1 ตอน ชื่อของเธอคือ ลิลิเบธ แมรี่ แลงดอน
โดย Aki_Kaze
ฉันไม่รู้เลยว่ามันเริ่มต้นจากที่ไหน นึกไม่ออกเลยว่าเขาเจอฉันได้อย่างไรและทำไมเขาถึงทำแบบนั้น เพราะงั้นฉันจะเริ่มจากจุดที่ทุกอย่างยังปกติดี ช่วงเวลาที่ชีวิตของฉันควรจะเริ่มต้น ก่อนที่สัตว์ร้ายนั่นจะปรากฏตัว
วันที่ 28 สิงหาคม ฉันเดินทางไปถึงสนามบิน JFK นับเป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาที่นิวยอร์ก ฉันได้รับข้อเสนอทำงานตอนเรียน MBA อยู่ที่วอร์ตัน คิดดูสิ หญิงสาวบ้าน ๆ จากเมืองเล็ก ๆ ชื่อ ไบร์ทเลค ในรัฐวิสคอนซิน สำเร็จการศึกษาจากหนึ่งในโรงเรียนธุรกิจชั้นนำของประเทศ ได้ข้อเสนองานจาก บริษัท ไคลเมอร์ – แคนนอน จำกัด (CCC) บริษัทยักษ์ใหญ่ในนครนิวยอร์ก ฉันล่ะดีใจสุด ๆ แม่ของฉันสอนไว้เสมอว่าอย่าละทิ้งความพยายาม และฉันก็ทำสำเร็จ! ต่อไปนี้ แม่ไม่ต้องทำงานสองอย่างพร้อมกันอีกแล้ว พ่อเองก็จะได้รับการดูแลรักษาจากโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงที่ดีกว่านี้ เจมี่ น้องชายของฉันก็จะสามารถเข้าเรียนมหา’ลัยได้
ให้ตายเถอะ ฉันล่ะภูมิใจในตัวเองจริง ๆ เก่งมาก! ลิลิเบธ แลง-ดอน!
หลังจากที่ฉันรอรับกระเป๋าจากสายพานเป็นที่เรียบร้อย ฉันก็นั่ง AirTrainและต่อใต้ดินสองสายไปยังห้องพักแบบสตูดิโอที่ฉันเช่าไว้ในอีสต์ บรอดเวย์ ถ้าคุณคิดว่าฉันจะต้องซื้อหรือเช่าคอนโดหรูที่เห็นวิว เซ็นทรัล พาร์ค ล่ะก็ คุณคิดผิดแล้วล่ะ ถึงเงินเดือนของฉันจะสูงกว่าที่คิดไว้ แต่ฉันยังไม่ได้รับเงินเดือน ฉันต้องระวังค่าใช้จ่ายให้ดี ๆ อะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัด
พอเดินออกจากสถานีรถไฟมาได้สามนาที ฉันก็พบตึกห้าชั้นทำจากอิฐสีแดงอยู่ตรงหน้า มีป้ายเขียนด้วยตัวอักษรภาษาจีนที่ฉันเข้าใจได้แค่ส่วนที่เป็นเบอร์โทรศัพท์ด้านล่าง และคำว่าให้เช่าเป็นภาษาอังกฤษ ฉันไม่เคยมาดูสถานที่จริงมาก่อน ฉันเชื่อใจนายหน้าที่แนะนำห้องนี้ด้วยราคาค่าเช่าสมเหตุสมผล แถมยังห่างจาก บริษัทไคลเมอร์ - แคนนอน บนถนนวอลล์สตรีท แค่สิบห้านาทีด้วยรถบัส และยี่สิบห้านาทีสำหรับการเดินเท้า
ฉันเปิดประตูด้านหน้าของอาคารด้วยหนึ่งในสองกุญแจที่มาพร้อมกับจดหมายเมื่อสัปดาห์ก่อน ภายในอาคารไม่มีลิฟต์ นับว่าสวรรค์ยังเห็นใจที่ห้องพักของฉันอยู่ชั้นสอง มันคงไม่ลำบากมากนักที่จะแบกกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบขึ้นบันไดเก่า ๆ พวกนี้ ส่วนข้าวของอื่น ๆ จะมาถึงตอนเย็น ฉันแบกกระเป๋าเดินทางขึ้นมาถึงหน้าห้องพักได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ได้ทำให้พื้นไม้เป็นรอยแต่อย่างใด นึกไม่ถึงว่าจะเหนื่อยถึงขั้นมือสั่นไปหมดตอนไขกุญแจเข้าห้องหมายเลข 4
สิ่งแรกที่ฉันเห็นจากหน้าประตูคือครัวขนาดกะทัดรัด มีตู้เย็นทางด้านขวา เคาน์เตอร์สองตัว ตู้ติดผนังสองใบ อ่างล้างจานและเตาไฟฟ้า ส่วนที่เป็นห้องอาหารว่างเปล่า แต่ฉันซื้อโต๊ะอาหารพร้อมเก้าอี้สี่ตัวไว้แล้ว ตอนเที่ยงของพรุ่งนี้ก็คงมาถึง ส่วนอื่นของห้องพักก็ว่างเปล่าเช่นกัน ทันทีที่ข้าวของของฉันมาถึง ห้องก็คงดูเป็นห้องมากขึ้น
ฉันทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้ตรงมุมห้องก่อนจะเดินไปยังส่วนที่จะมีเตียงมาตั้ง แล้วดึงม่านกันแสงทั้งสองบานขึ้น ปรากฏให้เห็นความวุ่นวายของไชน่าทาวน์ เสียงท้องร้องดังทันทีที่ฉันเห็นป้ายร้านพิซซ่าที่ฝั่งตรงข้าม จำได้ว่าขามาผ่านร้านเบอร์เกอร์ด้วย เสียงท้องร้องดังอีกครั้งเป็นการสนับสนุนการตัดสินใจของฉัน
หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ออกจากอาคาร ตรงไปยังร้านเบอร์เกอร์ที่หัวมุมถนนอีสต์ บรอดเวย์ตัดกับรัทเกอร์ส สตรีท ระหว่างทางฉันเห็นร้านอาหารเอเชียนมากมายที่ชวนให้ลิ้มลอง แต่วันนี้เป็นวันสำหรับเบอร์เกอร์และเฟรนช์ฟรายด์เท่านั้น
อาหารร้านนี้รสชาติดีกว่าหน้าตาทำเอากินหมดในพริบตา ช่วงเย็นฉันต้องใช้แรงอีกเยอะในการจัดห้อง จึงเติมพลังด้วยไอศกรีมวานิลาหนึ่งลูก ทว่ารสชาติของมันจืดชืด มันคงสมบูรณ์แบบเกินไปถ้าร้านนี้มีดีทั้งของคาว ของหวาน
ฉันหยิบมือถือออกมาดูเวลาและตัดสินใจโทรหาแม่ ตอนนี้เราอยู่กันคนละไทม์โซนแล้ว เวลาของฉันเร็วกว่าที่บ้านหนึ่งชั่วโมง เสียงสัญญาณยังไม่ทันดังดี แม่ของฉันก็รับสายแล้ว
“ลูกรัก นิวยอร์กเป็นไงบ้างจ๊ะ”
“สวัสดีค่ะแม่ หนูสบายดี ขอบคุณนะคะที่ถาม”
“แหม แม่รู้ว่าลูกต้องสบายดีอยู่แล้ว” เสียงอ่อนโยนของเธอทำเอาฉันคิดถึงบ้านขึ้นมา เธอพูดต่อ “ห้องพักเป็นไงบ้าง ดีไหม เพื่อนบ้านล่ะ แล้วนี่กินอะไรหรือยัง”
“ใจเย็นค่ะแม่ ห้องก็โอเคดี หนูยังไม่เจอผู้เช่าคนอื่น แล้วก็กินมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้วค่า พ่อเป็นไงบ้างคะ”
“โอ้ พ่อเขาก็สบายดี เขาสบายดี ลูกไม่ต้องห่วงนะ ส่วนเจมี่ก็คือเจมี่ ถึงจะบอกว่าดีใจที่ลูกย้ายออกไป แต่แม่มั่นใจว่าเขาต้องคิดถึงพี่สาวแน่ ๆ”
“ไม่เลยยย” เสียงน้องชายดังแว่วเข้ามา
“อย่าไปสนใจเขาเลย ลูกดูแลตัวเองดี ๆ นะ”
“ค่ะแม่ แม่ก็ด้วยนะ หนูจะพยายามโทรหาให้บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้นะ”
“แม่รักลูกนะ ลิลี่”
“หนูก็รักแม่ค่ะ”
หัวตาของฉันร้อนผ่าว ฉันต้องกลั้นน้ำตาสุดพลัง ทั้งที่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องจากบ้านมาไกล ฉันใช้เวลาห้าปีอยู่ที่ฟิลาเดลเฟียเพื่อเรียนต่อ การอยู่นครนิวยอร์กตัวคนเดียวก็ไม่น่าจะต่างอะไร ฉันตีหน้าตัวเอง เตือนตัวเองว่าให้สนุกกับการใช้ชีวิตและอย่ามัวแต่คิดถึงบ้าน
บริษัทขนย้ายโทรมาหาและยืนยันว่าจะมาถึงบ้านของฉันตอนห้าโมงเย็น ฉันเลยมีเวลาเที่ยวเล่นได้สองชั่วโมง จึงตัดสินใจที่จะเดินดูละแวกที่พักเสียหน่อย ฉันเปิดแผนที่บนโทรศัพท์ สมัยนี้อะไร ๆ ก็สะดวกและง่ายดายไปเสียหมด ไม่ว่าจะอยากไปที่ไหน เพียงแค่มีสมาร์ทโฟนก็ทำได้แล้ว ฉันเลยเปลี่ยนแผน อยากลองอะไรแบบดั่งเดิมเลยเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงยีนส์
ถนนเส้นอีสต์ บรอดเวย์เต็มไปด้วยร้านอาหารจีนและบรรดานักท่องเที่ยวจนเหมือนว่าฉันเองต่างหากที่เป็นนักท่องเที่ยว เพราะรอบข้างต่างก็สื่อสารกันได้หมด มีแต่ฉันนี่แหละที่ไม่เข้าใจอะไรเลย แม้แต่ชื่อร้านค้าที่เดินผ่านก็ยังอ่านไม่ออก
ฉันเลือกเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตข้างทาง มีทั้งหมดสองชั้น ชั้นแรกเป็นพวกของใช้ในบ้าน ขนม เครื่องดื่ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น ส่วนใต้ดินจะเป็นพวกของสดเช่น เนื้อปลา เนื้อมัว อาหารทะเล และอาหารแช่แข็ง พวกผักผลไม้ก็ทั้งสดและราคาถูก ถึงอย่างนั้นฉันก็เดินออกมามือเปล่าและเดินไปตามทางของตัวเองต่อ ไป ๆ มา ๆ ฉันก็ใช้เวลาในร้านนั้นไปเกือบครึ่งชั่วโมง ฉันแวะร้านซูเปอร์ฯ อื่น ๆ อีกเพื่อเปรียบเทียบราคาและสินค้าที่ขายก่อนจะมาถึงสวนสาธารณะบนถนนมัลเบอร์รี่
พวกคนในท้องที่กำลังเล่นบาสเก็ตบอลกันอยู่ที่สนาม ข้างกันก็มีเด็ก ๆ กำลังเล่นในสนามเด็กเล่นโดยมีผู้ปกครองนั่งคอยไปด้วย คุยไปด้วย ชายสูงวัยห้าคนกำลังสุ่มหัวที่อยู่โต๊ะตัวหนึ่ง สองในนั้นกำลังนั่งเล่นหมากรุกด้วยสีหน้าขะมักเขม้นโดยมีอีกสามคนช่วยลุ้นอยู่ข้าง ๆ อีกโต๊ะมีผู้ชายหกคน รุ่นราวคราวเดียวกัน เปล่งรังสีเคร่งเครียดแบบเดียวกันออกมา จนฉันเผลอกลั้นหายใจระหว่างเดินผ่านพวกเขาไป
ฉันแวะนั่งพักที่สวน ซึมซับกับบรรยากาศแปลกใหม่ เท่าที่ดูแล้วละแวกนี้ก็น่าอยู่อาศัย อากาศก็ดี ฉันดื่มด่ำไปกับแสงแดดยามไล่อ่านลิสต์ส่วนตัวจากจอมือถือ ในเมื่อมันเป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาอยู่นิวยอร์ก ฉันก็วางแผนเที่ยวสถานที่สำคัญ ๆ ไว้เต็มที่ ก่อนจะเริ่มงานในวันจันทร์ที่จะถึง ฉันอยากไปเซ็นทรัล พาร์ค ไปปั่นจักรยาน นั่งกินอาหารในสวน แล้วก็ไปต่อที่มิดทาวน์ สัปดาห์หน้าก็จะนั่งเรือไปเกาะสแตเทน จากนั้นก็เที่ยวแมนฮัตตันตอนล่าง เพียงแค่คิดหัวใจฉันก็เต้นแรงแล้ว
ฉันรักเมืองนี้!
ตอนที่ฉันกลับมาถึงที่พัก รถขนย้ายก็มาจอดรอแล้ว ผู้ชายคนนั้นกำลังโทรหาฉัน ฉันจึงรีบก้าวยาว ๆ ไปทักเขา
“คุณแลงดอน” ชายคนนั้นแนะนำตัวเองว่าชื่อพอล ก่อนจะยื่นเอกสารมากมายให้ “ให้เอาขึ้นไปไว้ที่ไหนครับ”
“ชั้นสอง ห้องเบอร์สี่ค่ะ” ฉันเปิดประตูหน้าให้ ชายอีกคนที่เป็นคนขับรถขนกล่องพร้อมกันสองใบเดินขึ้นบันไดไป “ชั้นบนทางซ้ายมือนะคะ”
ฉันเปิดประตูห้องสตูดิโอ ปล่อยให้พวกเขาทำงานกันไป ระหว่างนั้นฉันก็จัดเฟอร์นิเจอร์ในเข้าที่เข้าทาง ชายทั้งสองคนทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ เอาของลง ขนของขึ้นห้องได้หมดในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ฉันลืมซื้อเครื่องดื่มไว้ แล้วก็ไม่รู้เลยว่ากล่องไหนใส่พวกแก้วน้ำไว้ เลยให้เงินพิเศษกับพวกเขาเพื่อให้ไปซื้อเครื่องดื่ม ก่อนจะกล่าวลา
ห้องโล่ง ๆ ก็รกอย่างรวดเร็วเมื่อมีกล่องและเฟอร์นิเจอร์เข้ามา ฉันทยอยจัดเก็บเครื่องครัวให้เข้าที่เข้าทาง เรียงหนังสือลงบนชั้น วางโคมไฟไว้ข้างเตียงนอน ทีละเล็ก ทีละน้อย ฉันก็สามารถเปลี่ยนห้องขนาดสตูดิโอให้กลายเป็นห้องของตัวเองได้ จากนั้นฉันก็อาบน้ำ กินมื้อเย็นและเข้านอน
ตอนที่ฉันส่งรูปตัวเองบนหอสังเกตการณ์ของตึกเอ็มไพร์สเตต เข้ากรุ๊ปแชทของครอบครัวในช่วงบ่ายของวันถัดมา แม่ของฉันก็ตื่นเต้นยกใหญ่ เธอใฝ่ฝันที่จะมานิวยอร์กนานแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนได้เป็นตัวแทนของเธอท่องเที่ยวไปในเมือง
แม่มาหาหนูตอนไหนก็ได้เลยนะคะ ฉันบอกเธอผ่านกรุ๊ปแชท
แน่นอนลิลี่ คริสต์มาสดีไหม
หนูนึกว่าแม่จะบอกว่าพรุ่งนี้ซะอีก XD ได้เลยค่ะ วันคริสต์มาส! เดี๋ยวหนูซื้อตั๋วเครื่องบินให้ ไม่ต้องห่วงนะเจมี่ พี่จะซื้อให้เราด้วย
น้องชายฉันส่งสติ๊กเกอร์รูปหมียกมือทำท่าหัวใจมาให้
ฉันคุยกับพวกเขาระหว่างที่ดื่มด่ำไปกับวิวอันน่าตื่นตะลึงของสวนไบรอันท์ ท้องฟ้าสีฟ้าตัดกับต้นไม้สีเขียวรายล้อมไปด้วยตึกสูงระฟ้า กล้องโทรศัพท์ไม่สามารถถ่ายทอดความงามของมันได้ ขณะที่ได้เดินไปรอบ ๆ มิดทาวน์ ถ่ายรูปสถานที่ต่าง ๆ และรูปตัวเอง ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน มันเหมือนกับฉันได้อยู่ในหนังสักเรื่องที่เคยดูตอนเด็ก ถึงอย่างนั้น สิ่งที่หนังไม่ได้แสดงให้เห็นคือความสกปรกของรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยเฉพาะหนู ใช่! หอ-นอ-อู หนู! ถือว่าโชคดีที่ฉันไม่จำเป็นต้องนั่งใต้ดินไปทำงาน ไม่อย่างนั้นมันคงเป็นฝันร้ายแน่ ๆ ฉันเห็นหนูหนึ่งตัวตอนรอรถไฟไปวอลล์สตรีท และมั่นใจว่ามันต้องมีหนูอีกมากมายแน่
หลังผ่านเรื่องคาดไม่ถึงกับหนู ฉันก็มาตกตะลึงกับตึกสูง 35 ชั้นสไตล์อินเตอร์ชื่อว่า ตึกโกเมอร์ ซึ่งมีไคลเมอร์ – แคนนอน เป็นเจ้าของ ภายนอกทำจากกระจกและทองแดง ออกแบบโดยสถาปนิกชาวเยอรมันที่ฉันไม่สามารถจำชื่อได้ โซนชั้นล่างปล่อยให้บริษัทอื่นเช่า ส่วน CCC จะอยู่ที่ชั้น 20 ขึ้นไป
พอลองแหงนหน้ามองตัวตึกแล้ว ฉันก็รู้สึกตัวเล็กลงในพริบตา ฉันหยิกแก้มตัวเองเพื่อความมั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง ฉันใช้เวลาช่วงเย็นสำรวจวอลล์สตรีท แทบจะรอให้ถึงวันรุ่งขึ้นไม่ไหว
วันที่ 30 สิงหาคม ฉันเริ่มทำงานในตำแหน่งนักวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงิน ความประทับใจแรกเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานและแผนกค่อนข้างน่าผิดหวัง ฉันคงดูหนังมากไปถึงได้ตั้งความหวังไว้สูงขนาดนั้น ทั้งที่ความเป็นจริงมันไม่ได้เลิศเลอขนาดนั้น พวกเขาต้อนรับฉันด้วยการพยักหน้าและการทักทายทั่วไปก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ
คอกทำงานของฉันมีโต๊ะและเก้าอี้สีขาวพร้อมคอมพิวเตอร์ส่วนตัว กล่องใส่เอกสารแบบตั้งโต๊ะหนึ่งกล่อง ปากกาหมึกดำสามด้าน ที่เย็บกระดาษสีฟ้าหนึ่งอัน โน้ตกระดาษแปะหนึ่งแพ็ค สติ๊กเกอร์ติดคั่นหน้าหนึ่งแพ็ค และคลิปหนีบกระดาษหลากสีสันหนึ่งขวด
พอเห็นว่าโต๊ะทำงานเรียบง่ายและน่าเบื่อ ฉันก็ตั้งใจจะตกแต่งโต๊ะด้วยภาพถ่ายครอบครัวกับกระถางต้นไม้เล็ก ๆ แบบตั้งโต๊ะสักต้น
เมื่อเริ่มปรับตัวได้แล้วฉันก็เปิดคอมพิวเตอร์ เพื่อเริ่มงานที่ได้รับมอบหมายรายวัน การทำงานแตกต่างจากสิ่งที่คุณได้ยินจากบรรดาอาจารย์ในมหา’ลัย พวกเขากรอกหูคุณด้วยความฝันสวยงาม บอกคุณว่าคุณเก่งที่สุดและทำได้ทุกอย่าง แต่ความจริงแล้ว คุณก็แค่พนักงานคนหนึ่งที่โดนแทนที่ได้ทุกเมื่อ
การทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ในนครนิวยอร์กไม่ได้พิเศษอย่างที่ฉันคิด ยกเว้นเรื่องค่าความเครียดและความอ่อนล้าที่พุ่งสูงปรี๊ดเป็นพิเศษ
เพียงแค่วันแรกฉันก็โดนงานทับถมแล้ว
“ลิลิเบธ พวกเราจะไปหาอะไรดื่มกัน ไปด้วยกันไหม”
ฉันเงยหน้าขึ้นและเห็นผู้หญิงวัยยี่สิบกว่า ๆ ที่นั่งฝั่งตรงข้าม เธอยืดแขนผ่านที่กั้นมาจับมือ
“ฉันฟีบี้” เธอยิ้มจนเห็นฟันขาว ลิปสติกสีแดงอมส้มเข้ากับผมยาวสีบลอนด์และชุดสีขาวได้เป็นอย่างดี
“เรียกลิลี่เถอะ”
“โอเค ลิลี่ ไปด้วยกันไหม”
“แน่นอน ไปสิ”
ฉันปิดคอมพิวเตอร์แล้วคว้ากระเป๋า พร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมที่จะออกไปจากที่นี่ พนักงานส่วนมากบนชั้นนี้ต่างก็กลับบ้านกันไปแล้ว ฟีบี้พูดว่า ‘พวกเรา’ แต่ก็มีแค่เราสองคนที่เดินเข้าลิฟต์
“แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ”
“อ๋อ” เธอกำลังพิมพ์อะไรบางอย่างบนมือถือ ก่อนจะหันกลับมาทางฉัน “มีมิเชลกับหลินจากแผนกบริการลูกค้า สตีฟจากแผนกกฎหมาย พวกนั้นอยู่ที่ร้านแล้ว และก็มีแกรี่จาก IT ที่จะตามไปทีหลัง”
อากาศสดชื่นและความวุ่นวายของวอลล์สตรีททักทายฉันทันทีที่พวกเราเดินออกจากอาคาร ฉันสูดอากาศเข้าเต็มปอดราวกับไม่เคยได้สัมผัสความสดชื่นมาก่อน
“วันแรกเป็นไงบ้าง สนุกไหม”
“สนุกคงเป็นคำสุดท้ายที่ฉันจะใช้อธิบายวันนี้”
ฟีบี้หัวเราะ
“เดี๋ยวก็ชินเอง” เธอพูด “เธอคงเห็นแล้วว่าพวกเราทำงานเหมือนหุ่นยนต์ แต่หลังเลิกงานเราก็สนุกเต็มที่นะ เธอต้องชอบร้านนี้แน่”
เรามาถึงร้านเจอร์รีบนถนนซีดาร์ ด้านหลังเคาน์เตอร์ตัวยาวสีดำกับเก้าอี้มากมายมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ลูกค้า แสงไฟสีส้มให้ความรู้สึกอบอุ่นและต้อนรับอย่างดี ทั้งยังทำให้ขวดเหล้าหลังบาร์ส่องแสงระยิบระยับอีกด้วย
“อยู่นั่นไง!”
ฟีบี้จับมือฉันแล้วพาเดินไปที่โต๊ะตรงหัวมุม ที่มีผู้หญิงสอง ผู้ชายหนึ่ง นั่งดื่มกันอยู่ เธอแนะนำตัวฉันให้เพื่อน ๆ ของเธอ มิเชลสวมเดรสสีม่วง เธออายุ 33 ซึ่งมากที่สุดในกลุ่ม หลินเป็นลูกครึ่งจีน – อเมริกันที่มีผมยาวสีดำ มีผิวอันเปล่งประกาย เธอแต่งหน้าด้วยลุคธรรมชาติ สตีฟเป็นชายวัย 30 ปีที่ดูขึงขังพร้อมกับใส่แว่นตา พวกเขาต่างก็มีเบียร์กันคนละขวด และกำลังจะสั่งเพิ่มอีก
“นี่เพิ่งวันจันทร์เองนะ” ฉันพูด
“ถูกต้อง ยิ่งทำงานที่นี่มากนานเท่าไร ก็จะยิ่งดื่มหนักเท่านั้น” มิ-เชลพูด “ดูสตีฟสิ เขาทำงานน่ารังเกียจสุดแล้ว”
“คุณเป็นทนายเหรอ”
“เปล่า เป็นผู้ช่วยน่ะ” เขาหันไปทางมิเชลและหลิน “พวกเธอก็ไม่ต่างกันหรอก แต่ละวันต้องคอยรับมือกับคนเป็นร้อยเป็นพัน ฉันโชคดีกว่าเยอะ เพราะฉันรับมือแค่คน ๆ เดียว”
สตีฟกระดกเบียร์ในมือ ตอนนั้นเองที่มีผู้ชายอีกคนเดินเข้ามาสมทบพวกเรา แกรี่เป็นผู้ชายหน้าตาดีพร้อมรอยยิ้มที่งดงามที่สุดที่ฉันเคยเห็น เขานั่งลงข้างฉัน แขนของเขามาชนฉันเล็กน้อยแต่ก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นผิดจังหวะ
โอ๊ะ โอ ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยนะ
“คุณว่านิวยอร์กเป็นยังไงบ้าง” แกรี่ถามขึ้น
“น่าสนใจมาก ๆ ที่นี่รวมความหลากหลายทางวัฒนธรรมไว้มาก ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกแถมยังโง่มากที่สื่อสารกับคนในท้องที่ไม่รู้เรื่อง แต่เขากลับพูดภาษาอังกฤษกับฉันได้”
ฉันนึกถึงบทสนทนากับเจ้าของร้านของชำที่ไปมาเมื่อวานได้ เธอพูดภาษาจีนกับลูกค้าคนอื่น ฉันเลยคิดว่าต้องแย่แน่ ๆ เพราะฉันหาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ต้องการไม่เจอ แต่กลายเป็นว่าเธอพูดภาษาอังกฤษได้คล่องมาก
“เกิดขึ้นบ่อยเลยแหละ” หลินพูดอย่างเข้าใจ “ว่าแต่เธอไปโคนีย์ ไอส์แลนด์หรือยัง”
“ยังเลย วันนี้เป็นวันที่ 3 ที่ฉันอยู่ที่นี่”
“ฉันอยู่บรูคลิน ถ้าเธออยากไปเที่ยวก็โทรมาได้เลยนะ”
พวกเราแลกเบอร์กัน ฟีบี้ชวนฉันเข้ากรุ๊ปแชทด้วย ทุกคนต่างก็ต้อนรับฉันด้วยสติ๊กเกอร์กันยกใหญ่ ฉันคิดว่าวันนี้น่าผิดหวังและหดหู่ แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ถึงงานจะยากและฉันต้องใช้เวลาเรียนรู้และทำความเข้าใจ แต่อย่างน้อยฉันก็มีเพื่อนร่วมงานดี ๆ ที่ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นได้
เราสั่งอาหารและเครื่องดื่มมาเพิ่ม พวกเราทั้งพูดคุย ทั้งหัวเราะ แบ่งปันประสบการณ์การทำงานและประสบการณ์ชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องเดตหรือไลฟ์สไตล์ นอกจากมิเชลแล้ว คนอื่น ๆ ยังเป็นโสด ฉันไม่รู้ว่าทำไมหัวใจฉันต้องเต้นรัวตอนที่ได้ยินว่าแกรี่ยังโสดด้วย สายตาของฉันมักหันไปทางเขาตลอด เวลาที่คนอื่นกำลังพูด เขามีผมสีน้ำตาลนุ่มลื่น ถึงจะยังไม่เคยได้สัมผัสแต่ฉันก็รู้สึกได้ ดวงตาสีฟ้าของเขาช่างอ่อนโยน รอยยิ้มของเขาอบอุ่นและเป็นกันเอง
เราสบตากัน และฉันก็รีบหันไปทางอื่นทันที
ลิลิเบธ!
หลังจากดื่มเบียร์ไปสองขวดและเตกิล่าหนึ่งช๊อต ฉันก็รู้เลยว่าถึงลิมิตตัวเองแล้วหากยังอยากมีงานทำอยู่ พวกผู้หญิงกำลังกินของหวานให้หมด ขณะที่ชายทั้งสองเคร่งเครียดกับบทสนทนาเรื่องหุ้นและการลงทุน
“ดูเวลาสิ!” ฟีบี้มองจอสมาร์ทโฟนของตัวเอง “เราควรกลับกันได้แล้ว ลิลี่อยู่แถวไหนเหรอ”
“ไชน่าทาวน์ มันห่างไปยี่สิบนาทีเอง”
“มันดึกแล้ว เรียกแท็กซี่เถอะ” หลินแนะนำ
“ไม่เป็นไรหรอก”
“ถ้างั้น เจอกันพรุ่งนี้นะ” ฟีบี้กอดฉันใหญ่
ฟีบี้ หลิน และสตีฟเดินไปทางสถานีวอลล์สตรีท ส่วนสามีของมิเชลจะมารับเธอใกล้ ๆ สวน ทิ้งให้ฉันกับแกรี่เดินต่อตามลำพังบนถนนบรอดเวย์
“ฉันไปทางนั้น”
“เดี๋ยวผมเดินไปเป็นเพื่อน”
เขาไม่ได้รอคำตอบจากฉัน พวกเราเดินไปตามทางอย่างเงียบ ๆ ฉันทำเป็นยุ่งอยู่กับการจดจำเส้นทาง โดยไม่อาจชวนคุยหรือมองหน้าเขาตรง ๆ ในขณะที่เขาช่างดูสงบและผ่อนคลาย
เรามาถึงศาลากลางอย่างรวดเร็ว
“คุณอยู่แถวไหนเหรอ”
“เฮลส์ คิทเช่น ในมิดทาวน์น่ะ”
“คุณคงไม่คิดจะเดินกลับใช่ไหม”
“เปล่าครับ เดี๋ยวผมนั่งใต้ดินที่อีสต์ บรอดเวย์”
“คุณไม่ต้องเดินไปส่งฉันถึงบ้านหรอก ฉันเดินไวจะตายรู้ไหม แป๊บเดียวก็ถึงบ้านแล้ว”
เขาหัวเราะเบา ๆ
“ฉันพูดจริงนะ เข้าใจไหม”
“ครับ ๆ” เขาสบตาฉัน คราวนี้ฉันพยายามไม่หลบสายตา “งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ”
ฉันโบกมือลาแล้วมุ่งหน้ากลับบ้าน
ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคงเป็นความผิดของฉันเอง ความประมาทของฉัน การเดินกลับบ้านตามลำพังกลางดึกแบบนั้นไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเอาเสียเลย ฉันมันไร้เดียงสาที่คิดว่าตัวเองอาศัยอยู่ในย่านที่ปลอดภัย มันมีความผิดพลาดมากมายเกิดขึ้นในคืนนั้น ฉันควรให้แกรี่เดินมาเป็นเพื่อน หรือไม่ก็เรียกแท็กซี่ ฉันควรวิ่งให้เร็วกว่านั้น ฉันควรต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดมากกว่านั้น
เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับฉัน
วันที่ 1 กันยายน ศพของผู้หญิงคนหนึ่งถูกพบลอยน้ำในอีสต์ รีเวอร์ ใกล้สะพานแมนฮัตตัน
ชื่อของเธอคือ ลิลิเบธ แมรี่ แลงดอน
Comments (0)