ซาเวียร์เป็นเงือก

********************

เมื่อดวงตะวันลาลับขอบฟ้า ความมืดมิดจึงมีเพียงแสงของดวงจันทร์ส่องสว่างนำทางให้กับอาชาสีนิลกระโจนทะยานไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ท่ามกลางป่าสนสูงตระหง่านด้วยความองอาจในยามค่ำคืน

สายลมพัดพาเอาเสียงกระซิบของสัตว์ป่าน้อยใหญ่มากระทบโสตประสาท จนต้องหยุดการเคลื่อนไหวของม้าแล้วหาจุดพักแรมหลบภัยจากสัตว์ร้าย

ฟินน์ลงจากหลังม้าเมื่อมาถึงจุดปลอดภัย บรรยากาศที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวโพลน ปลิวฟุ้งไม่ต่างไปจากฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ ความหนาวเหน็บเย็นเยียบสะท้านไปทั่วทั้งกายบาดลึกไปถึงกระดูก เมื่อต้องอยู่ในป่าท่ามกลางหิมะที่หนาเขรอะ

ร่างสูงกระชับเสื้อคลุมสีดำตัวเก่ายอบตัวลงกับพื้น จัดการก่อไฟเพื่อคลายความหนาวเย็น และป้องกันสัตว์ป่าที่มุ่งหมายจะเข้ามาทำร้าย ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบท่อนฟืนที่หามาได้โยนเข้าไปในกองไฟ ก่อนจะล้มตัวนอนทับลงไปบนผ้ามอซอสีดำเหลือบเทา

พักเอาแรงก่อนเดินทางต่ออีกทีในรุ่งเช้าของวันถัดไป...

ฟินน์ใช้เวลาสามวันในการควบม้าเดินทางมาถึงเมืองโรมเวิร์ดในช่วงเย็น เขาจูงม้าไปยังเรือนพักม้าที่มีไว้สำหรับนักเดินทางต่างถิ่นที่ผ่านเข้ามาในเมือง ฟินน์จ่ายเงินให้กับเจ้าของเรือนพักม้าให้ช่วยดูแลเจ้านิลคู่กายระหว่างที่เขาออกไปเดินสำรวจเมืองแห่งนี้

โรมเวิร์ดเป็นเมืองที่รวมเอาเหล่านักเดินทางจากต่างถิ่นมาไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเดินทางไปยังสถานที่ใดย่อมต้องผ่านเมืองโรมเวิร์ดไปก่อนทุกครั้ง            จำนวนผู้คนที่เดินเบียดเสียดกันอยู่ในเมืองนี้ ดูไม่ต่างอะไรกับเซเนเวียเมืองหลวงที่ฟินน์เพิ่งจากมาเลยสักนิด

ระหว่างที่เดินสำรวจและสอบถามกับชาวบ้านในระแวกนั้น เกี่ยวกับระยะทางและเวลาในการเดินทางจากโรมเวิร์ดไปยังเมืองซุส ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางออกจากที่นี่ไปถึงเมืองซุสประมาณสามวัน และเขาจะต้องนั่งเรือออกจากเมืองซุสไปยังเกาะกรีนดีนส์ ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของเงือกที่เขียนบอกเอาไว้ในแผนที่ ทว่าโอกาสที่จะได้พบเงือกนั้นจะน้อยกว่าสมุนไพรที่วิลเลียมจ้างให้เขาไปหามาให้เจ้าตัวก็เถอะ

เหล้าและอาหารถูกนำมาวางลงบนโต๊ะ เด็กหนุ่มถอยออกมาหนึ่งก้าวยืนนิ่งจ้องมองฟินน์ที่กำลังนั่งดูแผนที่อยู่บนโต๊ะ ฟินน์เงยหน้าขึ้นมาจากแผนที่เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจ้องมองจากเด็กเสิร์ฟภายในร้าน หลังจากนำอาหารมาให้เขาเจ้าตัวกลับเอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมไปไหนเสียที

“เจ้าหนู...มีอะไรจะพูดกับข้าอย่างนั้นเหรอ”

“ข้าเคยเห็นแผนที่คล้าย ๆ ของท่าน จากลูกค้าคนก่อนหน้านี้เมื่อสองวันที่ผ่านมา”

“เจ้าจะบอกข้าว่า เจ้าเจอคนที่มีแผนที่เหมือนกันกับข้ามาที่ร้านของเจ้า เมื่อหลายวันก่อนอย่างนั้นเหรอ”

“ขอรับ...ข้าต้องขออภัยท่านด้วยที่เสียมารยาท ข้าแค่สงสัยว่าแผนที่นี้จะพาพวกท่านไปยังสถานที่ใด”

ฟินน์หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อตนเองต้องมานั่งสนทนาตอบคำถามของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เหมือนว่าเจ้าตัวดูจะอยากรู้อยากเห็นไปเสียหมด

“เจ้าเคยฟังนิทานตามล่าหาสมบัติไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเมื่อถูกถามจากชายหนุ่มตรงหน้า เกี่ยวกับนิทานตามล่าหาสมบัติ ที่มักจะเคยได้ฟังก่อนนอนอยู่บ่อยครั้งเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก

“ท่านพ่อข้าเคยเล่าให้ฟังก่อนนอนขอรับ”

“แผนที่ที่วางอยู่ตรงหน้าข้ากับเจ้าตอนนี้ ก็เหมือนกับแผนที่ในนิทานสมัยเด็กที่เจ้าเคยฟังมานั่นแหละ”

“ถ้าอย่างนั้นท่านต้องรีบแล้วล่ะขอรับ เพราะว่ามีหลายกลุ่มที่นำหน้าท่านไปไกลแล้วตอนนี้”

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามเจ้าหน่อยได้หรือไม่”

“ข้าจะตอบคำถามของท่าน เท่าที่ข้าสามารถตอบได้”

“หึ...เจ้าพอจะรู้ไหมว่านอกจากจะขี่ม้าออกจากโรมเวิร์ดไปที่เมืองซุสแล้ว มีวิธีไหนบ้างที่ข้าจะสามารถเดินทางได้โดยไม่ใช้ม้า”

“ท่านต้องไปกับเกวียนม้าขนส่งสินค้าของพ่อค้า ทุก ๆ วันจะมีเกวียนม้าผ่านเข้าออกตลอดเวลา ท่านสามารถขอไปกับพวกเขาได้”

“ขอบใจเจ้ามาก” ฟินน์หยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากถุง ก่อนจะยื่นเงินในมือให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า “รับไปสิเป็นค่าเสียเวลาของเจ้า”

“ขอบคุณนายท่านมากขอรับ ถ้าท่านอยากได้เหล้าเพิ่มเรียกข้าได้ตลอดเวลาเลยนะขอรับ”

ฟินน์พยักหน้ารับก่อนจะไล่ให้เด็กหนุ่มกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง นี่คงจะเป็นวิธีหาเงินเพิ่มเติมจากค่าจ้างที่ตนได้รับจากเจ้าของร้านนี้สินะ

การที่เด็กหนุ่มคนนั้นบอกกับเขาว่า มีคนหลายกลุ่มที่มีเป้าหมายเดียวกันกับเขานั้น ได้นำหน้าเขาไปที่เมืองซุสเรียบร้อยแล้ว ทว่าหลายวันมานี้กลับไม่ได้ข่าวว่ามีผู้ใดพบเจอเงือกเลยสักคน กลัวว่าเงือกที่ใครต่างก็บอกว่าอยู่บนเกาะกรีนดีนส์จะเป็นเพียงนิทานปรัมปราเสียมากกว่า

แสงแดดในยามเช้าทอดแสงลงมาบนหลังคา ผ่านรูเล็ก ๆ ที่ขาดอยู่บนผ้าคลุมหลังคาสีดำมอซอ ก่อนจะตกกระทบบนผิวหน้าของชายหนุ่มที่นอนเหยียดยาวไปตามช่องว่างที่เหลือเพียงน้อยนิดบนเกวียนขนส่งสินค้า

ฟินน์ลุกขึ้นนั่งใช้หลังพิงหีบไม้บรรจุสินค้าบนเกวียน มือทั้งสองข้างประสานกันไปข้างหน้า ก่อนจะยืดออกไปจนสุด เพื่อคลายความเมื่อยล้าตลอดการเดินทางในหลายวันที่ผ่านมา

ร่างสูงชะโงกหน้าออกไปนอกผ้าคลุมเพื่อดูทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอก เกวียนม้าเคลื่อนที่ไปบนเส้นทางท่ามกลางหุบเขาหลายลูกเรียงต่อกันเป็นแนวยาว ทุ่งหญ้าเขียวขจีและต้นไม้นานาพันธุ์ขึ้นเรียงรายตลอดสองข้างทาง

เม็ดเหงื่อผุดซึมขึ้นมาตามกรอบหน้าเมื่อสัมผัสกับบรรยากาศที่ร้อนระอุในช่วงกลางวัน จนทำให้ฟินน์ต้องตัดสินใจถอดเสื้อคลุมที่เขามักจะสวมใส่เอาไว้ตลอดเวลาเพื่ออำพรางใบหน้าของตนอยู่นั้นทิ้งไป

อากาศที่ร้อนอบอ้าวบ่งบอกได้ว่าเกวียนม้าขนส่งสินค้าที่ฟินน์อาศัยนั่งมาด้วยนั้น ได้เคลื่อนที่เข้าสู่อาณาเขตของเมืองซุสเรียบร้อยแล้ว

เมืองซุสเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ติดกับทะเล ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้จะทำอาชีพประมงกันส่วนใหญ่ อาหารทะเลที่มีอยู่ตามร้านอาหารต่าง ๆ ในแต่ละเมือง ก็รับซื้อมาจากชาวบ้านในเมืองซุส ฟินน์ลงจากเกวียนเมื่อมาถึงท่าเรือในช่วงเย็น เขาสอบถามกับเจ้าของเกวียนเกี่ยวกับที่พักที่ไปพักในคืนนี้ ก่อนจะออกเดินทางไปยังเกาะกรีนดีนส์ในวันพรุ่งนี้โดยการนั่งเรือ

“ข้าจะหาเรือนั่งเพื่อไปยังเกาะกรีนดีนส์ได้อย่างไร”

“ส่วนมากคนที่นี่เขาไม่ไปที่เกาะนั่นกันหรอกนะ”

“อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านไม่ไปที่เกาะนั่นกันล่ะ”

“ก็เพราะคนที่ไปแล้วไม่เคยได้กลับมาอีกเลยอย่างไรล่ะ”

“...”

“ไม่ใช่แค่เจ้าหรอกนะที่ต้องการจะไปที่เกาะกรีนดีนส์ มีหลายกลุ่มเลยล่ะที่มาซื้อเรือเพื่อเดินทางไปยังเกาะนั่น”

“ทำไมข้อมูลที่ข้าได้รับมา ถึงไม่มีใครบอกเกี่ยวกับการหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยของนักเดินทางเลยล่ะ”

“ข้าก็พูดไปแล้วไงก่อนหน้านี้ ว่าคนที่ไปไม่เคยได้กลับมาอีกเลย”

เจ้าของเกวียนม้าขนส่งสินค้าเดินจากไป ทิ้งปริศนาเอาไว้ ให้ฟินน์ต้องกลับมาคิดไตร่ตรองดูใหม่อีกครั้ง เกี่ยวกับการเดินทางไปยังเกาะกรีนดีนส์

ผู้คนที่เดินทางไปยังเกาะกรีนดีนส์แล้วไม่ได้กลับมาอีกนั้น อาจจะเป็นกลอุบายของชาวบ้านที่นี่ เพื่อต้องการเก็บซ่อนบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ก็เป็นได้

“เจ้าอยากจะไปที่เกาะนั่นเหรอ”

ฟินน์ที่กำลังจะเดินออกจากท่าเรือ เพื่อไปยังที่พักตามที่พ่อค้าคนนั้นได้บอกเอาไว้ ทว่ากลับมีชายชรารูปร่างผอมหนวดเครายาวเฟิ้มสีขาวเหลือบดำ เดินมาขวางทางเขาเอาไว้ดวงตาเรียวรีหรี่ลงมองชายชราตรงหน้า

“ใช่ ข้าต้องการไปที่เกาะนั่น”

“ข้าสามารถขายเรือให้เจ้าได้นะ ถ้าเจ้ายังไม่มีเรือที่จะใช้นั่งไปยังเกาะ”

“เจ้าไม่ห้ามข้า?”

“เกาะนั่นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครต่อใครพูดนักหรอก”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร”

“เกาะนั่นเลือกคนต่างหาก ผู้ที่ไม่ได้ถูกเลือกชั่วพริบตาเดียว ก็จะจมหายไปในทะเล”

“ท่านจะบอกข้าว่า ข้ายังมีหวังอย่างนั้นเหรอ”

“เป็นเช่นนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นท่านพาข้าไปดูเรือของท่านหน่อยสิ ข้าจะซื้อมันเดี๋ยวนี้แล้วจะรีบออกเดินทางตอนรุ่งเช้า”

ชายชรายกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเดินนำหน้าชายหนุ่มนักเดินทางที่มีเป้าหมายอันแรงกล้าอยากจะไปยังเกาะกรีนดีนส์ เพื่อจุดประสงค์เดียวคือนำเงือกมาถวายให้กับพระราชาดาร์ธ

เมื่อตรวจดูสภาพของเรือที่ต้องการจะซื้อเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีจุดไหนที่พังเสียหาย ฟินน์จึงหยิบเงินออกจากถุงแล้วจ่ายให้กับชายชราผู้เป็นเจ้าของเรือ จะนับว่าโชคดีได้ไหมเพราะเรือที่เขาได้มานั้นสภาพใหม่เอี่ยมเหมือนกับว่าไม่เคยได้ใช้งานมาก่อน และราคานั้นก็ถูกแสนถูก

ฟินน์เปลี่ยนแผนที่จะไปพักในตัวเมือง เพราะเขาสามารถนอนบนเรือได้ ร่างสูงนั่งลงบนหีบไม้เก่า ๆ ก่อนจะกางแผนที่แล้วดูเส้นทางเดินเรือ

เขาถามจากชายชราผู้นั้นว่าต้องใช้ระยะเวลาในการนั่งเรือไปยังเกาะกรีนดีนส์กี่วัน คำตอบที่เขาได้จากชายชราผู้นั้น คือต้องนั่งเรือไปประมาณสองวัน และระหว่างทางเขาจะต้องระวังเรื่องพายุและคลื่นยักษ์ ที่มักจะเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เพราะการเดินทางในครั้ง จะถือว่าเป็นบททดสอบที่เกาะกรีนดีนส์จะเลือกผู้ที่เหมาะสมเข้าไปยังสถานที่ลึกลับแห่งนั่น 

ฟินน์ต้องกลับมาวางแผนให้รอบคอบที่สุด เรื่องนี้ถือว่าเป็นการเอาตัวเองไปเสี่ยงกับปริศนาที่ปัจจุบันไม่มีใครได้ล่วงรู้ความจริงเลยสักคน

เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นจากเส้นขอบฟ้าทอดแสงลงมาตกกระทบลงบนผิวน้ำ สีฟ้าเหลือบน้ำเงินของน้ำทะเลทั้งสวยงามทั้งน่ากลัวไปพร้อม ๆ กัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าใต้ท้องทะเลอันกว้างใหญ่นี้ซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง

เรือโลดแล่นไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น ทว่าความเงียบที่มีมาตลอดทาง กำลังเตือนให้เขาเตรียมตัวรับมือกับภัยอันตรายที่กำลังจะมาถึง

เข้าสู่วันที่สองของการเดินทาง เหมือนกับว่าฟินน์กำลังจะเข้าไปใกล้อาณาเขตของเกาะมากขึ้นทุกที เพราะเบื้องหน้านี้มีเมฆลอยตัวจับกันเป็นกลุ่มก้อน เปลี่ยนจากสีขาวโพลนกลายเป็นสีดำเหลือบเทา มาพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังกระหึ่มก้องกังวานไปทั่วท้องทะเล

ลมกระโชกแรงทำให้คลื่นเริ่มก่อตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนฟินน์ต้องควบคุมจังหวะการเดินเรือให้คงที่ เพราะไม่อย่างนั้นเขาอาจจะจมไปพร้อมกับเรือก็เป็นได้ เม็ดฝนร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าจากเม็ดเล็ก ๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวเบื้องหน้าก็กลายเป็นสีขาวโพลนเพราะเม็ดฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก จนบดบังรัศมีของการมองเห็น

ฟินน์เหลือบไปเห็นเศษซากเรือที่แตกหัก และข้าวของที่ลอยอยู่ในน้ำ ร่างสูงกวาดตามองหาผู้รอดชีวิต ทว่ากลับไม่เห็นผู้รอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว

แค่ชั่วพริบตาเดียวเรือของฟินน์ก็ตรงดิ่งเข้าไปในวงล้อของพายุขนาดใหญ่ เขาพยายามจนสุดกำลังแรงกายของตน ทว่ากลับไม่สามารถต้านพลังของธรรมชาติเอาไว้ได้ ฟินน์ลอยเคว้งอยู่ในวงล้อของพายุที่กำลังหมุนดูดสิ่งที่อยู่รอบนอกเข้ามาด้านใน บดขยี้สิ่งของจนแตกละเอียด 

เขาจำได้ว่าตัวเองหลุดออกจากเรือ มองเห็นเรือที่แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ และหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดลง

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีโอกาสที่จะรอด ข้าก็ยังตัดสินใจที่จะไปต่อ หึ...ข้าช่างโง่งมเหมือนอย่างที่เจ้าว่าเลยดาเรล รอก่อนนะดาเรล...ข้ากำลังจะไปหาเจ้าแล้ว

 

********************

มาต่อแล้วนะคะ เป็นยังไงกันบ้างคะสนุกหรือเปล่า ถ้าหากว่าภาษาที่เราเขียนไม่สละสลวย อ่านแล้วติดขัดไม่ลื่นไหล เราต้องขออภัยนักอ่านทุกคนด้วยนะคะ เราจะพัฒนาฝีมืองานเขียนของเราให้ดีขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ ฝากน้องซาเวียร์เงือกน้อยของไรต์ด้วยนะคะ งือพวกเขาจะได้เจอกันแล้ว กดหัวใจ กดติดตาม คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรต์ด้วยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันต่อในตอนต่อไปค่ะ