นาฬิการูปต้นไม้สไตล์โมเดิร์นบนผนังบอกเวลาบ่ายสองโมงตรง

เขาละสายตาจากหน้าปัดกลับไปง่วนกับเครื่องชงกาแฟอีกครั้ง ค่อยๆ ตวงเอสเปรสโซหนึ่งช็อตใส่แก้วมัคที่วอร์มด้วยน้ำร้อนมาก่อนหน้าอย่างระมัดระวัง

การเคลื่อนไหวเนิบช้า ท่วงท่าไม่ได้เร่งร้อนแต่ชำนิชำนาญ กระทั่งเตรียมฟองนมเสร็จแล้วเขาก็เงยหน้าอีกหน...บ่ายสองห้านาที

อดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองประตูกระจกของตัวร้าน ผืนฟ้าภายนอกเป็นสีเทาด้วยเมฆครึ้ม ทัศนวิสัยมืดมัว ฝนห่าใหญ่ยังเทลงมาต่อเนื่องตั้งแต่เช้า ยิ่งผสมกับการที่ร้านตั้งอยู่เกือบหัวมุมถนนตรงข้ามโรงพยาบาลก็ยิ่งเสริมให้บรรยากาศวังเวง ยังดีที่เสียงเพลงซึ่งเปิดไว้ช่วยให้อะไรๆ ไม่เงียบเหงามากเกินไปนัก

เขามองเม็ดฝน มองนาฬิกา เริ่มลังเลว่าควรชงกาแฟแก้วนี้ต่อไปหรือเปล่า

แต่หลังจากนั้นก็ถอนหายใจ จะหยุดมือตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วไหมไม่งั้นเสียของแย่ พอคิดได้แบบนั้นจึงกลับไปก้มหน้าก้มตารินนมสดร้อนใส่แก้วด้วยความปลงหน่อยๆ สายตาทอดมองกาแฟสีเข้มที่ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอ่อนจาง จากนั้นจึงตักฟองนมโปะด้านบนอย่างเบามือ

ทำเองดื่มเองก็ได้วะ ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย...

ตอนนั้นเอง เสียงกระดิ่งลมประตูหน้าร้านก็เรียกความสนใจของเขา

คนที่เปิดประตูเข้ามามีแจ็กเก็ตยีนส์เปียกหมาดคลุมหัว ก้มหน้าหอบหายใจน้อยๆ อย่างที่ไม่บอกก็รู้ว่าเพิ่งวิ่งฝ่าฝนเข้ามา

เห็นอีกฝ่ายแล้วเขาก็ขยับยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนฟ้าสีเทาข้างนอกนั่นจะสว่างขึ้นกว่าเดิมนิดๆ

“ทำไมไม่พกร่มล่ะครับ”

คนเป็นลูกค้าเงยหน้ากลับขึ้นมา หัวเราะ เอนตัวพิงเคาน์เตอร์ร้านที่สูงเลยเอวขึ้นมาเล็กน้อยแล้วไพล่พูดไปอีกเรื่อง

“ดุจริง อารมณ์เสียที่วันนี้ผมมาช้าเหรอไง”

“โหย ตลกละ”

“ผมก็อยากมาตอนบ่ายสองเป๊ะเหมือนทุกทีนะ แต่คุณก็เห็นใช่ไหมล่ะว่าวันนี้ฝนตก”

“ฮ่าๆ จะแก้ตัวทำไม ก็บอกแล้วว่าไม่ได้รอซะหน่อย”

อีกฝ่ายเลิกคิ้วแปลกใจส่งมาได้แบบ...จอมปลอมมาก สีหน้าติดจะเย้าแหย่บ่งชัดว่าไม่เชื่อ ทว่าก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำหรือแซวอะไรนอกสั่งกาแฟเมนูเดิมเมนูเดียวกับที่สั่งมาตลอด แล้วควักกระเป๋าสตางค์ยื่นแบงก์มาให้เป็นจำนวนพอดีแบบไม่ต้องเสียเวลาหาเงินทอน

“คาปูชิโนร้อนแก้วนึง”

“ครับ รอสักครู่ครับ”

หลังจากอีกฝ่ายเดินไปหาที่นั่ง เขาก็ก้มมองแก้วกาแฟที่ยังทำค้างไว้อีกครั้ง ตกแต่งฟองนมด้วยลายหัวใจ

และแย้มยิ้มบาง

เจ้าคาปูชิโนแก้วนี้ไม่ได้ทำขึ้นมาเสียเปล่าแล้วละนะ... 


 

 


 

“ว้าว มาเสิร์ฟเร็วจัง” คนเป็นลูกค้าเอ่ยทักขณะนั่งถูมืออยู่ตรงโต๊ะมุมในสุดของร้าน เป็นบริเวณที่ไม่โดนลมแอร์เป่า หนาวจนปากสั่นแต่ก็ยังปากแจ๋ว “สารภาพมาเถอะ รู้หรอกน่าว่าทำไว้รอผมมาตอนบ่ายสอง...อ้าวเฮ้ พูดแค่นี้ต้องเดินหนีเลยเหรอ?”

เขาไม่ได้เดินหนีอย่างที่ถูกกล่าวหาหรอก เพียงไปก้มๆ เงยๆ หาของที่ต้องการในห้องเก็บของขนาดย่อมตรงหลังร้าน ไม่นานก็กลับไปอีกครั้งพร้อมผ้าห่มผืนเล็กและกระเป๋าน้ำร้อนที่กำลังอุ่นๆ

“นี่คือ...?”

“เป็นภูมิแพ้อากาศไม่ใช่เหรอ ตัวเปียกแบบนี้มาเจออากาศเย็นจะไม่สบายเอาง่ายๆ นะครับ” เขาอธิบายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรับของในมือไปด้วยสีหน้างงๆ “แล้วแจ็กเก็ตนั่นน่ะถอดพาดพนักเก้าอี้ตัวโน้นก็ได้ ผมไม่ถือสาหรอก คุณอย่าหาเรื่องทำให้ตัวเองเป็นปอดบวมจะได้ไหม”

คู่สนทนาเงียบไปครู่หนึ่ง “...ขอบคุณ”

จากนั้นก็หลุบตา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

ทว่า...นั่นไม่ใช่รอยยิ้มแบบที่เขาจะทนมองอย่างเต็มตาได้

“ขอบคุณนะที่ใจดีด้วยมาตลอดเลย”

เขาไม่เอ่ยปากตอบรับใดๆ ทั้งหมดที่ทำคือหันกลับไปยืนประจำหลังเคาน์เตอร์อีกครั้ง

หลังจากนั้นก็มีลูกค้าเข้าร้านมาบ้างเรื่อยๆ แม้จะไม่มากเท่าในวันที่สภาพอากาศแจ่มใสก็ตาม เขาตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ชงและเสิร์ฟเครื่องดื่ม แต่ก็ไม่วายแอบมองคนที่นั่งอยู่มุมในสุดของร้านเป็นระยะๆ

อีกฝ่ายห่อตัวในผ้าห่มสีฟ้าอ่อนลายก้อนเมฆขาว มีกระเป๋าน้ำร้อนวางบนตัก มือยกถ้วยคาปูชิโนขึ้นจิบ สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง...มองไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ คนคนนี้เป็นแบบนี้เสมอ

ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์จะมาปรากฏตัวที่ร้านตอนบ่ายสองโมงตรง สั่งคาปูชิโนร้อนหนึ่งแก้ว และมักจะใช้เวลาหมดไปกับการนั่งเหม่อมองกลุ่มอาคารสูงอีกฟากถนน

เขารู้ว่าทำไม

เขารู้...

“นี่คุณ”

“ครับ?”

“ผมขอเลมอนเค้กชิ้นนึงสิ ที่มีอยู่ชิ้นเดียวในตู้น่ะ”

เขานิ่งไป

หนึ่งเดือนที่ผ่านมาคนคนนี้ไม่เคยสั่งของหวานหรือขนมเลยสักชิ้น แต่วันนี้…

แถมยังเป็นเมนูนี้…

เขาขานรับอย่างพยายามไม่ให้เสียงตัวเองสั่น “ครับ รอสักครู่” ก่อนจะตักชิ้นเค้กในตู้กระจกใสข้างเคาน์เตอร์ บรรจงวางใส่จานเซรามิกซึ่งวาดลายดอกคาร์เนชันสีชมพู

และในจังหวะที่นำเค้กไปเสิร์ฟนั่นเอง...ลูกค้าประจำโต๊ะก็เอ่ยขึ้นว่า

“พรุ่งนี้ผมไม่มาแล้วนะ”

เขาชะงัก เผลอปล่อยมือก่อนจังหวะที่ควรจะเป็นจนจานเค้กกระทบโต๊ะเสียงดังเคร้ง เสียงสะท้องทำให้มันฟังดูก้องกังวานเป็นพิเศษภายในตัวร้านขนาดย่อม

“มะรืนนี้ก็ด้วย วันต่อๆ ไปก็ด้วย”

เราสบตากัน

“...ผมคงไม่ได้มาอีกแล้ว”

เป็นคำบอกลาเรียบๆ กล่าวออกมาง่ายๆ อย่างไม่เปิดโอกาสให้เขาทันได้ตั้งตัว เหมือนชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ เหมือนกำลังเปรยกับเขาว่าวันนี้ฝนตกหนักจังเลยนะอะไรทำนองนั้น

แต่อีกฝ่ายก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร...เขาควรจะรู้ความจริงข้อนี้ดีที่สุดแท้ๆ

“เธอ...” เขาพยายามเค้นคำพูดจากลำคอที่เหมือนจะตีบไปกะทันหัน นึกสงสัยว่าทำไมเสียงของตัวเองถึงได้แหบแห้งจนน่าเกลียดขนาดนี้ “เธอคงหายดีแล้วสินะ ดีใจด้วย”

คู่สนทนาพยักหน้าช้าๆ ประสานสายตาตอบอย่างตรงไปตรงมา “วันนี้กายภาพบำบัดวันสุดท้าย จากนี้ผมไม่ต้องมารับส่งเธอที่โรงพยาบาลแล้ว เพราะงั้นก็คง...ไม่ได้แวะมาแถวนี้อีก”

เขาเงียบไปนานกว่าจะรู้ตัวว่าควรพูดอะไรกลับไปเสียหน่อย และทั้งหมดที่ตอบไปก็คือ “อ้อ...”

คำอุทานโง่ๆ พยางค์เดียวนั้นนั่นแหละ

เสียงกระดิ่งลมหน้าประตูร้านดังขึ้นอีกครั้ง เปิดโอกาสให้เขามีข้ออ้างในการปลีกตัวหนี

“ผม...ผมขอตัวไปดูลูกค้าใหม่ก่อน”

“เดี๋ยว”

“...”

“ก่อนคุณจะไปน่ะ” อีกฝ่ายถอนหายใจ ก้มกลับไปให้ความสนใจกับเลมอนเค้กบนโต๊ะ คราวนี้ไม่ยอมมองหน้าเขาแล้ว “...เช็ดน้ำตาก่อนเถอะ เดี๋ยวลูกค้าคนอื่นเขาจะตกใจ”



 

 

หลังจากนั้นประมาณยี่สิบนาที ขณะที่ฝนหยุดตกแล้วและเขากำลังทำสตรอว์เบอร์รีโยเกิร์ตสมูทตี้...ลูกค้าขาประจำตลอดหนึ่งเดือนคนนั้นก็ลุกจากที่นั่ง เดินตรงมายังเคาน์เตอร์

“คิดเงินด้วยครับ ผมยังไม่ได้จ่ายค่าเค้ก”

เขาเขย่าโถปั่นในมือ ลังเลว่าควรหันไปสบตาด้วยไหม แต่แล้วก็เลือกที่จะไม่ทำ

“ไม่เป็นไร อันนั้นผมไม่คิด”

“บ้าหรือไง ไม่เอาหรอก”

“ก็บอกว่าไม่เป็นไร ผมเลี้ยง”

“ไม่เอา” อีกฝ่ายยังยืนกรานปฏิเสธ “ไม่อยากรู้สึกติดค้าง”

ช่างเป็นเหตุผลที่โหดร้ายกับความรู้สึกคนฟังเสียจริง เขานึกสงสัยว่าคนคนนี้เคยกรองคำพูดตัวเองก่อนเอ่ยออกมาบ้างหรือเปล่า แต่ก็นั่นแหละ...เขาควรจะรู้อยู่เต็มอกว่านี่ล่ะนิสัยของเจ้าตัว ชอบพูดจาขวานผ่าซากประจำ

เขากดปิดสวิตช์เครื่องปั่น ยอมสบตาคุณลูกค้าผู้กำลังใช้แขนสองข้างเท้าเคาน์เตอร์ สีหน้าแววตาซึ่งจริงจังกับคำที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้คนมองอย่างเขาใจปวดหนึบน้อยลงเลย

“ตามใจ” สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ เคยไม่ยอมด้วยหรือไง และก็แพ้มาเสมออยู่แล้ว “สี่สิบบาทครับ”

“บนป้ายบอกว่าหนึ่งร้อย” อีกฝ่ายท้วง

“ตั้งราคาสูงเว่อร์ไว้เฉยๆ คนจะได้ไม่อยากซื้อ อยากวางโชว์ไว้ในตู้กระจกนานๆ” เขาตอบปัดๆ ด้วยเหตุผลที่รู้ดีว่าบ้าบอขนาดไหน “อีกอย่างวันนี้อารมณ์ดี เค้กทุกชิ้นลดหกสิบเปอร์เซ็นต์ มีปัญหาเหรอไง?”

คู่สนทนาอึ้งไปนิด ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “นี่มันหน้าตาของคนอารมณ์ดีตรงไหน เอ้า ก็ได้ สี่สิบก็สี่สิบ”

ก็แล้วใครกันทำให้เขาต้องทำหน้าแบบนี้

แม่งเหอะ...ไร้ความละเอียดอ่อนสิ้นดี

เขารับเงินมา เคาะก๊อกแก๊กบนเครื่องเก็บเงินอย่างเงียบๆ ดีนะไม่จ่ายด้วยคิวอาร์โค้ด ไม่อย่างนั้นเจ้าหมอนี่ต้องดื้อจ่ายราคาเต็มจนได้แน่ๆ

หัวสมองมีเรื่องราวมากมายแล่นผ่าน มันฉายย้อนอย่างที่เขาไม่ได้ขอ ไม่เคยขอ

และทำเอาภาพตรงหน้าพร่าเบลอจนเขาอ่านตัวเลขบนเครื่องคิดเงินไม่ออกแล้ว

เป็นตอนนั้นเองที่มือข้างหนึ่งของเจ้าคนใจร้ายในห้วงคิดเอื้อมมาแตะแก้มอย่างแผ่วเบา ไล้ปลายนิ้วโป้งช่วยปาดเศษซากความน่าสมเพชที่เอ่อจนไหลล้นออกจากดวงตาของเขา

“...”

“...”

สัมผัสจากมือที่คุ้นเคยไม่อาจทำให้น้ำตาหยุดไหล ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ

“รู้อะไรไหม...ผมเกลียดเลมอนเค้กมาเป็นปีแล้ว” เขาปิดเปลือกตาลง รู้ขีดจำกัดของตัวเองดี บัดนี้ห้ามอารมณ์ความรู้สึกนามธรรมที่กลั่นเป็นรูปธรรมผ่านดวงตาของตัวเองไม่ไหวแล้ว “แต่จำได้ดีเลยแหละว่าคุณชอบแค่ไหน ก็เมื่อก่อนน่ะนะ ฮะๆ…คุณสั่งเลมอนเค้กประจำเลย”

คำว่า ‘เมื่อก่อน’ ในที่นี้ ต้องย้อนไปไกลกว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

ย้อนกลับไปไกลกว่านั้นมากๆ

ย้อนไป...ถึงสมัยที่เรายังไม่กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน

ย้อนไป...ถึงตอนที่สถานะระหว่างเรายังไม่ใช่คนสองคนที่ต้องเลิกรา

“เชื่อเถอะ” แว่วเสียงตอบกลับแผ่วเบาราวกระซิบ แต่เขาเองก็บอกได้ว่ามีความสั่นเครืออันบางเบาซ่อนอยู่ในนั้นเช่นกัน “หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ชอบอีกแล้ว ไม่อีกเลย ไม่...หลังจากไม่มีคุณ”

เขาหัวเราะทั้งน้ำตา ทั้งที่ไม่มีอะไรให้ขำสักนิด

“แล้ววันนี้มาทะลึ่งสั่งทำไมไม่ทราบ”

“ก็อุตส่าห์ทำมาเพื่อผมไม่ใช่เหรอ”

คำกล่าวนั้นทำให้เขาสะอึก

“ผมสังเกตอยู่นะ...ครั้งแรกที่ผมมาที่นี่หลังจากไม่ได้มาตั้งนาน ตอนนั้นยังไม่มีเลมอนเค้ก”

“...”

“แต่หลังจากหนึ่งสัปดาห์ที่ผมเริ่มมาสม่ำเสมอ คุณก็ทำเลมอนเค้กชิ้นเดียวโดดๆ มาวางไว้ในตู้กระจก”

“...”

“ใครขอซื้อคุณก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ขาย บอกว่ามีคนจองไว้แล้ว คิดว่าผมนั่งอยู่มุมร้านแล้วจะไม่รู้จริงๆ น่ะเหรอ ผมฟังอยู่ตลอดนั่นแหละเวลาคุณคุยกับลูกค้า”

“...”

“พอคิดๆ ว่านี่เป็นวันสุดท้าย ผมก็รู้ดีว่าถ้าไม่ใช่วันนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว”

“...”

“อร่อยนะ ฝีมือดีเหมือนเดิม รสชาติเจ็บปวดที่สุดในโลกเลย”

คำพูดทิ้งช่วง ก่อนที่มือข้างนั้นจะลูบตามใบหน้าด้านข้างของเขา แผ่วเบา อ่อนโยน

อ่อนโยนที่สุดเท่าที่คนแข็งทื่อคนนี้จะทำให้เขาได้นั่นแหละ

“ขอโทษทีที่กลับเข้ามาในชีวิตคุณอีกครั้ง”

เขาฟังแล้วแค่นยิ้ม

“ไม่ได้เสียใจที่คุณกลับมาหรอก เสียใจที่คุณกำลังจะจากไปอีกครั้งมากกว่า” เขาวางฝ่ามือแนบบนหลังมืออีกฝ่าย บีบกระชับเบาๆ “แต่ไม่เป็นไรหรอก...ผมยอมแลกนะ ช่วงเวลาที่ได้มีคุณอีกครั้งมันเป็นอะไรที่คุ้มค่าแล้ว ไม่เสียใจภายหลังหรอก ต่อให้รู้ดีตั้งแต่แรกว่าช่วงเวลาสั้นๆ นี้จะไม่ใช่ตลอดไปก็ตาม”

เขารู้จักคนคนนี้ดีเกินไป

“และอย่าขอโทษอีก ถ้าผมรู้สึกไม่ดีจริงๆ คงไม่ยิ้มคุยกับคุณมาตลอดหนึ่งเดือน”

แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานนับตั้งแต่วันสุดท้ายที่คำว่าเรายังคงเป็นเรา

“ไปซะตั้งแต่ตอนที่ผมยังหลับตาอยู่เถอะ...ให้มองภาพคุณหันหลังเดินจากไปอีกครั้ง มันมากเกินไปหน่อยจริงๆ สำหรับผม”

แม้ตอนนี้จะมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แม้จะไม่มีคำพูดตอบรับใดๆ

สัมผัสจากมือที่ผละออกก็ยังชวนให้ใจหาย

“ลาก่อน แฟนเก่า”

แต่เขารู้

อย่างน้อยที่สุดมันก็แฟร์ดี...ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่กำลังเจ็บปวด

“ก่อนออกจากร้านผม คุณเองก็อย่าลืมเช็ดน้ำตาซะด้วยล่ะ”


 

 

 

 

 

-THE END-

 

==============================================

 

ลองเอางานเก่ามาปัดฝุ่นลงเว็บใหม่ค่ะ

แต่เหมือนมันจะไม่มีให้ลงเรื่องสั้นตอนเดียวจบอะ มีแต่ต้องสร้างเป็นเรื่องยาวซะงั้น (…)

เอาเป็นว่าขอบคุณที่หลงเข้ามานะคะ 5555