขาวในชุดสีเขียวเข้มตัดสลับกับเกราะทองเงา และหนุ่มผิวคมเข้มในชุดขุนนางแขนยาวสีดำปักลวดลายทองประกายตามสาบเสื้อคลุมและรังดุมนั้น

ปรากฏผีเสื้ออยู่ข้างบนกันคนละตัว

 

"ขออภัย แต่ผู้ติดตามสองท่านนี้"

"คนของท่านจับข้ามาเพียงเพราะข้าพยายามปัดป้องแมลงที่น่ารำคาญนี่ ไม่ว่าทำเยี่ยงไรมันก็ยังพยายามจะเกาะบนตัวข้าให้จงได้"

 

เสียงของอีกหนึ่งผู้ปกครองแห่งแอสการ์ด กลับยิ่งทำความสงสัยของสตีเฟนเพิ่มขึ้นกว่าเก่า

นี่เบื้องบนกำลังกลั่นแกล้งเขาอยู่หรือไร ราวกับไม่ได้รับรู้ว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง ไม่ก็ทราบดีแต่คิดจะใช้ปมนี้ในการกระทำอะไรบางอย่างที่ไม่ได้บอกกล่าวให้แม้แต่ร่างทรงอย่างเขาได้รับรู้

หรือคาดการณ์ไว้ว่าสตีเฟนจะปฏิเสธ

แต่นั่นรวมไปถึงท่านผู้นั้นที่เหนือกว่า ผู้อยู่เบื้องบนของทุกสรรพสิ่ง คอยกำหนดโชคชะตาให้เป็นไปตาม สมควร แต่กลับส่งมอบชายชาตรีมาให้ตนเพิ่มขึ้น เสี่ยงสร้างความขัดแย้งภายในกันอีก

 

"พวกเขาไม่ใช่ตัวแทน ให้จัดการเช่นไรดีหรือท่าน"

 

หนึ่งในผู้คุมตัวที่ยังคงจับแขนล็อกไว้ถามอย่างเร่งเร้า และสตีเฟนก็ควรรีบตัดสินใจเดี๋ยวนี้

ซึ่งแน่นอน

สำหรับชายผู้ที่ความต้องการของตนไร้จุดสิ้นสุดนั้น

 

.

.

.

 

"ให้คนของเรา ... จัดที่นั่งและสำรับให้พวกเขา"

 

 

———————————————

 

 

หลังจากมื้อกลางวันเสร็จสิ้นลง สตีเฟนก็สั่งการให้เหล่าผู้น้อยของตนนำทางแขกเหรื่อจากต่างถิ่นไปยังห้องพักรับรองและคอยรับใช้ไม่ห่างกาย ถ้าใครใคร่รู้หรือประสงค์สิ่งใด หากจัดหาได้ให้ทำตามคำขอของพวกเขา

เพื่อให้ตนได้มีเวลารับฟังเหล่านักเวทในสภา กว้านเอาถ้อยคำสวยหรูแสนสูงส่งเพื่อก่นด่าและเหยียดหยามราวกับตำแหน่งที่ตนถือกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไร้ความหมายไปเสีย

เขาเตรียมใจไว้แล้ว

ทั้งการกระทำในวันนี้ และอดีตเมื่อวันวานที่สะสม

เรื่องราวฉาวโฉ่ที่ดังกระฉ่อนจนผู้อยู่ในปราสาทแห่งนี้ต่างรับรู้กันทั่ว

เขาเลือกจะไม่โต้ตอบอะไร

ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอธิบาย

หากไม่มีผู้ใดต้องการพรจากเบื้องบน เหตุใดเขาถึงจะใช้พิธีที่ห้ามหลีกเลี่ยง เลือกคู่ครองของตนตามความรู้สึกส่วนตัวไม่ได้เล่า

สตีเฟนนึกคิดขณะเยื้องย่างไปตามทางเดินยาวเชื่อมระหว่างส่วนหลักและหอคอยส่วนของที่พำนัก กว่าสภาจะสิ้นสุดลงก็ล่วงเลยเวลาจนดวงอาทิตย์ถูกกลืนกินไปเสียแล้ว รวมถึงเขาเองนั้นไร้กะจิตกะใจจะศึกษาเรื่องราวเพิ่มเติม หรือหาสาเหตุว่าเพราะอะไรจึงเกิดอาเพศนี้ขึ้นได้จึงตัดสินใจกลับห้องพักของตนเสียดีกว่า

แต่ขณะก้าวเดินอย่างเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้ใดเคียงข้าง เทพพยากรณ์กลับรู้สึกได้ถึงพลังที่ผู้ถือครองไม่คิดจะแอบซ่อนมันเลยแม้แต่น้อย

เขาจึงหยุด

และเมื่ออีกหนึ่งชีวิตยังคงนิ่งงัน สตีเฟนเลยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

 

"มีเหตุหรือประเด็นใดใคร่สนทนากับเรา โปรดมาพูดตรงหน้าเราเถิด"

"ขณะนี้เป็นยามวิกาล และมีเพียงเราสองตามลำพัง"

"เราไม่ใช่เบี้ยล่างเช่นกาลก่อน"

"แน่ใจหรือว่าต้องการให้ใครพบข้าอยู่กับเจ้าอีกครั้ง"

 

สตีเฟนเงียบแทนการตอบกลับคำถาม โดยเฉพาะเมื่อบางคำถูกเน้นย้ำอย่างหนักหน่วง ตอกย้ำถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาต้องยืนกันอยู่คนละฝั่ง

เช่นเดียวกับตอนนี้

 

"นั่นคือทางเลือกของเจ้าสินะ"

"อืม"

 

สตีเฟนตอบกลับขณะพิงตัวชิดอยู่กับเสาต้นใหญ่

ที่มีคู่สนทนาของตนอยู่อีกด้านหนึ่ง

 

"การกระทำของเจ้า"

"ทำให้ข้าได้พบเจ้าอีกครั้ง"

"บุ่มบ่ามเกินไป"

"ข้าหรือ ... ข้าที่ใช้เวลานานแรมปี หลายปี รวบรวมกำลังพล ก่อร่างสร้างตัว วางแผนทุกอย่างเพื่อให้ทันพิธีการ กับเจ้า ..."

 

ไคซีเลียสเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

 

"ที่รีบรับชายผู้ถูกขับไล่ออกจากปราสาทแห่งนี้ ชายผู้มัวหมองด้วยบาปจากการฉกฉวยความบริสุทธิ์คราแรกของผู้ถูกเลือกให้เป็นเทพพยากรณ์คนต่อไป"

 

คำตอบที่ได้ยินทำเอาผู้ถูกกล่าวอ้างไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรถึงจะทั้งถูกต้องและถูกใจพวกเขาสองฝ่าย

เขาจึงบ่ายเบี่ยงประเด็นเป็นอื่นไป

 

"สิ่งที่เจ้ากล่าวมากำลังสื่อได้ว่า แม้จะไร้ซึ่งพลังของเทพพยากรณ์ก็สามารถปกครองและคุ้มกันคนของเจ้าได้ ใช่หรือไม่"

"ใช่"

"ถอดความได้ว่า เจ้าเองก็ไม่ได้ต้องการพรใดจากเหล่าทวยเทพและท่านผู้นั้นที่เหนือกว่า เช่นเดียวกันกับผู้อื่น ใช่หรือไม่"

"ใช่"

"เจ้ารู้ว่านั่นทำให้เราไม่มีความจำเป็นต้องเลือกเจ้า ใช่หรือไม่"

"รู้"

"แล้วเหตุใด ..."

"เจ้าอยากรับฟังจริงหรือ"

 

สตีเฟนเลือกจะไม่ตอบคำถามนั้นและเปลี่ยนประเด็นอีกครั้ง

 

"ได้ข่าวคราวเขาบ้างหรือไม่"

"หมายถึงผู้ใดเล่า"

"เจ้าก็รู้ ... ชายผู้พร่ำสอนพวกเรา ผู้ดึงดันกับผู้นำคนก่อนว่าเราสามารถเรียนรู้ได้ เปลี่ยนแปลงได้ และคอยอยู่ข้างเรา"

"สนทนากับข้าแต่ใจยังคงหวนคำนึงถึงชายอื่น"

"เขาออกเดินทางก่อนรุ่งสาง เรานึกว่าจะมีโอกาสที่เจ้า ผู้มาจากนอกผืนแผ่นดินนี้ จะสวนทางกัน"

"แม้แต่ชายผู้เถรตรงและยึดมั่นถือมั่นในประเพณีดั้งเดิมยังพ่ายแพ้แก่เจ้า นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นใช่หรือไม่"

 

เป็นอีกคราที่ชายข้างหลังตนทำให้เขาพูดไม่ออก ให้ความเงียบกลับกลายเป็นการตอบอย่างชัดเจนว่า ภายหลังการตัดสินที่พวกเขาควรถูกขับไล่ออกจากเคหะสถานอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันทั้งคู่แต่มีเพียงสตีเฟนที่ได้รับโอกาสอีกครั้งนั้น เป็นเพราะสหายเก่าและผู้พร่ำสอนตนนั้นช่วยเจรจา เชื่อมบ่วงที่รัดพันรอบคอของเขาไว้ให้ยังอยู่ในที่แห่งนี้ต่อไป

หรือจะเป็นบัญชาจากผู้ใดก็ตาม แม้แต่เขาก็ไม่อาจล่วงรู้คำตัดสินหรือภายในใจของ เอนเชี่ยนวัน ได้

 

"ขออภัย ข้าไม่พบเขาหรอก และหากเขาไม่ต้องการให้ใครเจอข้าก็ไม่คิดว่าการพบปะกับเขาจะเป็นไปได้"

 

ข้อเท็จจริงที่ไคซีเลียสกล่าวมานั้นไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย

หากมอร์โดไม่ปรารถนาให้ใครพบตน คงเป็นการยากยิ่งราวกับเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด

ใบหน้าของสตีเฟนยังคงเรียบเฉย

สองมือกุมทับจับสาบเสื้อคลุมบนอกของตนไว้แน่น

ก่อนจะรุดก้าวข้ามไปอีกฝั่งของเสาหิน

และโผตัวเข้าหาคู่สนทนาผู้ห่างหายไปนานราวกับเป็นนิรันดร์

 

"หากใครเห็นเข้า"

"กอดเรา ..."

 

สตีเฟนพูดพลางซุกหน้าตัวเองเข้ากับซอกคอของไคซีเลียสเอาไว้

จับแขนอีกฝ่ายให้โอบรับร่างของตนใต้ผ้าคลุมผืนแดงยาวอย่างแนบแน่น

 

"กอดเราสิ"

"บางครั้งข้าก็หลงลืมไปว่าเจ้าร้ายกาจเพียงใด"

 

เขาปล่อยให้คำกระแนะกระแหนไร้พิษภัยลอยผ่านไป ปล่อยให้มือทั้งสองลูบไล้ทั่วแผ่นหลังและต่ำกว่ามอบสัมผัสที่คุ้นเคย

อันตรายเหลือเกิน

หากใครมาพบเข้าคงไม่พ้นเกิดเรื่องเป็นแน่

แต่ยิ่งคิดกลับยิ่งกระตุ้นอารมณ์ในร่าง จึงปล่อยกายพิงอีกฝ่ายไว้อย่างไร้การทรงตัวด้วยตนเอง

 

"พาพวกเรากลับห้องเจ้าสิ"

"ไม่ ... ตรงนี้"

 

สตีเฟนบอกปัดโดยยังคงซุกหน้าไว้อยู่อย่างเดิมซึ่งไคซีเลียสก็ทำเช่นเดียวกัน แม้จะถูกกั้นด้วยผืนผ้าประจำตำแหน่งแต่ปลายจมูกที่กดถูไปมา ฝ่ามือที่รองอยู่ระหว่างบั้นท้ายและต้นขาด้านหลังของตนสลับกันนวดคลึง ไม่รู้ว่ามันดึงเอาเรี่ยวแรงแข้งขาออกไป หรือเชิญชวนให้ยกขึ้นกอดไขว้กันไว้เหนือก้นกบคนตรงหน้าดี

โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกถึงความต้องการของอีกฝ่าย

ไม่ต่างจากเขาเลยสักนิด

อยากได้

อยากได้เหลือเกิน

อยากได้มากกว่านี้

อยากให้ที่หลับนอนของตนมีเขาอยู่ข้างกาย

ไม่ว่าจะเคียงข้าง

บนหรือล่าง

แบบไหนก็ได้

 

แต่แล้ว

หนทางความคิดแสนผิดก็ถูกตัดจนขาดสะบั้น

 

"มีอะไรรึ ... สตีเฟน!"

 

ไคซีเลียสร้องขึ้นหลังจากเจ้าของชื่อทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดรวดร้าวเกินกว่าจะทานทน มือเรียวสวยเร่งถอดรองเท้าสองข้างออกเผยให้เห็นผิวหนังรอบเท้าถลอกจนเป็นรอยแดงตัดกับผิวเดิม อีกฝ่ายที่ยังคอยย่อตัวประคับประคองเขาก็หันมองตามการกระทำอันแสนรีบร้อน

การกระทำที่มีเหตุผลแอบแฝงอยู่

 

"เจ็บเท้างั้น—"

"มีผู้เฝ้ามองเรา"

 

ไม่รีรอให้อีกฝ่ายถามจบสตีเฟนก็รีบตัดบท ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หูเพื่อกระซิบกระซาบให้มีผู้ได้รับสารนั้นเพียงฝ่ายเดียว

ไม่ใช่ผู้ถือครองพลังเวทอีกหนึ่งที่ตนรับรู้ได้

ใครก็ตามที่ตั้งใจมาสอดส่อง วุ่นวายกับกิจการส่วนตัวของเขา

ไคซีเลียสหันไปมองสตีเฟนและพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร ปั้นหน้านิ่งที่ใครหลายคนมองว่าน่ากลัวเกินกว่าจะเข้าใกล้ จากนั้นก็ใช้แขนสองข้างช้อนใต้ขาพับและแผ่นหลังของผู้นำความคิดคนปัจจุบันก่อนลุกขึ้นยืน ประคองร่างแนบชิดตัวไว้

และพูดเสียงดังจนสตีเฟนมั่นใจว่า บุคคลที่สาม ต้องได้ยิน

 

"ข้าจะพาท่านกลับและตามคนมารักษาให้ โปรดวางใจเถิด"

 

ให้ตายสิ เขาอยากหัวเราะออกมาดัง ๆ เสียจริง แต่ก็ทำได้เพียงเก็บคองอเข่าอยู่นิ่ง ๆ รอเวลาที่ชายผู้เดินเชื่องช้ากว่าปกติจะพาเขาไปถึงหน้าห้องของตน

โดยไม่วาย ทิ้งคำค่อนแขวะหลังจากปล่อยเขายืนพื้นอีกครั้ง

 

"เวลาเช่นนี้เจ้ากลับไม่ใช้พลัง"

 

นั่นคือคำกล่าวทิ้งท้ายก่อนที่ผู้หยั่งรู้จะปิดประตูลง

และพึมพำเล็ก ๆ กับตัวเองเพียงลำพัง

 

"งั้นเราก็ไม่ได้พบเจ้าสิ"

 

 

.

.

.

 

 

—TBC—