1 ตอน ภายใต้แว่นกันแดดสีดำ [100%]
โดย MITCHIX
— CHAPTER 1
เป็นอีกวันที่ชีวิตอันแสนน่าเบื่อดำเนินผ่านพ้นไป
ดวงตากลมใสเงยขึ้นมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่กู่ร้องดังบอกเวลาเลิกงาน ยืดแขนบิดขี้เกียจ ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ก้มลงเซ็นเอกสารตรงหน้าต่อ เมินเสียงนาฬิกานั่นราวกับว่ามันไม่มีอยู่
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูไม่ได้ช่วยทำให้เขาละสายตาออกจากกองเอกสารตรงหน้า คุณชายเล็กตระกูลแบล็กส่งเสียงอือออเบา ๆ ตอบรับในลำคอ ก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดออกทันทีที่ได้รับคำอนุญาตโดยเลขาประจำกาย
“จะสองทุ่มแล้วนะคะคุณแบล็ก”
“คุณกลับไปได้เลย ผมคงค้างที่นี่อีกสักคืน”
“แต่-”
“ไม่มีแต่”
น้ำเสียงเฉียบขาดกับแววตาอันคมกริบที่จ้องมองมาอย่างกดดันทำให้โอเมก้าสาวต้องล่าถอย
ทั้งที่เป็นโอเมก้าเหมือนกันแต่กลับรู้สึกแตกต่าง โอเมก้าเพียงหนึ่งเดียวในตระกูลแบล็กมีอะไรที่ทำให้อัลฟ่า เบต้า หรือแม้กระทั่งโอเมก้าด้วยกันเองต้องหวั่นกลัว
ก๊อก ๆ
แต่ก่อนที่เลขาสาวจะได้พูดอะไรต่อเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อม ๆ กับลูก้าที่ถอนหายใจออกมาทันทีที่รู้ว่าบุคคลที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องของตนในตอนนี้นั้นเป็นใคร
กลิ่นไม้หอมประจำกายของอัลฟ่าจาง ๆ ที่โชยผ่านเข้ามาแตะจมูกนั้นเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีให้ลูก้าจำต้องยอมตอบรับ ส่งเสียงเรียกให้บุคคลภายนอกก้าวเข้ามาในห้องทำงานทั้งที่ไม่เต็มใจ
“พี่บอกว่าอย่าหักโหมไงลูก้า”
เจ้าของชื่อปรายตามองไปทางเลขาสาวที่ยืนทำหน้ากระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่ไกล
“หร่อนแจ้นไปฟ้องงั้นสิ”
“ถึงไม่มีใครไปฟ้องพี่ก็จะมาตามเรากลับ”
“พี่ก็เห็นว่าผมยุ่งอยู่”
“ลูก้า”
“เซลีน”
สงครามประสาทขนาดย่อมก่อตัวขึ้น และเป็นฝ่ายพี่ชายอย่างเซลีนเองที่ต้องยอมแพ้ให้กับสายตาอันแสนจะมุ่งมั่นของคนเป็นน้อง
“สามทุ่ม”
“เที่ยงคืน”
“สามทุ่มครึ่งห้ามต่อรอง”
“ห้าทุ่มครึ่งห้ามต่อรอง”
“ลูก้า”
“เซลีน”
“ไม่งั้นก็กลับตอนนี้”
“คิดว่าทำได้ก็ลองดู”
โต้ตอบกับผู้เป็นพี่ชายของตนเองด้วยสีหน้าตายด้าน ทั้งยังก้มหน้าก้มตากลับลงไปเซ็นเอกสารที่เหลืออยู่ต่ออย่างไม่ได้คิดที่จะสนใจสายตาของคนเป็นพี่ ที่แทบจะพุ่งเข้ามาลากตัวเขาออกไปจากห้องทำงานนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
เมินเฉยมากเสียจนเซลีนที่เป็นอัลฟ่าเองก็เริ่มอดรนทนไม่ได้ ขยับย้ายตัวเองไปนั่งลงในฝั่งตรงกันข้าม เอื้อมมือหยิบเอกสารมาช่วยอ่านและเซ็น เผื่อว่ามันจะช่วยเร่งเวลาให้น้องชายของเขาได้กล้บบ้านไวขึ้น ทั้ง ๆ ที่หน้าที่ทั้งหมดที่ลูก้ากำลังทำอยู่ในตอนนี้นั้น มันควรจะเป็นเขาเองที่ต้องเป็นฝ่ายทำงานจนหามรุ่งหามค่ำ เขาที่เป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้
ความจริงที่ว่าเซลีนเป็นเจ้าของบริษัทนี้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ด้วยความรักสนุกในช่วงวัยรุ่นของตัวเองผสมกับความเกียจคร้านที่ต้องคอยมานั่งฝั่งคนเฒ่าคนแก่โต้เถียงกันไปมาในห้องประชุม จึงทำให้อำนาจสิทธิ์ขาดทั้งหมดของบริษัทแห่งนี้ตกไปอยู่ในความควมคุมของรองประธาน หรือก็คือลูก้า น้องชายเพียงคนเดียวของเขา... ที่เป็นโอเมก้า
ในคราแรกที่ลูก้านั้นได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งรักษาการแทนท่านประธานสูงสุดอย่างเขา ทั้งอัลฟ่า เบต้า หรือแม้กระทั่งโอเมก้าด้วยกันเองต่างก็ไม่พอใจที่พวกเขาจะต้องเอาชีวิตทั้งชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงกับบริษัทที่มีโอเมก้าเป็นผู้ควบคุม แต่ด้วยความที่มีเซลีนหนุนหลัง และลูก้าเองก็เป็นคนของตระกูลแบล็กที่เรืองอำนาจ จึงทำให้คนพวกนั้นได้แต่งุบงิบนินทา ไม่สามารถทำอะไรกับตระกูลเก่าแก่ที่มีศักดิ์ยิ่งใหญ่กว่าตนเองได้
ทว่าด้วยเหตุผลนี้ ลูก้าจึงต้องเรียนรู้ที่จะวางท่าที ตรวจสอบงานให้ละเอียดรอบคอบ แก้ไขมันแม้จะเป็นจุดผิดพลาดเพียงจุดเล็ก ๆ ที่ดูแล้วไม่ได้สำคัญอะไร แต่หารู้ไม่ว่าจุดผิดพลาดเพียงเล็กน้อยนั่นอาจทำให้ชีวิตของเขาพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ในทันที หากมันทำให้ชื่อเสียงของตระกูลแบล็กที่แสนบ้าคลั่งสายเลือดแท้ของอัลฟ่าแปดเปื้อน
ไม่มีการให้อภัยชีวิตที่เกิดมาอย่างผิดแผกอีกเป็นครั้งที่สอง
ด้วยลำพังที่เขาเกิดมาเป็นโอเมก้ามันก็ถือเป็นความผิดพลาดที่ไม่อาจให้อภัยได้แล้ว หากมีข้อผิดพลาดอื่นที่ส่งผลสั่นคลอนต่อชื่อเสียงของตระกูลแบล็กเกิดขึ้นมาอีก เขาคงไม่อาจกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้เหมือนดังเดิม
“ว่าแต่แม่ได้บอกเรื่องนั้นหรือยัง”
เสียงง่วง ๆ ของเซลีนเรียกสติของลูก้าที่กำลังเหม่อลอยให้กลับมากำชับปากกาในมือให้แน่นขึ้นอีกครั้ง
“บอกอะไร”
ลูก้าไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องของครอบครัว เพราะครอบครัวเองก็ไม่ได้คิดที่จะใส่ใจอะไรเขาอยู่แล้ว อยากจะทำอะไร อยากจะเล่นอะไร ตัวเขาในตอนนี้สามารถทำได้ดั่งใจปรารถนา หากแต่อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดใดขึ้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ข้อผิดพลาดนั้นนำความเสื่อมเสียมาสู่ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล เขาก็พร้อมที่จะโดนตัดขาดออกจากความเป็นแบล็กทันที
สำหรับโอเมก้าที่เกิดมาในตระกูลที่แสนบ้าคลั่งสายเลือดแท้ของอัลฟ่า ตระกูลที่ลูกหลานทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นอัลฟ่า ตระกูลที่ยึดถือความเป็นสายเลือดแท้ที่พระเจ้ามอบให้มาอย่างช้านาน มันไม่ต่างอะไรกับการตกนรก
และลูก้าคือตราบาปของตระกูลแบล็ก
ต่อให้ทำดีแค่ไหน ต่อให้ดิ้นรนมีชีวิตรอดมากเพียงใด เขาก็ไม่ต่างอะไรจากตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแสนสวย ที่งดงามเลอค่าแต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากนำขึ้นไปวางโชว์ไว้บนจุดสูงสุด จุดที่ทำให้มันสามารถเฝ้ามองชีวิตอันแสนอิสระของตุ๊กตาตัวอื่นได้ แต่ไม่สามารถออกไปได้เพราะทันทีที่มันขยับตัวลุกออกมาจากพื้นที่ของมัน มันก็จะร่วงหล่นลงไปกระทบพื้นจนแตกสลาย กลายเป็นเพียงเศษแก้วไร้ค่าที่สร้างภาระให้ผู้เลี้ยงดูต้องมาตามเก็บ
โอกาสที่ชนชั้นอัลฟ่าทั้งสองแต่งงานกัน แต่มีลูกออกมาเป็นโอเมก้านั้นต่ำมากเสียจนโอกาสที่ไข่ไก่จะฟักออกมาเป็นลูกเต่านั้นยังมีความเป็นไปได้มากกว่า แต่ลูก้ากลับกลายเป็นเต่าตัวนั้น เต่าน้อยที่ฟักออกมาจากไข่ของแม่ไก่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณชายเล็กตระกูลแบล็กถึงได้ดูแข็งกร้าว เฉียบขาด และนิ่งแข็งตามแบบฉบับของอัลฟ่าถือตัวมากเสียจนใครหลาย ๆ คนในบริษัทต่างก็พากันลือว่าเขาใช้ชื่อเสียงความเป็นตระกูลแบล็กของตัวเองกดหัวผู้อื่น ทำตัวเย่อหยิ่งจองหอง ทั้งที่จริง ๆ แล้วตัวเองก็เป็นเพียงโอเมก้าที่ตระกูลไม่ต้องการ
แต่เซลีนรู้จักน้องดียิ่งกว่าใคร ลูก้าไม่ได้เย่อหยิ่งแต่แสดงความอ่อนแอออกมาไม่ได้ ความเป็นโอเมก้าของน้องชายเขาต้องแลกมาด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างที่แสนเจ็บปวดมากมายในวัยเด็ก
“เซลีน ?”
ดวงตากลมละออกจากเอกสารตรงหน้าเมื่อเห็นว่าพี่ชายของตนนิ่งเงียบไป แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับดวงตาสะท้อนสีเดียวกันที่กำลังมองเขาอยู่ด้วยสีหน้าลำบากใจ
“มีอะไรก็ว่ามา”
“แต่ว่ามัน…”
“ไม่เป็นไร...พี่พูดมาเถอะ”
เซลีนถอนหายใจให้กับคนน้องที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว
“รู้ใช่ไหมว่าตระกูลเราทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นอัลฟ่า”
ลูก้าพยักหน้า
“ดังนั้นแม่เลยอยากให้ลูกทุกคนออกมาเป็นอัลฟ่า หมายถึง ...อัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น”
ลูก้ายังคงพยักหน้ารับรู้ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
“เพราะเหตุนั้นแม่เลย-”
“แม่เลยอยากให้ผมแต่งงานกับอัลฟ่า”
“…”
“และคลอดลูกที่เป็นอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์ออกมา”
เซลีนกลืนก้อนสะอึกลงไปในลำคอเมื่อสิ่งที่น้องพูดออกมาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความจริงที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ลำบากใจที่จะต้องพูดมันออกมา
ลูก้าพอจะคาดเดาเรื่องราวได้ในคราแรกที่เซลีนเอ่ยเกริ่นถึงเรื่องของต้นตระกูล และมามั่นใจมากขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าลูกหลานของตระกูลนั้นเป็นอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์ เพราะโอเมก้าที่แต่งงานมีความสัมพันธ์กับอัลฟ่าจะมีโอกาสคลอดลูกออกมาเป็นอัลฟ่ามากกว่าชนชั้นอื่น ๆ และมากยิ่งขึ้นไปอีกหากตกอยู่ในช่วงฮีท
“แต่ถ้าเราไม่อยากทำ-”
“ผมเลือกได้ด้วยเหรอ”
“ลูก้า…”
“ผมมีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตของตัวเองจริง ๆ เหรอ”
“…”
แค่นยิ้มสมเพชตัวเองเมื่อผู้เป็นพี่ชายเลือกที่จะผลุบสายตาลงต่ำแทนการตอบคำถามที่ไม่สามารถเป็นไปได้จริงของเขา
“อัลฟ่าตระกูลไหนที่แม่อยากให้ผมแต่งงานด้วย”
“พี่เองก็ไม่รู้”
ลูก้าเลิกคิ้วอีกครั้งเมื่อเห็นพี่ชายเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถามด้วยสายตาล่อกแล่ก ก่อนจะขยับปากอึกอักเหมือนคนอยากจะพูดอะไรต่อแต่ก็เลือกที่จะเก็บไว้ ทว่าเมื่อโดนสายตาสงสัยไคร่รู้ในเชิงกดดันให้พูดออกมาของคนเป็นน้อง เซลีนก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมาอย่างอับจนหนทาง และความจริงออกไปตามที่ได้รับมา
“เหมือนแม่จะอยากให้แกไปดูตัวกับอัลฟ่าที่ท่านเลือกมา”
เป็นประโยคที่ทำให้คนฟังขมวดคิ้วฉับ ลูก้าวางปากกาลงบนโต๊ะแทบจะทันที นาทีนี้เขาไม่มีสมาธิมากพอที่จะอ่านเอกสารอะไรอีกต่อไปแล้ว เขายอมให้พวกผู้ใหญ่จัดการเรื่องความรักของตนได้ตามใจก็จริง แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมเทียวไปเทียวมา หาคนนั้นทีคนนี้ที หรือออกไปดูตัวกับอัลฟ่าที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อได้
“ใจเย็น ๆ”
เซลีนพูดปรามน้องชายที่เริ่มอารมณ์คุกรุ่น ดวงตาคมตวัดหันกลับไปมองเลขาสาวที่หันมาสบตาและพยักหน้ารับในคำสั่งทั้งที่ยังไม่ได้เอ่ยปาก แล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะกดล็อกประตูเอาไว้ให้เพื่อความเป็นส่วนตัว
“ถ้าแกไม่เต็มใจจริง ๆ พี่จะช่วยพูดกับแม่ให้”
“มีใครเต็มใจที่ได้แต่งงานกับคนแปลกหน้าบ้าง”
“พี่รู้-”
“พี่ไม่รู้”
เซลีนถอนหายใจพลางเอื้อมมือไปคว้ามือเล็กที่กำบีบกันแน่นเสียจนกลัวว่าปลายเล็บจะทำให้มือคู่นี้กลายเป็นแผลมากอบกุมเอาไว้ และบีบนวดให้เบา ๆ เพื่อหวังว่ามันจะช่วยคลายความหงุดหงิดในจิตใจของคนเป็นน้องออกไปได้บ้าง
“ผมยอมเขามามากพอแล้วพี่เซลีน”
ลูก้าเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายตัวเองด้วยดวงตาแดงก่ำ และวินาทีนั้นเซลีนถึงได้รู้ว่าความรู้สึกที่แท้จริงของน้องตัวเองนั้นไม่ใช่ความโกรธ แต่เป็นความเศร้า ความผิดหวัง และน้อยใจที่ตนเองถูกกระทำอย่างไร้ค่า
“ครั้งนี้ผมจะเลือกคู่ของผมเอง”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าเขาจะหาวิธีอะไรมาบังคับผม”
“ผมจะแต่งงานกับคนที่ผมรักเท่านั้น”
พวกเลือดบริสุทธิ์ย่อมต้องการให้ตระกูลของตนบริสุทธิ์ต่อไปเรื่อย ๆ หากลูกของเขาออกมาเป็นโอเมก้า คงไม่พ้นโดนย่ำยีเหยียดหยันเหมือนกับที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นขอแค่ใครสักคน ใครก็ได้ที่สามารถปกป้องดูแลเขากับลูก ใครก็ตามที่รักและเอ็นดูลูกของเขาไม่ว่าจะเกิดมาเป็นชนชั้นอะไรก็ตาม
เช้าวันนี้เองก็เป็นอีกเช้าที่แสนน่าเบื่อ
อันที่จริงวันทุกวันเป็นวันที่แสนน่าเบื่อ ทว่าวันนี้มันทั้งน่าเบื่อ น่าอึดอัด และน่ารำคาญใจมากที่สุดในชีวิตของลูก้าเลยก็ว่าได้ และต้นเหตุของความน่ารำคาญนั่นก็ไม่ใช่สิ่งอื่นไกล แต่เป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก มีส่วนสูงไล่เลี่ยกันกับเขา สวมใส่ชุดสูทที่ประดับด้วยตราสัญลักษณ์อันเป็นเครื่องหมายที่ใช้บ่งบอกว่าบุคคลนี้อยู่ในชนชั้นอัลฟ่าจากโรงเรียนหรูชื่อดังของเขตที่เขากำลังอาศัยอยู่
“โอเมก้า ?”
ลูก้าทำเพียงพยักหน้าตอบคำถามของเด็กที่นั่งอยู่ในฝั่งตรงข้ามกัน
“อวดดี”
ใบหน้าของคนเด็กกว่าเชิดขึ้นอย่างขัดใจเมื่อลูก้าไม่ได้ตอบอะไรกลับไป และไร้ซึ่งความเกรงกลัวต่อฟีโรโมนกดดันที่ตัวเองเป็นคนปล่อยออกมา ก่อนเปลี่ยนเป้าหมายเป็นไล่สายตาจ้องมองใบหน้า ไล่ระดับลงมาที่ลำคอ และแลบลิ้นเลียริมฝีปากเมื่อพบเห็นผิวขาววับ ๆ แวม ๆ ที่โผล่ออกมาจากเสื้อแหวกอกตัวบางที่ลูก้าจำต้องใส่มาตามคำสั่งที่ได้รับ
“ก็ไม่แย่ถ้าจะเอามาเป็นเมียอีกคน”
ลมหายใจร้อนสะดุดไปชั่วครู่ ลูก้ากำมือขาวแน่นเสียจนมันแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ ทว่ายังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉยออกมาทั้งที่ในใจคุกรุ่น ลูก้าพยายามห้ามตัวเองไม่ให้โต้ตอบอะไรใด ๆ กลับไป และเมินคำพูดพวกนั้นราวกับว่ามันเป็นเพียงเสียงนกเสียงกาที่ไม่น่าสนใจ
“ทำไมถึงไม่พูด !”
อัลฟ่าเด็กเริ่มตะโกนเสียงดังเมื่อโดนขัดใจ และยิ่งเห็นลูก้านิ่งเฉยไร้การโต้ตอบก็ยิ่งทำให้สติสัมปชัญญะของเด็กน้อยขาดผึง คว้าแก้วไวน์ที่ยังไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นจบเขวี้ยงมันลงไปกระทบกับพื้นจนเกิดเสียงดังมากพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายวิ่งเข้ามาดู
และก็เป็นไปตามคาด เด็กคนนั้นจะปฏิเสธที่จะแต่งงานกับเขา ไม่ว่าแม่ของเขาจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลองพูดคุยกันใหม่อีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เด็กคนนั้นก็ปฏิเสธเสียงแข็ง พร้อมพาครอบครัวของตัวเองกลับออกไปทันที เหลือทิ้งไว้ก็แต่ผู้เป็นแม่ของลูก้าที่เสียทั้งหน้า เสียทั้งอารมณ์
“ฉันขอเตือนว่าอย่าทำให้ฉันขายหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง ลูก้า”
เสียงถอนหายใจดังก้องในห้องน้ำที่มีตัวเขายืนอยู่เพียงคนเดียว ลูก้าจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองผ่านบานกระจกใส ใช้มือกวักน้ำที่เปิดทิ้งไว้ใส่หน้าเพื่อหวังว่ามันจะคลายความเหนื่อยล้า และช่วยเขาให้รอดพ้นจากอัลฟ่าคนสุดท้ายของวันนี้ไปได้
ดวงตากลมเหม่อลอยเมื่อคิดไปถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้งแล้วตัดสินใจลืมคำพูดแย่ ๆ ที่เหล่าอัลฟ่าสันดานเสียพูดออกมาได้อย่างหน้าไม่อาย เหลือบสายตาไปเห็นนาฬิกาที่จวนจะถึงเวลานัดหมายครั้งสุดท้ายแล้วก็รีบขยับหันไปหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้แห้งสนิท เตรียมตัวจะเดินออกจากห้องน้ำไป
ปึก !
“อ๊ะ ! / ขอโทษครับ”
ลูก้ารีบขยับก้าวถอยหลังออกจากอ้อมแขนของคนแปลกหน้า ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่าตนนั้นไม่ได้เป็นอะไรเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด แต่มันก็สายเกินไป เสียงแหลมบาดหูดังขึ้นจากหน้าห้องน้ำ และตรงดิ่งมากระชากแขนเขาให้ถอยออกมาให้ห่างจากชายผู้พึ่งเดินชนกันเมื่อครู่ทันที
“นี่มันอะไรลูก้า !”
“ผม-”
“ฉันคิดไว้แล้วว่ามันแปลกๆ ! ไอ้ผู้ชายคนนี้มันเป็นใคร มันดีกว่าคนที่ฉันคัดสรรมาให้แกตรงไหน !”
ลูก้าได้แต่ก้มหน้าน้อมรับคำพูดจากผู้เป็นแม่ที่หันไปไล่สายตามองชายหนุ่มที่ถูกกล่าวถึงคนนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเสียมารยาท ก่อนจะหันกลับมาผลักหัวของเขาเบา ๆ ราวกับจะให้คำพูดต่อไปนี้ฝังลึกเข้าไปในหัวสมอง
“ถ้าคิดจะเอาเบต้าชั้นต่ำนี่มาร่วมสกุลก็นึกถึงตอนที่คุณปู่ท่านรู้เรื่องด้วย ว่าจะโดนอะไร”
ลูก้าตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาพยายามระงับสติอารมณ์ทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ด้วยการขบกัดริมฝีปาก ทำใจให้เย็นแข่งกับไฟแห่งโทสะที่ลุกโชนขึ้นเรื่อย ๆ ตามความกดดันที่ได้รับ เขากำลังถูกต้อนให้เลือกอัลฟ่าคนสุดท้ายนี้เท่านั้น
“เมื่อครู่บอกว่าผมเป็นเบต้าชั้นต่ำ...? เหรอครับคุณนาย”
แต่ก่อนที่ลูก้าจะได้คิดโต้ตอบอะไรกลับไป ชายหนุ่มที่ยืนเงียบดูเหตุการณ์อยู่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ ดวงตาสีทองภายใต้แว่นกันแดดสีดำจ้องมองมาที่เขาราวกับกำลังพินิจพิเคราะห์อะไรบางสิ่ง
“หรือจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่ ? ฉันจะบอกอะไรให้นะ คนที่จะแต่งงานกับลูกหลานตระกูลแบล็กได้ต้องเป็นอัลฟ่าที่มีสายเลือดบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิดเท่านั้น”
ลูก้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ลูก้าสาบานได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เบต้า
“อ๋อ ครับ”
รอยยิ้มแกล้งทำที่แสร้งปั้นขึ้นมาพร้อมความกดดันแปลก ๆ ที่กระจายอยู่รอบตัวเขาสามารถกลืนกินความโกรธเกรี้ยวในจิตใจของลูก้าไปได้จนหมด และข่มสัญชาตญาณในตัวให้ลูก้าสามารถทำได้เพียงก้มหน้าลงไปจ้องมองปลายเท้าของตัวเองอยู่อย่างนั้น
ความน่าเกรงขามที่ทำให้ปลอดภัยและไว้ใจ
คงเป็นความรู้สึกของลูก้าที่สามารถรับรู้ได้ในตอนนี้
หลังจากผ่านเหตุการณ์ไม่คาดฝันบริเวณหน้าห้องน้ำมาได้ ลูก้าก็ถูกกักให้แยกตัวออกมายืนรออยู่ด้านนอกของห้องที่ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ลูก้ารับรู้ว่าอัลฟ่าคนสุดท้ายที่เขาจะได้พบในวันนี้เป็นคนสำคัญ จากการกระทำของพนักงานทุกคนที่ก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำงานในส่วนของตัวเองให้เสร็จแล้วเดินหายไป ไม่ได้มายืนรอคอยรับคำสั่งเหมือนดังเช่นอัลฟ่าคนก่อนหน้า
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลูก้าขอให้อีกฝ่ายปฏิเสธเขาเหมือนดังเช่นอัลฟ่าคนก่อน ๆ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร มียศใหญ่โตแค่ไหน ขึ้นชื่อว่าเป็นอัลฟ่าท้ายที่สุดแล้วก็ต้องเป็นอัลฟ่า และเขาไม่ไว้ใจอัลฟ่าหน้าไหนทั้งนั้น การยืนด้วยลำแข้งของตัวเองเป็นการยืนที่มั่นคงที่สุด นั่นคือสิ่งเดียวที่ลูก้าเชื่อและไว้ใจ
เมื่อได้รับสัญญาณอนุญาตให้เข้าไปในห้องได้ ลูก้าตัดสินใจรวบรวมความกล้าอยู่นาน ดวงตากลมหลับลงเพื่อเรียกสมาธิของตัวเองให้กลับมาอีกครั้ง พร่ำคิดว่าก็แค่ทำไปเหมือนคนก่อน ๆ นิ่งเงียบไม่โต้ตอบอะไรเขาคงจะเลิกสนใจเราไปเอง
!
ทว่าทันทีที่ผลักบานประตูเข้าไปสบตากับอัลฟ่าที่นั่งอยู่ด้านในก่อนแล้ว สมาธิที่เขาอุตส่าห์รวบรวมมาทั้งหมดก็แตกกระจาย กลายเป็นเสียงหวีดวิ้งที่ดังขึ้นจนแสบแก้วหู ลูก้าแทบจะทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ทว่าเขายังสามารถควบคุมร่างกายตัวเองเอาไว้ได้ พยายามลากขาสั่น ๆ ของตัวเองให้มานั่งลงในฝั่งตรงกันข้ามของชายคนนั้นตามมารยาท
แต่ยิ่งเขาเข้าไปใกล้ชายคนนั้นมากเท่าไหร่ เสียงแหลมที่ดังก้องกังวาลอยู่ในหูนั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และมากพอที่จะทำให้เขาไม่ได้ยินคำสั่งจากปากของคนเป็นแม่ที่กระซิบพูดอะไรบางอย่างก่อนเดินสวนเขาออกไป ดังมากพอที่จะทำให้เขาไม่ได้ยินคำเอ่ยทักทายของอัลฟ่าในฝั่งตรงข้าม และดังมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจถอดแว่นกัดแดดสีดำอันแสนคุ้นเคยออก เพื่อให้เราได้สบประสานตากันโดยตรง
เมื่อไร้เครื่องปิดบังใบหน้า ลูก้าก็ยิ่งปวดร้าวไปทั่วทั้งหัวใจ โอเมก้าตัวน้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายขยับย้ายร่างกายของตัวเองจากเก้าอี้ในฝั่งตรงกันข้าม เข้ามาพยุงกอดรัดตัวเขาเอาไว้ไม่ให้เอนหล่นร่วงลงไปกองกับพื้น
“พักเถอะลูก้า ผมจะดูแลคุณเอง”
เสียงสุดท้ายที่ดังเข้ามาในโสตประสาทคือเสียงอันอบอุ่นที่ทำให้ลูก้ายอมไว้ใจ ปล่อยให้อีกฝ่ายช้อนตัวเขาอุ้มขึ้นได้โดยไร้ซึ่งความตะขิดตะขวง และเป็นเสียงสุดท้ายที่ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างอันแสนหนักอึ้งนี้ยินดีที่จะปิดลงรับกับความมืดที่พรากเอาสติสัมปชัญญะของเขาไปได้อย่างไร้ซึ่งความกลัว
TO BE CONTINUED
Comments (0)