I

จดหมายจากโอลิเวอร์


หลังจากที่ผมได้รับจดหมายจากโอลิเวอร์ ผมก็รู้สึกเหมือนประสาทจะกิน


เขาบ้าไปแล้วรึไง? ดอกกุหลาบที่ชอบกินสารคัดหลั่ง? และหมาที่อึ้บคนได้เนี่ยนะ? งานนายเยอะจนเพี้ยนไปแล้วรึไง แล้วไหนจะหมึกที่หกเลอะข้อ 7 นี่อีก นี่นายจงใจกวนประสาทฉันหรือเปล่าโอลลี่


ผมสบถอย่างไม่ชอบใจนัก มันอาจจะเป็นมุกตลกรับน้องของโอลิเวอร์ก็ได้ใครจะรู้ บางทีเขาอาจจะอยากแกล้งให้ผมตกใจเล่น หรือเป็นคำเตือนให้ทำงานอย่างระมัดระวัง แต่ถ้าลองวิเคราะห์เนื้อหาในจดหมายดูแล้ว ผมก็ไม่คิดว่ามันจะทำให้เกิดประโยชน์อะไรได้เลย


วันนี้เป็นวันแรกที่ผมมาถึงคฤหาสน์แห่งนี้ งานใหม่ในฐานะคนสวนของผมจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ คฤหาสน์ดอว์สันกว้างขวาง งดงาม และเก่าแก่สมคำล่ำลือ แต่การตกแต่งของมันกลับน่าขนลุกมาก ๆ อาจจะเป็นเพราะที่นี่ก่อสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยสงครามล่าดินแดนเมื่อหกสิบปีก่อน ถือเป็นคฤหาสน์เก่าแก่ประจำเมืองนี้


ปัจจุบันสงครามล่าดินแดนสิ้นสุดลงแล้ว พวกเราได้รับอิสรภาพ สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือประวัติศาสตร์หน้าใหม่และความเจ็บปวดซึ่งค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา ชีวิตของผู้คนที่นี่มีการผสมผสานวัฒนธรรม ศิลปะร่วมสมัยต่าง ๆ เข้ามาแทนที่ คฤหาสน์แห่งนี้จะถือว่าอยู่ริมตัวเมืองก็ไม่เชิง เพราะที่ดินรอบคฤหาสน์กว้างขวางหลายร้อยเอเคอร์ราวกับเป็นอาณาเขตขวางกั้นไม่ให้คนอื่น ๆ ย่างกรายเข้ามา มีข่าวลือต่าง ๆ มากมายเกี่ยวคฤหาสน์แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์ผีสิง เจ้าของตระกูลบูชาลัทธิซาตาน หรือสัตว์ประหลาด บางบ้านถึงกับเอาไปแต่งเป็นนิทานหลอกเด็กกันเลยทีเดียว


หลังจากที่ร้านอาหารที่ผมทำอยู่ในตัวเมืองปิดตัวลง ผมตกงาน และได้มาทำที่นี่ตามคำแนะนำของโอลิเวอร์ เงินเดือนถือว่าดีเกินกว่าจะเป็นคนสวนธรรมดา แถมยังมีห้องพักส่วนตัวและอาหารครบสามมื้ออีกต่างหาก ดังนั้นผมจึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล จะข่าวลงข่าวลืออะไรผมไม่สนหรอก 


“เร็ว เจเรมี่” บิลลี่พูดเร่งให้ผมเก็บของ เขาเป็นเด็กหนุ่มผมสีแดง ผิวขาวซีด รูปร่างผอมบางและมีกระเต็มใบหน้า ดูอายุประมาณ 18-19  ผมจึงรีบพับจดหมายจากโอลิเวอร์เก็บเข้ากระเป๋ากางเกง ทันทีที่ผมออกมาจากห้อง เขายื่นกุญแจให้ผมดอกหนึ่ง “นี่กุญแจห้องนาย ตามมา ฉันจะพานายไปหาคุณเดเรค”


บิลลี่ทำท่าเหมือนจะเดินนำผมไป ก่อนจะหยุดชะงักกึกแล้วหันมาหาอีกครั้ง “แต่ทางที่ดี...นายไม่ควรจะใช้กุญแจนั่นนะ นายไม่ควรล็อกห้อง”


ผมขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ จดหมายของโอลิเวอร์ก็มีพูดถึงสิ่งนี้ ว่าครอบครัวดอว์สันไม่ชอบให้ใครล็อกห้องในคฤหาสน์ของเขา 


ทางเดินภายในตัวคฤหาสน์ดูเก่าแก่ แม้จะสะอาดสะอ้าน แต่ดูจากวอลเปเปอร์และเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้แล้ว ล้วนแต่เป็นมรดกที่ตกทอดจากวัฒนธรรมร่วมสมัยสงครามล่าดินแดนทั้งสิ้น


บิลลี่หยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่ง เด็กหนุ่มเคาะประตูสามครั้งเพื่อขออนุญาต เมื่อได้ยินเสียงตอบรับให้เข้ามาได้จากอีกฟากของประตู มือขาวซีดนั่นจึงค่อยเปิดเข้าไป


“สวัสดีฮะคุณเดเรค”


ผมอุทานว่าว้าวเบา ๆ ในใจ ผมคิดว่าคุณเดเรคจะดูแก่ ผมเต็มไปด้วยสีขาว แก่จนไม่น่าจะช่วยเหลืออะไรตัวเองได้ไหว แต่คนตรงหน้ากลับไม่ใช่ เขาดูดีมาก จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาสีฟ้า ดุดันแต่เต็มไปด้วยอำนาจสมเป็นผู้นำตระกูล อายุน่าจะห้าสิบกว่า ๆ เส้นผมถูกจัดไว้อย่างเป็นทรง การแต่งกายแม้จะใส่แค่เสื้อเชิ้ตและกางเกงสีน้ำตาลเข้มขายาวแต่กลับดูเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า และนั่น โอ้..นั่นเป้าของเขาหรอ มันช่างดู..นูน? ผิดปกติ


“สวัสดีครับคุณเดเรค ผมเจเรมี่ เป็นเพื่อนของโอลิเวอร์ครับ” ผมพยายามตั้งสติ เก็บสายตาเอาไว้ไม่ให้มองยังเป้ากางเกงเขาอีกอย่างเสียมารยาท บางทีผมอาจจะตาฝาด
“โอลิเวอร์เล่าให้ฉันฟังแล้วล่ะ เห็นว่าเพื่อนของเขาจะมาสมัครที่นี่” อีกฝ่ายมองผมอย่างพิจารณา แม้สีหน้าจะดูนิ่งแต่สายตากลับฉายแววพอใจอย่างประหลาด


ทำไมเขาถึงดูพอใจล่ะ?


“ปีนี้เธออายุเท่าไหร่”


“อ่า..ผมเพิ่งอายุครบ 20 ปีเมื่อเดือนที่แล้วครับ” 


สายตาของเขาดูพอใจยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความกระหายบางอย่างที่ทำเขาผมต้องขนลุกไปทั้งตัว ผมหนีบขาอ่อนเข้าหากันโดยอัตโนมัติ ก่อนที่แววตาของเขาจะกลับเป็นปกติในเสี้ยววินาที


“ดี” เขาพยักหน้าจากนั้นเบนสายตาไปทางอื่น “ฝากเธอด้วยนะบิลลี่”


“ครับ คุณเดเรค”


ระหว่างทางที่บิลลี่กำลังจะพา ผมไปเดินรอบทัวร์รอบคฤหาสน์ พวกเราเดินออกมาจากห้องทำงานของคุณเดเรคซึ่งอยู่ชั้นสอง ผมก้าวเท้าไปตามทางเดินจนถึงบันไดโค้งที่มีลักษณะเป็นบันไดคู่แยกกันสุดขอบมุมซ้ายและมุมขวาของห้องโถง บันไดทั้งสองเส้นทางนั้นโค้งงอเข้าหากันแบบคู่ขนาน พาผู้เดินทางมาสู่จุดมุ่งหมายเพียงที่เดียวคือกลางห้อง ตรงปลายบันได ซึ่งจากจุดที่กำลังลงบันไดนี้ทำให้ผมสามารถเห็นได้ทั่วทั้งห้องโถง 


ผมพบว่าในคฤหาสน์มีห้องอยู่มากมาย บางห้องไม่มีประตู หน้าต่างดูเก่าแก่แต่ก็ดูออกว่าได้รับทำดูแลอย่างดี ภาพวาด รูปปั้นลักษณะต่าง ๆ มากมายถูกตั้งประดับเอาไว้อย่างวิจิตร


“ภาพวาดนั่นมันสุดยอดไปเลยไม่ใช่หรอ” ผมกระซิบถามบิลลี่พร้อมชี้ไปตรงผนัง “ฉันเคยเห็นผ่าน ๆ มันคือภาพวาดของปิแอร์ แขวนเอาไปแบบนี้ไม่กลัวโดนขโมยหรอ” มันควรอยู่ในพิพิธภัณฑ์มากกว่าบ้านของเศรษฐีคนหนึ่ง แต่แน่นอนว่าประโยคหลังผมไม่ได้พูดออกไป


“ขโมยหรอ อ๋อ นายไม่ต้องกังวลหรอก” บิลลี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ “พวกมันไม่กล้าหรอก แม้แต่เขตสวนมันยังไม่กล้าเข้ามาเลย”


ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงกับคำพูดนั้น เป็นไปได้ว่าการรักษาความปลอดภัยที่นี่ดีมาก ถ้าเป็นแบบนั้น มันจะยิ่งดีกับตัวผมเองด้วย


ผมเดินออกจากตัวคฤหาสน์ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมตลใจให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบน ชั่ววินาทีนั้นผมสบตากับคนที่อยู่ตรงระเบียงชั้นสอง เขาเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ จากระยะไกลทำให้ผมเห็นหน้าเขาได้ไม่ชัดนัก แต่ดูแล้วเขาหน้าตาค่อนข้างคล้ายกับคุณเดเรคแต่ดูอายุน้อยกว่า ชายหนุ่มคนนั้นเปลือยกายใช้มือจับราวระเบียงไว้ ขยับเอวกระแทกกระทั้นเข้าหาคนใต้ร่างซึ่งกำลังหันหลังโด่งก้นขึ้นรับแรงกระแทกด้วยความกำหนัด เราสองคนสบตากัน ก่อนเขาจะใช้มือจับล็อกเอวชายหนุ่มอีกคนไว้แน่นแล้วเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น เสียงร้องครางอย่างสุขสมนั่นดังมาจนถึงจุดที่ผมยืนอยู่


ชายหนุ่มคนนั้นเลียริมฝีปากของตัวเองเหมือนเจอของเล่นถูกใจ แขนทั้งสองข้างจับรั้วระเบียงไว้แล้วโน้มตัวออกมาราวกับต้องการจ้องมองผมให้ชัด ๆ โดยที่เอวยังไม่หยุดขยับกระแทกเข้าหาคนใต้ร่าง 


ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืนเคือง ยิ่งผมสบตากับเขานานเท่าไหร่ ดูเหมือนแรงกระแทกนั่นจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ 


สายตาร้อนแรงของเขาราวกับกำลังจับผมกดลง แล้วสอดแก่นกายลึกเข้ามาจนสุดโคน เป็นผมแทนที่อยู่ภายใต้ร่างนั่น


ผมเผลอขมิบรูจีบด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว


“อย่าสบตากับเขา” บิลลี่กระซิบข้างหูของผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งมันดังพอจะทำให้ผมสะดุ้ง รีบเก็บสายตาตัวเองกลับมาทันที 


“นั่นใครน่ะ” 


บิลลี่ไม่ตอบ แต่รีบเดินนำผมเข้าเขตที่พักคนงาน ทันทีที่พ้นจากสายตาของชายหนุ่มคนนั้น เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจออกมา


“นั่นคุณชาร์ล” จดหมายของโอลิเวอร์ไม่เคยพูดถึงเขามาก่อน


“ตระกูลดอว์สันมีลูกชายสามคน คุณเดวิดคือลูกชายคนโต คุณชาร์ลคือคนรอง ส่วนคุณแฟรงค์รายนั้นเห็นว่าไปตั้งรกร้างอยู่ที่เมืองอื่นแล้ว” บิลลี่อธิบายต่อ ผมอ๋อเบา ๆ เป็นการตอบรับ


“อันที่จริง...อีกสองวันข้างหน้า ฉันจะอายุครบ 20 ปีพอดี” 


ผมไม่รู้จะทำยังไงกับบอกเล่าในประโยคต่อมาของบิลลี่ บางทีเขาอาจจะต้องการคำอวยพรล่วงหน้า หรือของขวัญ


“อ๋อ..สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้านะบิลลี่” แต่ผมเพิ่งมาใหม่ ไม่รู้จะทำงานที่นี่ได้นานแค่ไหน ดังนั้นนายมาบอกขอของขวัญจากฉันก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะบิลลี่


เด็กหนุ่มส่ายหน้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยกระนั้นแสดงความกังวล


“นายไม่รู้หรอกว่ามันน่ากลัวแค่ไหนที่ต้องครบรอบวันเกิดอายุ 20 ที่นี่”


ผมเลิกคิ้วกับคำตอบ แทนคำถามว่ามันแย่ยังไง


“คฤหาสน์แห่งนี้..ไม่สิ ผู้คนที่นี่ เราเชื่อว่าเด็กหนุ่มในช่วงอายุ 20-22 เป็นวัยเจริญพันธุ์ที่สมบูรณ์ที่สุด” 


ผมไม่ถนัดวิชาวิทยาศาสตร์เท่าไหร่ แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น เพียงแค่วัยเจริญพันธุ์นี่ไม่น่าจะแค่ช่วงอายุ 20-22 นะ


“หรือก็คือ...เหมาะจะเป็นแม่พันธุ์”


ประโยคต่อมาอันนี้ของบิลลี่ทำผมสะดุดกึก


“ผู้ชายจะเป็นแม่พันธุ์ได้ยังไง เราไม่มีมดลูกสักหน่อย” ผมแย้งให้กับความเชื่ออันน่าขันนี่ เป็นตลกที่ปัญญาอ่อนมาก หรือผู้คนที่นี่จะมีปัญหา


“นายไม่เข้าใจ” บิลลี่ส่ายหน้าแทนคำตอบ “สิ่งที่นายเคยเจอมาที่โลกภายนอกนั่น นายจะเอามาใช้ตัดสินคฤหาสน์แห่งนี้ไม่ได้”


เอาล่ะ ผมเริ่มกลัวบิลลี่ขึ้นมาจริง ๆ 


บิลลี่พาผมเดินทัวร์รอบคฤหาสน์ พาผมแนะนำกับคนอื่น ๆ และบอกว่าห้องอะไรอยู่ตรงไหน โซนไหนเข้าได้ไม่ได้บ้าง รวมถึงหน้าที่ที่ผมต้องทำ และสิ่งที่ผมต้องระวังเป็นพิเศษ


“นายได้อ่านกฎจากโอลิเวอร์แล้วใช่มั้ย” เด็กหนุ่มถามขึ้น ผมมองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ


“ก็..อ่าน ฉันต้องทำตามนั้นหรอ” เพราะมันเป็นกฎที่ฟังดูบ้าและประหลาดที่สุดผมเคยเห็น บิลลี่มองหน้าผม เขาเงียบไปราวกับกำลังครุ่นคิดว่าควรพูดอะไรต่อไป


“ไม่เคยมีใครรวบรวมกฎอย่างจริงจังหรอกนะ” น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นนั้นเบาลง “เพราะมักจะไม่มีเด็กอายุ 20-22 ปีอยู่ที่นี่ ถึงจะอยู่...ก็ไม่เคยมีใครอยู่ที่นี่เกินหนึ่งเดือน”
ผมเบิกตากว้าง ไม่เข้าใจว่าเด็กหนุ่มพูดถึงอะไร


“ของนายมีกฎกี่ข้อล่ะ” บิลลี่เอ่ยถาม ผมหยิบกระดาษในกระเป๋ากางเกงออกมาดูแล้วส่งให้อีกฝ่าย “ของฉันมี 7 ข้อ แต่ข้อสุดท้ายนั่นหมึกมันหกเลอะจนฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร”


มือขาวซีดนั่นรับแผ่นจดหมายไปอ่าน ก่อนจะส่ายหน้าแล้วส่งคืนให้กับผม “ขอโทษด้วยนะ ของฉันมี 6 ข้อเอง ไม่มีข้อสุดท้ายอย่างนาย” 


ผมรับแผ่นจดหมายคืนมา


“ฉันไม่มีที่ไป ฉันถูกทิ้งใกล้ ๆ สวนคฤหาสน์นี้ตั้งแต่เด็ก คุณโอเว่นเป็นคนเก็บฉันมาเลี้ยง ดังนั้นยังไงฉันก็คงต้องครบรอบอายุ 20 ปีที่นี่ ในฐานะคนอายุใกล้ ๆ กัน ฟังนะ เจเรมี่” บิลลี่สบตากับผมด้วยสีหน้าจริงจัง “นายจะต้องทำตามกฎทุกข้อ ข้อสุดท้ายนั่นฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันสำคัญมาก ฉันไม่รู้มาว่าก่อนว่าโอลิเวอร์มีข้อนี้..บางทีเขาอาจจะรีบเขียน หรือเขาอาจจะรู้มาจากอเล็กซ์ โอ้ ใช่ บางทีอเล็กซ์อาจจะรู้..”


“เดี๋ยว ใจเย็น ๆ บิลลี่” ผมยกสองมือขึ้นลูบหัวไหล่ของเขา พยายามปลอบอีกฝ่ายให้พูดช้าลง “อเล็กซ์คือใคร งั้นเราก็ไปถามเขากันตอนนี้เลย”


“ไม่ได้” เด็กหนุ่มตอบทันที “อเล็กซ์อยู่ที่คุกใต้ดิน นายจะล...”


“บิลลี่” 


ฉับพลัน เสียงผู้มาใหม่เอ่ยขึ้นจากทางด้านหลังทันที พวกเราสะดุ้งสุดตัว คุณโอเว่นกำลังมองมาที่พวกเราสองคนด้วยสีหน้าเคร่งครึมจนผมขนลุก ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเข้ามาหาพร้อมกับไฟในตะเกียง ตอนนี้เป็นเวลาใกล้พลบค่ำ เมื่อความมืดเริ่มโอบรอบตัวพวกเรา แสงไฟในตะเกียงจึงสะท้อนเงาดำของคุณโอเว่นทอดยาวไปทางด้านหลังยิ่งทำให้ดูคุกคาม


“ใกล้มืดแล้ว พวกเธอควรจะรีบเข้าคฤหาสน์” น้ำเสียงนิ่ง ๆ ของคุณโอเว่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกกลัว เขาเป็นชายชราอายุประมาณหกสิบปี รูปร่างค่อนข้างผอมแต่ยังคงดูแข็งแรงมาก 


เราสองคนพยักหน้าให้กับคุณโอเว่น จากนั้นยอมเดินตามเขาไปแต่โดยดี 


บิลลี่แอบหันหน้ามองทางผมเล็กน้อยไม่ให้ผิดสังเกต ก่อนจะขยับพูดเบา ๆ แบบไม่มีเสียงให้รู้กันแค่สองคน


‘ฉันจะส่งจดหมายหาโอลิเวอร์’