2 ตอน บทที่ 2 น้องงานดีมากเลยค่ะ!!! ---50%
โดย BennieRule
เฮือก!!
ในวินาทีที่รู้สึกตัว ร่างตนเองที่นอนอยู่ก็ทะลึ่งลุกพรวดขึ้นในทันที ฉันหายใจถี่ด้วยความเหนื่อยล้า รู้สึกเจ็บแปล๊บแน่นบริเวณหน้าอก ดวงตาร้อนผ่าวจนแสบไปหมด เลยต้องหลับตาเอาไว้ก่อน---ท่ามกลางความมืดและเงียบเชียบรอบด้าน ฉันพยายามตั้งสติ สูดลมเข้าออกอย่างช้า ๆ จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงเม็ดเหงื่อบนใบหน้า แล้วลองขยับเอาฝ่ามือทาบหน้าอก ...
ตุ้บ ๆ ตุ้บ ๆ
ฉันเริ่มได้ยินเสียงหัวใจตนเอง มันเต้นตุ้บ ๆ ไวระรัวราวกับจะทะลุออกมาให้ได้เสียอย่างนั้น ---ฮึก!
ฉันยังไม่ตาย!
เวลานี้ ตอนนี้ฉันยังไม่ตายจริง ๆ ด้วย!?
หลังจากประสบเหตุการณ์เฉียดตายมาอย่างหวุดหวิด ฉันจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกขอบคุณต่อโชคชะตาจนทำเอาฉันแทบจะเกือบร้องไห้น้ำตาไหลมันเสียตรงนี้
พูดตามตรง ชีวิตนี้ไม่เคยเจออุบัติเหตุ ประหนึ่งหนังแอ็กชันแบบนั้นมาก่อน ถ้าอาป๊าอาม๊าที่บ้านรู้เข้า แกคงด่าเอ็ดตะโรบ่นนู่นนี่จนหูชายกใหญ่เป็นแน่ ครั้นจะแค่เอ็ดคงไม่พอ อาป๊าได้คงเอาไปคุยเล่ากับพวกลูกค้าขาประจำในร้านต่อด้วยแน่ มั่นใจเลยว่าแค่ในวันเดียว ประเดี๋ยวก็รู้ไปทั่วทั้งซอย!
แต่เอาเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน! แต่จะว่าไป! ---แล้วพัทธ์กับสาล่ะ ทั้งสองคนปลอดภัยหรือเปล่า!?
เมื่อนึกถึงสองเกลอเพื่อนสนิทผู้เพิ่งเผชิญกับวิกฤตก่อนหน้านี้ด้วยกัน ฉันก็เริ่มลืมตาอย่างช้า ๆ ตอนนี้อาการแสบเริ่มทุเลาลงไปแล้ว ฉันลองหันซ้ายหันขวาก่อนมองออกไปรอบ ๆ ก็พบว่าตนเองอยู่บนเตียงขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ปูด้วยผ้านุ่มอบอุ่นสีขาวหม่น มีโครงค้ำเสาสีดำสนิทพร้อมผ้าม่านตรงมุมเตียง ลักษณะดูดีเหมือนกับอยู่ในโรงแรมท่องเที่ยวห้าดาวก็ไม่ป่าน
ครั้นพอก้มมองร่างตนเองใต้ผ้าห่มหนา ก็พบว่าเสื้อผ้าถูกเปลี่ยนไปแล้ว มันเป็นเสื้อเนื้อผ้าบาง ๆ แต่ไม่ใช่ชุดผู้ป่วยโรงพยาบาล แถมยังมีกระดุมกลัดจากเชือกอีกต่างหาก---แถมชั้นในไม่อยู่ด้วย! ได้ยังไงเนี่ย?
ไวเท่าความคิด ภาพอุบัติเหตุตอนตัวลอยกระเด็นจากตุ๊กตุ๊กตกลงคลอง ก็วาร์ปมาในหัวอย่างฉับพลัน
เจอเรื่องอย่างนี้เข้าไป เสื้อผ้ามันต้องเปียกน้ำอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องเปลี่ยน ไม่ใส่ตอนนี้ก็พอเข้าใจได้อยู่หรอก
---ว่าแต่ว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย?
หรือจะเป็นโรงพยาบาล?
เพราะอยากทราบสภาพโดยรอบก่อน ฉันเลยลองเอื้อมมือออกไปเลื่อนเปิดชายผ้าม่านออกอย่างช้า ๆ แล้วหันไปมองรอบด้านนอกโดยทั่ว
สถานที่ที่ฉันอยู่เป็นห้องขนาดใหญ่มาก ๆ จากตรงที่นอนอยู่ มีเตียงแบบเดียวกันด้วยทั้งซ้ายขวา พอมองด้านบน ก็รู้สึกว่าเพดานมันสูงโปร่งจนผิดปกติชอบกล มองลงมาก็เห็นหน้าต่าง ซึ่งเปิดอยู่เรียงรายทุกบาน อากาศอบอุ่นภายนอกกับแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามา ไม่มีพวกแอร์หรือเครื่องปรับอากาศ ไม่มีกระทั่งสายน้ำเกลือกับอุปกรณ์แพทย์ใด ๆ
---ร้อนจัง ฉันนึกพลางขยับชายเสื้อ วันนี้เจอทั้งน้ำคลองหนาว ๆ เจอทั้งอากาศร้อนเมืองไทยอย่างนี้ ก็ไม่สบายกันพอดี!
เพราะสภาพแวดล้อมข้างต้นกับความอนามัยอื่น ๆ ฉันเลยตัดความคิดว่าที่นี่คือโรงพยาบาลออกไป ในห้องเท่าฉันที่มองเห็น มีประตูหนาบานใหญ่มากบานหนึ่ง ใกล้กันนั้นมีเก้าอี้และพวกโต๊ะ บนนั้นมีข้าวของวางไม่เป็นที่ อย่างเสื้อผ้า หวีหรือตะกร้าใส่ของ ตรงพื้นปูด้วยพรมสีทึบ ๆ
ด้วยลวดลาย รูปทรง และขนาดของพวกมัน ทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นล้วนดูแปลกตา ฉันรู้สึกว่าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ใครมาช่วยฉันกันแน่ แล้วใครคนนั้นพาฉันมาที่แปลก ๆ แบบนี้ทำไม!?
“เอ่อ---ขอโทษนะคะ!?”
โทษนะคะ---นะคะ---คะ----
ฉันลองพูดออกไป ด้วยหวังว่าเผื่อมีใครอยู่แถวนี้ตอบกลับมา แต่ผลลัพธ์คือความเงียบเหมือนตอนแรกเมื่อฟื้น และเสียงของตัวเองที่ดังกังวานลอยไปไกล เท่าความกว้างมหาศาลของที่นี่
มันแปลกแฮะ
นอกเหนือจากเรื่องรอดตายกับตื่นมาอยู่แปลกถิ่นแล้ว
อีกเรื่องที่ฉันสงสัยคือเรื่อง ‘เสียง’
ทำไมเสียงของตัวเองฟังดูแปลกไปหว่า?? ---หรือเพราะจมน้ำมา? มันเชื่อมโยงเกี่ยวกันหรือเปล่าหว่า!?
ขณะที่นึกอยู่ ลำคอฉันก็รู้สึกแห้งผาก แม้ว่าจะแสบอยู่บ้างก็ตาม...เรื่องหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว
ทำไมแสบคอขนาดนี้ โทนเสียงทำไมฟังนุ่ม ๆ เสียงหวาน ๆ ยังไงไม่รู้ชอบกล
“มี--มีใครอยู่แถวนี้ไหม?”
ฉันลองพูดอีกครั้ง หวังผลสองทางคืออยากรู้ว่ามีใครอยู่บ้าง กับเรื่องเส้นเสียง---แน่นอน เรื่องหลังเป็นอย่างที่ฉันคิด
เสียงตอนนี้ออกหวานจริง ๆ เคยได้ยินว่าเสียงที่ตัวเองพูดกับคนอื่นได้ยินจะไม่เหมือนกัน
แต่ยังไงก็ตาม ตอนนี้เสียงฟังดูละมุนดีจัง...ยังกะเสียงนักพากย์เลยแฮะ
เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อน ถึงจะนุ่มหูก็เถอะ บางทีอาจเพราะน้ำคลองลงคอก็ได้---ไม่นะ! น้ำคลอง! นี่ทำอะไรเส้นเสียงฉันเนี่ย!?!
“--อึก”
เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นจากเตียงใกล้ ๆ ตามมาด้วยเสียงดังกุกกัก ๆ ฉันเห็นชายผ้าห่มจากเตียงอื่นขยับลงมาที่พื้น
มีคนอยู่ด้วย! ฉันขยับไปหาร่างตามเสียงเบานั้น ไม่รู้ทำไม รู้สึกว่าตัวเบาพิกล แต่ฉันไม่ได้สนใจเรื่องนี้
เสียงใครสักคนที่ได้ยินต่างหาก! หรือบางทีจะเป็นพัทธ์กับสาก็ได้!
---เมื่อนึกเช่นนั้น ฉันเลยขยับร่างไปเปิดผ้าม่านกันออก
พรืดดด...
...
เอ๊ะ....!
ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าทำเอาพูดไม่ออก
ไม่สิ บอกว่าบรรยายไม่ได้มากกว่า...
---เพราะร่างเป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการอย่างที่สุด
นะ...น่ะ..น่า....
น่ารักกกกกก!!! น่ารักกกกกก!!! น่ารักกกกกก!!! น่ารักกกกกก!!! น่ารักกกกกก!!!
น้องงงงงง โอ๊ย!!! น้องงงงงงง!!!!!
“'งื้อ ว้าว~~~น้อง~~~น้องสองคนน่าร้ากกก~~~”
อย่างที่ฉันพูดออกไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อครู่นี้ ผู้ที่อยู่ตรงหน้าฉันคือเทวดาตัวน้อย น่าทะนุถนอมสองคน ทั้งคู่สวมชุดเหมือนฉัน แต่รูปลักษณ์กลับแต่ต่างกันโดยสิ้นเชิง!
ทั้งสองคนเป็นเด็กวัยกำลังน่ารักน่าอุ้ม ทั้งคู่น่าจะอายุประมาณประถม คนหนึ่งรูปหน้าเล็กมน เรือนผมสั้นสีดำ คิ้วขมวดเป็นปมเล็ก ๆ ดวงตาคมกริบฉายแววความสงสัยแบบวัยเยาว์ เป็นสีฟ้าสวยเหมือนสีผืนน้ำมหาสมุทร ผิวพรรณดูขาวผุดผ่อง
น้องคนที่สองตัวโตเมื่อเทียบกว่าอีกคน น้องมีผิวแทนเหมือนชาวต่างชาติ ดวงตาสีเขียวมรกตแวววาว เรือนผมสีทองอำพัน มองมาที่ฉันด้วยสายตากึ่งรับกึ่งสู้ ดูมีเสน่ห์น่าเอ็นดูน่าดูแลขั้นสุด! ทั้งคู่ดูเป็นธรรมชาติมาก แต่ก็ดูเหมือนตุ๊กตามากเลย ถ้าไม่ขยับตัว นึกว่าตุ๊กตาสุดน่ารักงานดีเลยจริง ๆ ยิ่งมีสีหน้า-สีผิว-สีผมเช่นนี้แล้ว
สะ--สเกลระดับสูงมาก
Over-9999
กร๊าวจ๋ายกร้าวใจ ระดับ Legendary
นี่เป็นกาชา SSR ระดับ0.0000000001%
สรุปสั้น ๆ --- คือน้องงานดีเลิศมากเลยค่ะ ว้าว ว้าว ปัง ปัง ปัง ฮือ!
“น้องเป็นคอสเพลย์เยอร์หรือเปล่าคะ? งานดีมากเลย มีทวิตฯ เพจ-เฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรมตามงานไหมคะ?” ฉันเผลอพูดออกจนหมด เมื่อเห็นสีหน้าบริสุทธิ์น้องคนดีทั้งสองมองกลับมา ก็เกิดความรู้สึก โอ๊ย บาปกรรม แวบเข้ามาในใจ
“เอ๊ะ!? เผลอหลุดความในใจไปจนได้ ขอโทษนะคะน้อง”
“เอ่อ---ไม่รู้คิดไปเองไหม แต่วิธีพูดของคุณ ฟังดูเหมือนของคนรู้จักของทางนี้มากเลยนะ”
น้องงานดีผมดำที่ขมวดคิ้วพูดขึ้นด้วยเสียงนุ่นหู ดวงตาสีฟ้าดูแข็งแกร่ง ด้านน้องผมทองอีกคนก็หันมองฉันนิ่ง ๆ
---อ๊ะ ประเดี๋ยวก่อนนะ ตะกี้น้องเค้าพูดว่าฉันคล้ายกับคนรู้จักอย่างนั้นเหรอ!?
“หืม? หรือว่าพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอคะ? พี่ว่าพี่ไม่น่าลืมหน้าพวกน้องคนดีไปได้เลยนะเนี่ย”
น้องคนเดิมขมวดคิ้วเริ่มอ้าปากพูดขึ้นต่อ
“ช่วงนี้มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชอบเป็นแบบนี้ ชอบอ่านนิยายเยอะเป็นพิเศษ เขาอ่านยิ่งกว่าหนังสือเรียนจนนอนดึกโต้รุ่งมันแทบทุกคืน ขนาดมาเรียนพิเศษยังมาหลับแทน! แทบจะเป็นซอมบี้แล้วตอนนี้? น่าเป็นห่วงจริง ๆ ไม่รู้เจ้าตัวเป็นอย่างไงบ้างก็ไม่รู้ตอนนี้”
ระ ---รู้สึกคุ้น คุ้นมากเลย! ใครกัน ชะตาเหมือนฉันซะไม่มี
แถมคุณน้องยังพูดระรัวอีกต่างหาก น้องเป็นเดอะแรปเปอร์หรือไง!?
“ใช่ ๆ ทางนี้ก็กำลังตามหาเพื่อนอยู่เหมือนกัน ทางนั้นก็ด้วยเหรอ?” ฉันถามพลางเขยิบร่างเข้าไปใกล้ จ้องตากลมโตของอีกฝ่ายก่อนเอ่ยต่อ
“ว่าแต่วิธีพูดแบบรัวข้อมูลนี้ ฉันก็มีเพื่อนนิสัยคล้ายกันเลย น้องเคยได้ยินชื่อพัทธ์บ้างไหม?”
น้องผมดำหันขวับทันที สีหน้าใช้ความคิดนั้นดูดีสุด ๆ
“พัทธ์ ---เมื่อกี้คุณพูดว่าเพื่อนชื่อพัทธ์เหรอ?”
“ใช่---น้องรู้จักเพื่อนพี่อย่างนั้นเหรอ? ได้ไงอ่ะ---ห๊ะ! หรือว่าเป็นแฟน!?”
สีหน้าน้องพูดแสดงว่ารู้จักเพื่อนของเราแน่ ๆ สำหรับฉันคนที่สนิทสนมรู้ลึกแถมพูดเร็วฉะฉานแบบนี้ มีแต่พัทธ์เท่านั้น---ด้วยนิสัยแล้ว สองคนนี้ดูเหมือนกันอยู่นะ
ถ้าพัทธ์กับน้องคนนี้รู้กัน ทำไมไม่พาน้องมาแนะนำให้รู้จักกันนะบ้างนะ ฮืม!!
“ฟะ---แฟนอะไรกันยะ คนที่ฉันชอบก็คือ...”
น้องผมดำกะพริบตาสีฟ้าของตนถี่ ๆ เจ้าตัวเหมือนพยายามจะพูดเหตุผลอะไรสักอย่างกับฉัน ก่อนจะชะงักแล้วหยุดนิ่งไป ทำหน้าเหมือนพูดต่อไม่ออก
น้องพูดยะ!? เอ๊ะ!?
“ทะ---ทั้งสองคน มองที่กระจกกันก่อนดีไหม!?”
เสียงน้องผมทองคนที่สองดังขึ้น เขาเดินกลับมาเงียบ ๆ ในมือมีกระจกถือติดมาด้วย ซึ่งเจ้าตัวคงไปคว้ามาจากกองข้าวของบนโต๊ะใกล้ประตูบานยักษ์ คงเป็นจังหวะเดียวกันระหว่างที่ฉันกำลังคุยโขมงกับน้องผมดำ
ในวินาทีที่น้องผมทองหันกระจกมาตรงหน้า ภาพที่ปรากฏกลับมา ทำให้ฉันและน้องผมดำอุทานออกมาเสียงดังสนั่น!!!
“กรี๊ด!”
“วี้ด!”
“ว้าย!”
“กริ๊ดดด >/// [] ///< โชตะงานดีมาก คนนี้เหมือนตุ๊กตากว่าใครเลยน้อง! โชตะผมขาวด้วย บันไซ!”
ฉันร้องกรี๊ดเมื่อเห็นภาพในกระจก คราวนี้เจอน้องเด็กหนุ่มโชตะงานดียิ่งกว่าเดิม ภาพตรงหน้าคือน้องรูปร่างบาง ตัวเล็กน่ารักน่าเอ็นดู น้องผอมเมื่อเทียบกับอีกสองคนใกล้ ๆ เรือนผมเป็นสีขาวดูดี เหมือนปุยนุ่นหรือก้อนเมฆกลมชวนละมุนตา ดวงตาสีแดงเพลิงแวววาว มีแก้มน้อยนิด ๆ ท่าทางคุณหนูหน่อย ๆ คาแรกเตอร์น่าฟัดน่าหลงใหลเอามาก ๆ
อยากเก็บน้องทั้งสามคนไว้ที่เดียวกันจังเลย! ////___/// วะฮาฮ่า
_____
TALK : ที่มาของชื่อเรื่อง ฮา :))