1 ตอน Ex
โดย นิดช์
นาฬิการูปต้นไม้สไตล์โมเดิร์นบนผนังบอกเวลาบ่ายสองโมงตรง
เขาละสายตาจากหน้าปัดกลับไปง่วนกับเครื่องชงกาแฟอีกครั้ง ค่อยๆ ตวงเอสเปรสโซหนึ่งช็อตใส่แก้วมัคที่วอร์มด้วยน้ำร้อนมาก่อนหน้าอย่างระมัดระวัง
การเคลื่อนไหวเนิบช้า ท่วงท่าไม่ได้เร่งร้อนแต่ชำนิชำนาญ กระทั่งเตรียมฟองนมเสร็จแล้วเขาก็เงยหน้าอีกหน...บ่ายสองห้านาที
อดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองประตูกระจกของตัวร้าน ผืนฟ้าภายนอกเป็นสีเทาด้วยเมฆครึ้ม ทัศนวิสัยมืดมัว ฝนห่าใหญ่ยังเทลงมาต่อเนื่องตั้งแต่เช้า ยิ่งผสมกับการที่ร้านตั้งอยู่เกือบหัวมุมถนนตรงข้ามโรงพยาบาลก็ยิ่งเสริมให้บรรยากาศวังเวง ยังดีที่เสียงเพลงซึ่งเปิดไว้ช่วยให้อะไรๆ ไม่เงียบเหงามากเกินไปนัก
เขามองเม็ดฝน มองนาฬิกา เริ่มลังเลว่าควรชงกาแฟแก้วนี้ต่อไปหรือเปล่า
แต่หลังจากนั้นก็ถอนหายใจ จะหยุดมือตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วไหมไม่งั้นเสียของแย่ พอคิดได้แบบนั้นจึงกลับไปก้มหน้าก้มตารินนมสดร้อนใส่แก้วด้วยความปลงหน่อยๆ สายตาทอดมองกาแฟสีเข้มที่ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอ่อนจาง จากนั้นจึงตักฟองนมโปะด้านบนอย่างเบามือ
ทำเองดื่มเองก็ได้วะ ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย...
ตอนนั้นเอง เสียงกระดิ่งลมประตูหน้าร้านก็เรียกความสนใจของเขา
คนที่เปิดประตูเข้ามามีแจ็กเก็ตยีนส์เปียกหมาดคลุมหัว ก้มหน้าหอบหายใจน้อยๆ อย่างที่ไม่บอกก็รู้ว่าเพิ่งวิ่งฝ่าฝนเข้ามา
เห็นอีกฝ่ายแล้วเขาก็ขยับยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนฟ้าสีเทาข้างนอกนั่นจะสว่างขึ้นกว่าเดิมนิดๆ
“ทำไมไม่พกร่มล่ะครับ”
คนเป็นลูกค้าเงยหน้ากลับขึ้นมา หัวเราะ เอนตัวพิงเคาน์เตอร์ร้านที่สูงเลยเอวขึ้นมาเล็กน้อยแล้วไพล่พูดไปอีกเรื่อง
“ดุจริง อารมณ์เสียที่วันนี้ผมมาช้าเหรอไง”
“โหย ตลกละ”
“ผมก็อยากมาตอนบ่ายสองเป๊ะเหมือนทุกทีนะ แต่คุณก็เห็นใช่ไหมล่ะว่าวันนี้ฝนตก”
“ฮ่าๆ จะแก้ตัวทำไม ก็บอกแล้วว่าไม่ได้รอซะหน่อย”
อีกฝ่ายเลิกคิ้วแปลกใจส่งมาได้แบบ...จอมปลอมมาก สีหน้าติดจะเย้าแหย่บ่งชัดว่าไม่เชื่อ ทว่าก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำหรือแซวอะไรนอกสั่งกาแฟเมนูเดิมเมนูเดียวกับที่สั่งมาตลอด แล้วควักกระเป๋าสตางค์ยื่นแบงก์มาให้เป็นจำนวนพอดีแบบไม่ต้องเสียเวลาหาเงินทอน
“คาปูชิโนร้อนแก้วนึง”
“ครับ รอสักครู่ครับ”
หลังจากอีกฝ่ายเดินไปหาที่นั่ง เขาก็ก้มมองแก้วกาแฟที่ยังทำค้างไว้อีกครั้ง ตกแต่งฟองนมด้วยลายหัวใจ
และแย้มยิ้มบาง
เจ้าคาปูชิโนแก้วนี้ไม่ได้ทำขึ้นมาเสียเปล่าแล้วละนะ...
“ว้าว มาเสิร์ฟเร็วจัง” คนเป็นลูกค้าเอ่ยทักขณะนั่งถูมืออยู่ตรงโต๊ะมุมในสุดของร้าน เป็นบริเวณที่ไม่โดนลมแอร์เป่า หนาวจนปากสั่นแต่ก็ยังปากแจ๋ว “สารภาพมาเถอะ รู้หรอกน่าว่าทำไว้รอผมมาตอนบ่ายสอง...อ้าวเฮ้ พูดแค่นี้ต้องเดินหนีเลยเหรอ?”
เขาไม่ได้เดินหนีอย่างที่ถูกกล่าวหาหรอก เพียงไปก้มๆ เงยๆ หาของที่ต้องการในห้องเก็บของขนาดย่อมตรงหลังร้าน ไม่นานก็กลับไปอีกครั้งพร้อมผ้าห่มผืนเล็กและกระเป๋าน้ำร้อนที่กำลังอุ่นๆ
“นี่คือ...?”
“เป็นภูมิแพ้อากาศไม่ใช่เหรอ ตัวเปียกแบบนี้มาเจออากาศเย็นจะไม่สบายเอาง่ายๆ นะครับ” เขาอธิบายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรับของในมือไปด้วยสีหน้างงๆ “แล้วแจ็กเก็ตนั่นน่ะถอดพาดพนักเก้าอี้ตัวโน้นก็ได้ ผมไม่ถือสาหรอก คุณอย่าหาเรื่องทำให้ตัวเองเป็นปอดบวมจะได้ไหม”
คู่สนทนาเงียบไปครู่หนึ่ง “...ขอบคุณ”
จากนั้นก็หลุบตา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
ทว่า...นั่นไม่ใช่รอยยิ้มแบบที่เขาจะทนมองอย่างเต็มตาได้
“ขอบคุณนะที่ใจดีด้วยมาตลอดเลย”
เขาไม่เอ่ยปากตอบรับใดๆ ทั้งหมดที่ทำคือหันกลับไปยืนประจำหลังเคาน์เตอร์อีกครั้ง
หลังจากนั้นก็มีลูกค้าเข้าร้านมาบ้างเรื่อยๆ แม้จะไม่มากเท่าในวันที่สภาพอากาศแจ่มใสก็ตาม เขาตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ชงและเสิร์ฟเครื่องดื่ม แต่ก็ไม่วายแอบมองคนที่นั่งอยู่มุมในสุดของร้านเป็นระยะๆ
อีกฝ่ายห่อตัวในผ้าห่มสีฟ้าอ่อนลายก้อนเมฆขาว มีกระเป๋าน้ำร้อนวางบนตัก มือยกถ้วยคาปูชิโนขึ้นจิบ สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง...มองไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ คนคนนี้เป็นแบบนี้เสมอ
ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์จะมาปรากฏตัวที่ร้านตอนบ่ายสองโมงตรง สั่งคาปูชิโนร้อนหนึ่งแก้ว และมักจะใช้เวลาหมดไปกับการนั่งเหม่อมองกลุ่มอาคารสูงอีกฟากถนน
เขารู้ว่าทำไม
เขารู้...
“นี่คุณ”
“ครับ?”
“ผมขอเลมอนเค้กชิ้นนึงสิ ที่มีอยู่ชิ้นเดียวในตู้น่ะ”
เขานิ่งไป
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาคนคนนี้ไม่เคยสั่งของหวานหรือขนมเลยสักชิ้น แต่วันนี้…
แถมยังเป็นเมนูนี้…
เขาขานรับอย่างพยายามไม่ให้เสียงตัวเองสั่น “ครับ รอสักครู่” ก่อนจะตักชิ้นเค้กในตู้กระจกใสข้างเคาน์เตอร์ บรรจงวางใส่จานเซรามิกซึ่งวาดลายดอกคาร์เนชันสีชมพู
และในจังหวะที่นำเค้กไปเสิร์ฟนั่นเอง...ลูกค้าประจำโต๊ะก็เอ่ยขึ้นว่า
“พรุ่งนี้ผมไม่มาแล้วนะ”
เขาชะงัก เผลอปล่อยมือก่อนจังหวะที่ควรจะเป็นจนจานเค้กกระทบโต๊ะเสียงดังเคร้ง เสียงสะท้องทำให้มันฟังดูก้องกังวานเป็นพิเศษภายในตัวร้านขนาดย่อม
“มะรืนนี้ก็ด้วย วันต่อๆ ไปก็ด้วย”
เราสบตากัน
“...ผมคงไม่ได้มาอีกแล้ว”
เป็นคำบอกลาเรียบๆ กล่าวออกมาง่ายๆ อย่างไม่เปิดโอกาสให้เขาทันได้ตั้งตัว เหมือนชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ เหมือนกำลังเปรยกับเขาว่าวันนี้ฝนตกหนักจังเลยนะอะไรทำนองนั้น
แต่อีกฝ่ายก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร...เขาควรจะรู้ความจริงข้อนี้ดีที่สุดแท้ๆ
“เธอ...” เขาพยายามเค้นคำพูดจากลำคอที่เหมือนจะตีบไปกะทันหัน นึกสงสัยว่าทำไมเสียงของตัวเองถึงได้แหบแห้งจนน่าเกลียดขนาดนี้ “เธอคงหายดีแล้วสินะ ดีใจด้วย”
คู่สนทนาพยักหน้าช้าๆ ประสานสายตาตอบอย่างตรงไปตรงมา “วันนี้กายภาพบำบัดวันสุดท้าย จากนี้ผมไม่ต้องมารับส่งเธอที่โรงพยาบาลแล้ว เพราะงั้นก็คง...ไม่ได้แวะมาแถวนี้อีก”
เขาเงียบไปนานกว่าจะรู้ตัวว่าควรพูดอะไรกลับไปเสียหน่อย และทั้งหมดที่ตอบไปก็คือ “อ้อ...”
คำอุทานโง่ๆ พยางค์เดียวนั้นนั่นแหละ
เสียงกระดิ่งลมหน้าประตูร้านดังขึ้นอีกครั้ง เปิดโอกาสให้เขามีข้ออ้างในการปลีกตัวหนี
“ผม...ผมขอตัวไปดูลูกค้าใหม่ก่อน”
“เดี๋ยว”
“...”
“ก่อนคุณจะไปน่ะ” อีกฝ่ายถอนหายใจ ก้มกลับไปให้ความสนใจกับเลมอนเค้กบนโต๊ะ คราวนี้ไม่ยอมมองหน้าเขาแล้ว “...เช็ดน้ำตาก่อนเถอะ เดี๋ยวลูกค้าคนอื่นเขาจะตกใจ”
หลังจากนั้นประมาณยี่สิบนาที ขณะที่ฝนหยุดตกแล้วและเขากำลังทำสตรอว์เบอร์รีโยเกิร์ตสมูทตี้...ลูกค้าขาประจำตลอดหนึ่งเดือนคนนั้นก็ลุกจากที่นั่ง เดินตรงมายังเคาน์เตอร์
“คิดเงินด้วยครับ ผมยังไม่ได้จ่ายค่าเค้ก”
เขาเขย่าโถปั่นในมือ ลังเลว่าควรหันไปสบตาด้วยไหม แต่แล้วก็เลือกที่จะไม่ทำ
“ไม่เป็นไร อันนั้นผมไม่คิด”
“บ้าหรือไง ไม่เอาหรอก”
“ก็บอกว่าไม่เป็นไร ผมเลี้ยง”
“ไม่เอา” อีกฝ่ายยังยืนกรานปฏิเสธ “ไม่อยากรู้สึกติดค้าง”
ช่างเป็นเหตุผลที่โหดร้ายกับความรู้สึกคนฟังเสียจริง เขานึกสงสัยว่าคนคนนี้เคยกรองคำพูดตัวเองก่อนเอ่ยออกมาบ้างหรือเปล่า แต่ก็นั่นแหละ...เขาควรจะรู้อยู่เต็มอกว่านี่ล่ะนิสัยของเจ้าตัว ชอบพูดจาขวานผ่าซากประจำ
เขากดปิดสวิตช์เครื่องปั่น ยอมสบตาคุณลูกค้าผู้กำลังใช้แขนสองข้างเท้าเคาน์เตอร์ สีหน้าแววตาซึ่งจริงจังกับคำที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้คนมองอย่างเขาใจปวดหนึบน้อยลงเลย
“ตามใจ” สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ เคยไม่ยอมด้วยหรือไง และก็แพ้มาเสมออยู่แล้ว “สี่สิบบาทครับ”
“บนป้ายบอกว่าหนึ่งร้อย” อีกฝ่ายท้วง
“ตั้งราคาสูงเว่อร์ไว้เฉยๆ คนจะได้ไม่อยากซื้อ อยากวางโชว์ไว้ในตู้กระจกนานๆ” เขาตอบปัดๆ ด้วยเหตุผลที่รู้ดีว่าบ้าบอขนาดไหน “อีกอย่างวันนี้อารมณ์ดี เค้กทุกชิ้นลดหกสิบเปอร์เซ็นต์ มีปัญหาเหรอไง?”
คู่สนทนาอึ้งไปนิด ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “นี่มันหน้าตาของคนอารมณ์ดีตรงไหน เอ้า ก็ได้ สี่สิบก็สี่สิบ”
ก็แล้วใครกันทำให้เขาต้องทำหน้าแบบนี้
แม่งเหอะ...ไร้ความละเอียดอ่อนสิ้นดี
เขารับเงินมา เคาะก๊อกแก๊กบนเครื่องเก็บเงินอย่างเงียบๆ ดีนะไม่จ่ายด้วยคิวอาร์โค้ด ไม่อย่างนั้นเจ้าหมอนี่ต้องดื้อจ่ายราคาเต็มจนได้แน่ๆ
หัวสมองมีเรื่องราวมากมายแล่นผ่าน มันฉายย้อนอย่างที่เขาไม่ได้ขอ ไม่เคยขอ
และทำเอาภาพตรงหน้าพร่าเบลอจนเขาอ่านตัวเลขบนเครื่องคิดเงินไม่ออกแล้ว
เป็นตอนนั้นเองที่มือข้างหนึ่งของเจ้าคนใจร้ายในห้วงคิดเอื้อมมาแตะแก้มอย่างแผ่วเบา ไล้ปลายนิ้วโป้งช่วยปาดเศษซากความน่าสมเพชที่เอ่อจนไหลล้นออกจากดวงตาของเขา
“...”
“...”
สัมผัสจากมือที่คุ้นเคยไม่อาจทำให้น้ำตาหยุดไหล ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ
“รู้อะไรไหม...ผมเกลียดเลมอนเค้กมาเป็นปีแล้ว” เขาปิดเปลือกตาลง รู้ขีดจำกัดของตัวเองดี บัดนี้ห้ามอารมณ์ความรู้สึกนามธรรมที่กลั่นเป็นรูปธรรมผ่านดวงตาของตัวเองไม่ไหวแล้ว “แต่จำได้ดีเลยแหละว่าคุณชอบแค่ไหน ก็เมื่อก่อนน่ะนะ ฮะๆ…คุณสั่งเลมอนเค้กประจำเลย”
คำว่า ‘เมื่อก่อน’ ในที่นี้ ต้องย้อนไปไกลกว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปไกลกว่านั้นมากๆ
ย้อนไป...ถึงสมัยที่เรายังไม่กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
ย้อนไป...ถึงตอนที่สถานะระหว่างเรายังไม่ใช่คนสองคนที่ต้องเลิกรา
“เชื่อเถอะ” แว่วเสียงตอบกลับแผ่วเบาราวกระซิบ แต่เขาเองก็บอกได้ว่ามีความสั่นเครืออันบางเบาซ่อนอยู่ในนั้นเช่นกัน “หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ชอบอีกแล้ว ไม่อีกเลย ไม่...หลังจากไม่มีคุณ”
เขาหัวเราะทั้งน้ำตา ทั้งที่ไม่มีอะไรให้ขำสักนิด
“แล้ววันนี้มาทะลึ่งสั่งทำไมไม่ทราบ”
“ก็อุตส่าห์ทำมาเพื่อผมไม่ใช่เหรอ”
คำกล่าวนั้นทำให้เขาสะอึก
“ผมสังเกตอยู่นะ...ครั้งแรกที่ผมมาที่นี่หลังจากไม่ได้มาตั้งนาน ตอนนั้นยังไม่มีเลมอนเค้ก”
“...”
“แต่หลังจากหนึ่งสัปดาห์ที่ผมเริ่มมาสม่ำเสมอ คุณก็ทำเลมอนเค้กชิ้นเดียวโดดๆ มาวางไว้ในตู้กระจก”
“...”
“ใครขอซื้อคุณก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ขาย บอกว่ามีคนจองไว้แล้ว คิดว่าผมนั่งอยู่มุมร้านแล้วจะไม่รู้จริงๆ น่ะเหรอ ผมฟังอยู่ตลอดนั่นแหละเวลาคุณคุยกับลูกค้า”
“...”
“พอคิดๆ ว่านี่เป็นวันสุดท้าย ผมก็รู้ดีว่าถ้าไม่ใช่วันนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
“...”
“อร่อยนะ ฝีมือดีเหมือนเดิม รสชาติเจ็บปวดที่สุดในโลกเลย”
คำพูดทิ้งช่วง ก่อนที่มือข้างนั้นจะลูบตามใบหน้าด้านข้างของเขา แผ่วเบา อ่อนโยน
อ่อนโยนที่สุดเท่าที่คนแข็งทื่อคนนี้จะทำให้เขาได้นั่นแหละ
“ขอโทษทีที่กลับเข้ามาในชีวิตคุณอีกครั้ง”
เขาฟังแล้วแค่นยิ้ม
“ไม่ได้เสียใจที่คุณกลับมาหรอก เสียใจที่คุณกำลังจะจากไปอีกครั้งมากกว่า” เขาวางฝ่ามือแนบบนหลังมืออีกฝ่าย บีบกระชับเบาๆ “แต่ไม่เป็นไรหรอก...ผมยอมแลกนะ ช่วงเวลาที่ได้มีคุณอีกครั้งมันเป็นอะไรที่คุ้มค่าแล้ว ไม่เสียใจภายหลังหรอก ต่อให้รู้ดีตั้งแต่แรกว่าช่วงเวลาสั้นๆ นี้จะไม่ใช่ตลอดไปก็ตาม”
เขารู้จักคนคนนี้ดีเกินไป
“และอย่าขอโทษอีก ถ้าผมรู้สึกไม่ดีจริงๆ คงไม่ยิ้มคุยกับคุณมาตลอดหนึ่งเดือน”
แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานนับตั้งแต่วันสุดท้ายที่คำว่าเรายังคงเป็นเรา
“ไปซะตั้งแต่ตอนที่ผมยังหลับตาอยู่เถอะ...ให้มองภาพคุณหันหลังเดินจากไปอีกครั้ง มันมากเกินไปหน่อยจริงๆ สำหรับผม”
แม้ตอนนี้จะมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แม้จะไม่มีคำพูดตอบรับใดๆ
สัมผัสจากมือที่ผละออกก็ยังชวนให้ใจหาย
“ลาก่อน แฟนเก่า”
แต่เขารู้
อย่างน้อยที่สุดมันก็แฟร์ดี...ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่กำลังเจ็บปวด
“ก่อนออกจากร้านผม คุณเองก็อย่าลืมเช็ดน้ำตาซะด้วยล่ะ”
-THE END-
==============================================
ลองเอางานเก่ามาปัดฝุ่นลงเว็บใหม่ค่ะ
แต่เหมือนมันจะไม่มีให้ลงเรื่องสั้นตอนเดียวจบอะ มีแต่ต้องสร้างเป็นเรื่องยาวซะงั้น (…)
เอาเป็นว่าขอบคุณที่หลงเข้ามานะคะ 5555
Comments (0)