ซาเวียร์เป็นเงือก

********************

ฟินน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินออกไปจากโต๊ะอาหาร หยิบอาวุธคู่กายและสวมเสื้อคลุมเตรียมตัวออกไปลาดตระเวน หลังทราบข่าวมาจากทหารในหน่วยว่ามีโจรออกปล้นชาวบ้านเมื่อไม่นานมานี้ ที่หมู่บ้านบริเวณทางเหนือของเซเนเวีย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของท่านแม่ทัพ

หน้าที่ที่ต้องนำเหล่าทหารออกไปตรวจดูความเรียบร้อยและให้การช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการปล้นในครั้งนี้ จึงเป็นหน้าที่ของท่านแม่ทัพอย่างฟินน์ ผู้ที่นำกองกำลังทหารปราบปรามกลุ่มก่อกบฏทั่วทุกสารทิศ จนได้รับชัยชนะและได้รับการยกย่องจากพระราชาว่าเป็นบุรุษผู้มีใจกล้าหาญ ปกป้องบ้านเมืองจนเซเนเวียอยู่เย็นเป็นสุขมาจนถึงทุกวันนี้

ดวงหน้าหวานมีท่าทีสลดลงเมื่อรู้ว่าสามีจะต้องออกจากบ้านไปลาดตระเวน หลังกลับมาถึงบ้านไปได้ไม่นาน

ดาเรลเฝ้ารอการกลับมาบ้านของสามีในทุก ๆ วัน เมื่อเขาทราบข่าวว่าฟินน์ได้นำกองกำลังทหารเข้าปราบปรามกลุ่มก่อกบฏจนเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ และวันนี้ก็เป็นวันที่สามีของเขาจะเดินทางกลับมาถึงบ้าน

ดาเรลไม่ลืมที่จะทำหน้าที่ของภรรยาโดยการเตรียมอาหารแสนอร่อยต้อนรับการกลับมาของสามี

ทว่าอาหารบนโต๊ะยังไม่พร่องลงเลยแม้แต่นิด สามีของเขาก็ต้องลุกออกไปเสียแล้ว ถึงแม้ว่าช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัวจะมีน้อย ทว่าหน้าที่ก็ต้องมาก่อนความสุขส่วนตัวเสมอ ข้อนี้ดาเรลรู้ดีว่าสิ่งที่สามีของตนกำลังจะออกไปทำนั้น คือหน้าที่ที่ทหารจะต้องดูแลความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะยามที่ประชาชนกำลังได้รับความเดือดร้อน

ดาเรลรีบเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติในทันที เพราะไม่อยากให้ฟินน์ต้องมาห่วงความรู้สึกของตนเพิ่มไปอีก

ฟินน์และดาเรลพวกเขาทั้งสองแต่งงานกันมาได้หลายปีแล้ว ทว่ากลับเป็นการแต่งงานที่มีฝ่ายได้ฝ่ายหนึ่งไม่ได้เต็มใจ

ท่านพ่อของดาเรลเป็นอดีตแม่ทัพของเซเนเวีย และตอนนั้นฟินน์ก็เป็นทหารในหน่วย ด้วยฝีมือและความมุ่งมั่นของฟินน์ ทำให้ดีแลนที่เป็นแม่ทัพอยู่ในตอนนั้น รู้สึกชื่นชอบและชื่นชมในฝีมือของนายทหารผู้นี้จนเรียกตัวให้มาเป็นรองแม่ทัพ ทำให้ฟินน์และดาเรลเริ่มรู้จักและคุ้นเคยนับตั้งแต่นั้นมา

เมื่อดีแลนล้มป่วยจึงได้ฝากฝังให้ฟินน์ช่วยดูแลบุตรชายเพียงคนเดียวของตน โดยขอร้องให้ฟินน์แต่งงานกับดาเรล ฟินน์ที่ได้รับโอกาสและความช่วยเหลือจากท่านแม่ทัพมาโดยตลอด อะไรที่เขาสามารถตอบแทนผู้มีพระคุณได้เขาก็จะทำ ฟินน์จึงตอบตกลงและรับปากกับท่านแม่ทัพของตนว่าจะดูแลบุตรชายให้เป็นอย่างดี

จนกระทั่งตอนนี้ดาเรลก็ไม่รู้เลยว่าฟินน์รู้สึกอย่างไรกับตน...

“ท่านพี่ ท่านจะออกไปอีกแล้วหรือ”

“ข้าได้รับแจ้งว่ามีโจรออกปล้นชาวบ้านแถว ๆ นี้ ข้าจะออกไปตรวจดูเสียหน่อย”

“ท่านพี่ระวังตัวด้วยนะ ดาเรลจะรอท่านกลับมาอย่างปลอดภัย”

“ข้าจะรีบกลับมา”

ดาเรลกระชับผ้าคลุมไหล่เมื่อผิวกายที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อสัมผัสกับสายลมที่อยู่ด้านนอก ร่างเล็กรีบเดินกลับเข้าไปในบ้านทันที เมื่อฟินน์และเหล่าทหารเคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อย ๆ จนหายลับไปจากสายตา

เรื่องที่มีโจรออกปล้นทรัพย์สินของชาวบ้านตามบ้านเรือนนั้น ดาเรลพอจะรู้เรื่องนี้มาบ้างจากชาวบ้านในตลาด เวลาจะเดินทางไปไหนเขาจึงต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ เพราะไม่รู้ว่าภัยอันตรายจะมาเยือนเราเมื่อไหร่

ร่างบอบบางเทอาหารที่ยังกินไม่หมดทิ้งไป ก่อนจะเดินไปยังห้องครัวเพื่อปัดกวาดเช็ดถูให้สะอาด ช่วงนี้ดาเรลไม่รู้สึกอยากอาหารเลยเพราะแค่ได้กลิ่นก็ทำให้เขารู้สึกพะอืดพะอมแล้ว

ทว่าเรื่องนี้ดาเรลรู้ดีถึงสาเหตุที่ทำให้ตนรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาทุกครั้งเวลาที่ได้กลิ่นของอาหาร ไหนจะหน้ามืดวิงเวียนศีรษะเป็นช่วง ๆ แบบนี้

คนตัวเล็กหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเก่าในห้องนอน มือบางยกขึ้นมาวางบนหน้าท้องแบนราบ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อนึกถึงเจ้าตัวน้อยที่กำลังเติบโตอยู่ในท้องของตนตอนนี้

“ลูกจะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันนะ ถ้าพ่อของลูกกลับมาแล้วแม่จะบอกเรื่องของลูกกับพ่อนะ”

ฟินน์พาทหารมาถึงหมู่บ้านที่ได้รับแจ้งว่าถูกกลุ่มโจรบุกเข้าไปฆ่าชิงทรัพย์ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้น

สภาพบ้านเรือนพังเสียหาย และมีศพของชาวบ้านล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ไม่คิดเลยว่าพวกโจรกลุ่มนี้จะมีจิตใจอำมหิตและโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ ฆ่าได้แม้กระทั่งคนแก่และเด็กตัวเล็ก ๆ

ฟินน์หันไปสั่งการกับทหารให้ช่วยกันไปนำน้ำมาดับไฟที่กำลังโหมไหม้บ้านเรือนของชาวบ้าน และช่วยกันค้นหาผู้รอดชีวิตที่พากันหนีไปหลบซ่อนพวกกลุ่มโจรที่ไหนสักแห่งในบริเวณนี้

ฟินน์ได้รับแจ้งจากทหารว่าวิลเลียมกำลังกองกำลังทหารเดินทางมาหาเขาที่นี่ เมื่อรู้อย่างนั้นแล้วร่างสูงจึงรีบเดินออกมารอรับเพื่อนสนิทบริเวณทางเข้าหมู้บ้านทันที รอไม่นานก็กลุ่มทหารของวิลเลียมก็มาถึง

“เจ้ามาหาข้าที่นี่ทำไมวิลเลียม”

“ข้ามีข่าวร้ายจะมาบอกกับเจ้า”

“ข่าวร้าย?”

“เจ้าต้องตั้งสติและฟังในสิ่งที่ข้ากำลังจะบอกเจ้าหลังจากนี้”

“…”

“ดาเรลตายแล้ว”

“หึ เจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหลกับข้านะวิลเลียม ดาเรลจะตายได้อย่างไรกัน ข้าเพิ่งแยกกับเมียข้าเมื่อไม่นานนี่เอง”

“ดาเรลตายไปแล้วจริง ๆ ข้าเพิ่งออกมาจากบ้านของเจ้า”

“วิลเลียม! เจ้าอย่ามาล้อเล่นกับข้านะ ดา...ดาเรลจะตายได้อย่างไรกัน”

“มีโจรเข้าไปบุกปล้นในบ้านของเจ้า แล้วพวกมันก็ฆ่าดาเรลและจุดไฟเผาบ้านในทันที กว่าข้าจะได้รับแจ้ง บ้านของเจ้ากับร่างของดาเรลก็เผาจนกลายเป็นผุยผงไปแล้ว”

“ไม่จริง ข้าจะกลับไปที่บ้านเดี๋ยวนี้ ถ้าดาเรลยังไม่ตายคนที่ตายจะเป็นเจ้าแทนวิลเลียม”

ฟินน์รีบขึ้นไปบนหลังม้าก่อนจะควบม้าห้อตะบึงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว วิลเลียมหันไปสั่งกับทหารในหน่วยให้ช่วยกันออกตามหาผู้บาดเจ็บที่ยังรอดชีวิต และนำศพผู้เสียชีวิตไปฝังให้เรียบร้อย ก่อนจะควบม้าตามกระโจนทะยานไปข้างหน้าเพื่อนสนิทกลับไปที่บ้านของเจ้าตัวทันที

บ้านหลังเล็กตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนสูงตระหง่าน ทว่าตอนนี้กลับเหลือเพียงเศษซากผุยผงสีดำปลิวฟุ้งลอยตัวในอากาศไม่ต่างไปจากเกล็ดหิมะสีขาวโพลน

ฟินน์กระโดดลงจากหลังม้าเมื่อมาถึง ภาพตรงหน้าทำเอาแม่ทัพหนุ่มถึงกับน้ำตาไหลเป็นทาง ความสูญเสียที่ไม่ทันได้ตั้งตัวแม้แต่คำล่ำลาก็ไม่มีโอกาสได้เอ่ยออกไป ฟินน์คุกเข่าลงกับพื้นกอบกำเศษซากสีดำมาไว้แนบอก น้ำตาที่ไม่มีใครได้เห็นจากท่านแม่ทัพ กลับต้องมาเห็นในสภาพแบบนี้

“ฮึก ดาเรล ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ ฮือ ๆ ดาเรลอย่าจากข้าไปแบบนี้”

วิลเลียมรับรู้ถึงความเสียใจที่ฟินน์กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ถึงแม้ฟินน์จะเป็นพวกปากแข็งไม่ชอบบอกความรู้สึกของตัวเองกับคนรัก ทว่าในใจของเจ้าตัวนั้นกลับรักดาเรลยิ่งกว่าชีวิตของตนเองเสียอีก ไม่คิดเลยว่าการกลับมาเจอหน้าภรรยาในวันนี้ จะเป็นการพบเจอกันครั้งสุดท้ายระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

“ดาเรล ฮือ ๆ ข้าขอโทษ ฮือ ๆ ข้ากลับมาหาเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าต้องทิ้งข้าไป ฮึก ฮือ ๆ ดาเรล”

หลังจากสูญเสียภรรยาไปได้ไม่นาน ฟินน์จึงนำเหล่าทหารออกจากเมืองกวาดล้างกลุ่มโจรทั่วทุกสารทิศ จับตัวตัดหัวเสียบประจานไปทั่วเมือง เพื่อแก้แค้นให้กับผู้คนที่จากไปจากเงื้อมมือของพวกโจรชั่วจิตใจอำมหิต เขายอมกลายเป็นคนจิตใจเหี้ยมโหดไม่ต่างจากพวกโจร เพื่อให้ผู้ที่อ่อนแอกว่าอยู่อย่างมีความสุข ต่อให้ชีวิตนี้ต้องตายเขาก็ไม่เสียดาย

ข้ายินดีที่จะตายไปพร้อมกับเจ้าดาเรล ข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้า...

ภาพฝันอันโหดร้ายความทรงจำอันแสนเจ็บปวดที่ฟินน์ต้องอยู่กับมันมาตลอดหลายปี มีชีวิตก็เหมือนไม่มี อยู่ไปอย่างไร้จุดหมาย มีชีวิตอยู่เพื่อรอวันตาย

ฟินน์ยืนนิ่งท่ามกลางความมืดที่รายล้อมอยู่รอบตัว มองไปทางไหนก็พบเจอแต่ความมืดมิด เหมือนกับว่าในที่แห่งนี้มีเพียงแค่เขา

เสียงเรียกที่คุ้นหูเอ่ยเรียกเขาดังออกมาจากที่ไหนสักแห่ง ฟินน์เพ่งสายตามองหาคนที่เอ่ยชื่อของตนไปทั่ว ทว่ากลับพบแต่ความว่างเปล่าท่ามกลางความมืดมิดนี้

เสียงเมื่อครู่นี้เขาจำมันได้แม่นว่าเป็นเสียงของใคร เป็นเสียงที่เขาไม่มีวันลืมผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงนี้

ดาเรล เมื่อกี้นี้คือเสียงของดาเรลไม่ผิดแน่ และตอนนี้ดาเรลกำลังเรียกข้าอยู่...

ฟินน์พยายามตะโกนเรียกดาเรล ทว่าเจ้าตัวกลับเอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ คือคำว่าลาก่อน ถ้าหากว่าเขาได้ยินเสียงของดาเรลแล้ว ก็เท่ากับว่าเขาได้ตายไปแล้วจริง ๆ คนที่ตายไปแล้วมักจะได้ยินเสียงของคนที่ตายไปแล้วเช่นกัน เสียงของดาเรลเบาลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหายไปในที่สุด ฟินน์เหมือนกับคนบ้าที่ตะโกนเรียกชื่อของภรรยาไปทั่ว โดยเจ้าของชื่อไม่เคยตอบกลับมาเลยสักครั้ง

ดาเรลข้ากำลังไปหาเจ้า ได้โปรดรอข้า ดาเรล ดาเรล...

เฮือก!

“ดาเรล!”

“เจ้าฟื้นแล้วเหรอ”

เมื่อกี้มันอะไรกัน ฝัน...ข้าฝันไปอย่างนั้นเหรอ...

“เจ้าได้ยินข้าหรือไม่”

ฟินน์ตั้งสติก่อนจะหันไปมองอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน

“เจ้าเป็น แค่ก ๆ ใคร”

เด็กหนุ่มดวงหน้าจิ้มลิ้ม นัยน์ตาสีฟ้าหม่นบนศีรษะสวมมงกุฎไข่มุกมีผมสีขาวยาวถึงกลางหลัง มีจุดสีแดงตรงกลางหน้าผาก สวมเสื้อคลุมสีขาวยาวถึงตาตุ่ม

ไข่มุก จุดสีแดงตรงกลางหน้าผาก...

“ข้าคือซาเวียร์ ที่นี่คือบ้านของข้า”

ฟินน์กวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง สถานที่แห่งนี้ใหญ่เกินกว่าจะเรียกว่าบ้าน จากการสังเกตของฟินน์แล้วเรียกว่าปราสาทน่าจะเหมาะสมกว่า ทว่าด้านในกับไม่มีข้าวของอะไรเลยนอกเสียจากอ่างน้ำเล็ก ๆ ที่ทำขึ้นจากหิน แม้แต่เตียงที่เขานอนอยู่ตอนนี้ก็ยังเป็นแท่นหิน

ฟินน์ค่อย ๆ เอาตัวเองลุกขึ้นมานั่ง พยายามไม่ให้แผลตรงหน้าท้องฉีกขาดไปมากกว่านี้ นี่คงจะเป็นแผลหลังจากเขาถูกพายุถล่มกลางทะเลสินะ

จากอะไรหลาย ๆ อย่างที่เจอจากตัวเด็กคนนี้ ก็ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าตัวคือเงือกที่เขากำลังตามหาอยู่ แถมยังเป็นเงือกที่มีเลือดพิเศษอีกด้วย ซึ่งดูได้จากจุดสีแดงตรงกลางหน้าผาก ซึ่งตรงกับข้อมูลที่เขาได้รับมาก่อนที่จะออกเดินทาง

ฟินน์รับน้ำจากมือของเด็กตรงหน้ามาดื่มเพื่อหวังบรรเทาอาการคอแห้งจากการขาดน้ำ ทว่าน้ำที่ดื่มเข้าไปนั้นกลับเค็มจนฟินน์ต้องสำลักมันออกมา

“ทำไมน้ำถึงได้เค็มเช่นนี้”

“เอ๋...เค็มอย่างนั้นเหรอ ข้าดื่มทุกวันก็ไม่เค็มนะ”

“แต่ข้าดื่มมันไม่ได้ เจ้าคงไม่ได้เอาน้ำทะเลมาให้ข้าหรอกนะ”

“น้ำในนี้เป็นน้ำทะเลหมด ข้าชอบทะเลที่สุด”

ดวงหน้าหวานคลี่ยิ้มจนตาหยีเมื่อพูดถึงน้ำทะเลที่เป็นเหมือนกับบ้านของตนมาตลอดหลายพันปี ท่านพ่อกับท่านแม่เคยเล่าให้ฟังว่าทะเลเป็นที่ที่ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์เงือก และยังเป็นบ้านหลังใหญ่ให้กับสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลอีกด้วย

“เจ้าเป็นเงือกสินะ ที่นี่คงจะเป็นเกาะกรีนดีนส์ถูกไหม”

“ท่านรู้เหรอว่าข้าเป็นเงือก”

“รู้สิเพราะเจ้าไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปอย่างไรล่ะ”

“ที่นี่คือกรีนดีนส์บ้านของข้า และข้าก็อยากจะเป็นมนุษย์”

“ทำไมเจ้าถึงอยากเป็นมนุษย์”

“ข้าอยากมีเพื่อน เพราะถ้าเป็นเงือกแล้ว ข้าก็จะต้องอยู่คนเดียวที่เกาะแห่งนี้”

“มีแค่เจ้าเหรอที่อยู่ที่นี่”

“ใช่...มีแค่ข้า”

ดวงหน้าหวานมีท่าทีสลดลงเมื่อนึกถึงตัวเองที่ต้องอยู่บนเกาะแห่งนี้เพียงลำพัง

ฟินน์กระตุกยิ้มโดยที่อีกคนไม่ทันได้เห็น ก่อนที่ร่างสูงจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นปกติ เหมือนกับว่าทุกอย่างกำลังจะดูง่ายขึ้นมาในทันที ในเมื่อเด็กคนนี้ไม่ต้องการอยู่ที่นี่ก็เป็นเรื่องดีที่เขาจะพาเจ้าตัวออกไปจากเกาะแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องคิดวิธีโน้มน้าวใจให้ยุ่งยาก

“ถ้าหายดีแล้วข้าจะพาเจ้าไปเมืองมนุษย์”

“เอ๋...จริงเหรอ เจ้าจะพาข้าไปจริง ๆ เหรอ”

“จริงสิ ข้าไม่เคยพูดโกหก”

เจ้าคิดผิดแล้วล่ะซาเวียร์ที่อยากจะออกไปจากเกาะกรีนดีนส์แห่งนี้ เพราะโลกมนุษย์ที่เจ้าอยากไปนักอยากไปหนานั้น มันน่ากลัวกว่าที่นี่เป็นร้อยเท่าพันเท่า...

 

********************

มาอัปต่อแล้วนะคะ ลูกเรากำลังจะถูกอีฟินน์ล่อลวงออกไปเผชิญยังโลกมนุษย์แล้วทุกคน เอาใจช่วยน้องเงือกด้วยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและชื่นชอบน้องซาเวียร์ด้วยนะคะ เจอกันต่อในตอนต่อไปค่า