2 ตอน EP. 1 Part 2 l'espoir (ความหวัง)
โดย mauvette
TW: Violence ความรุนแรง, เหตุการณ์สะเทือนใจ, Death ความตาย, Suicide การฆ่าตัวตาย
ตัวละครหลัก
ลูฟวร์ (Louvre) เดนีส์ (Denis) มอว์รีน (Máirín)
ตัวละครเสริม
บอนนี (Bonnie) ไคลฟ์ (Clive) แอนเซล (Anzel) ฟลอริส (Floris)
วาลด์ (Wald) เรเน (Rene) เปโตร (Petro)
บันทึกความฝันจากคืนวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
เทอมแรกของฉันผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ที่นี่จะมีการเปลี่ยนห้องพักทุกเทอม ในเทอมนี้ฉันไม่ได้อยู่ห้องพักเดียวกันกับเดนีส์และมอว์รีน ด้วยความที่ฉันมัวแต่ละเมียดละไมในการเก็บกวาดที่นอนของตัวเองจึงทำให้ฉันได้เข้าห้องใหม่เป็นคนสุดท้าย
เมื่อไปถึงห้องพักใหม่จึงพบว่าเพื่อนร่วมห้องต่างนอนหลับพักผ่อนกันหมดเสียแล้ว อีกทั้งไม่มีเตียงนอนว่างแม้แต่เตียงเดียว ฉันจึงจำเป็นต้องนอนบนพื้น ซึ่งในขณะนั้นเป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกพอสมควร จึงล้มตัวลงนอนอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้รบกวนใคร
ฉันพยายามข่มตานอน แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ก็ยิ่งหลับไม่ลง อาจเป็นเพราะยังไม่คุ้นชินกับห้องและที่นอนใหม่ ฉันจึงตัดสินใจลุกออกไปเดินเล่นสูดอากาศข้างนอกให้คลายความกังวล
เมื่อเดินไปถึงบริเวณรางก๊อกน้ำกลางแจ้ง ฉันบังเอิญเจอเข้ากับมอว์รีน ที่ดูเหมือนเขาก็มาเดินซึมซับบรรยากาศในยามค่ำคืนเช่นเดียวกัน มอว์รีนเอ่ยถามฉันว่า
“มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า”
ฉันไม่รู้จะตอบกลับเขาไปอย่างไรดี มันมีทั้งความว้าวุ่นใจที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ฉันจึงกล่าวออกไป
“รู้สึกนอนไม่หลับและยังคงปรับตัวกับที่นอนใหม่ไม่ได้เท่านั้นเอง”
เราทั้งคู่จึงเดินคุยกันพลางเดินไปทางริมน้ำ แต่สายตาของฉันดันเหลือบไปเห็นตู้กดน้ำที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตู้กดน้ำบนทางเดินสักเท่าไร
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ เพราะตอนที่ฉันได้พบกับเดนีส์และมอว์รีนเป็นครั้งแรก ฉันไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยว่ามีตู้กดน้ำอีกตู้ตั้งอยู่
ตอนนั้นฉันมั่นใจเป็นอย่างมากว่าตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่มีสิ่งใดตั้งอยู่เลย ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง มอว์รีนชักชวนให้ฉันไปกดน้ำดื่ม
เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาจึงได้ตอบรับคำชักชวนนั้นไป
เมื่อเดินมาถึงบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ มอว์รีนยื่นน้ำที่มีอยู่เต็มแก้วมาทางฉัน ซึ่งฉันก็รับมันไว้แต่โดยดี
ทันทีที่ดื่มน้ำเข้าไปพลันเกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นกับฉันอีกครั้ง เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่อยู่เหนือคำบรรยาย ภาพความทรงจำของใครสักคนพรั่งพรูเข้ามาอยู่ในหัวของฉัน
"มันเป็นมุมมองของคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้"
ฉันไปสะดุดอยู่ตรงภาพเหตุการณ์หนึ่งที่เจ้าของความทรงจำได้ไปพบเจอกับพิธีกรรมอันน่าสยดสยองโดยบังเอิญ ซึ่งผู้ที่กำลังประกอบพิธีคือ เจ้าหน้าที่อาวุโสและคณะกรรมการนักเรียนที่ฉันคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี "วาลด์"
วาลด์เป็นผู้ที่พบเห็นเจ้าของความทรงจำ จนทำให้ถูกนำตัวไปเป็นเหยื่อในพิธีสังเวยวิญญาณอย่างโหดร้าย
โดยการจับไปอัญเชิญบนเสลี่ยงและนำลงไปไว้ใต้น้ำในคืนที่ฝนตกหนัก วิญญาณของเขาจึงถูกจองจำอยู่ในน้ำนั่นโดยบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในกระท่อมไม้
ฉันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า มันคือรูปปั้นแปลกประหลาดที่ฉันทำลายมันลงไปในวันแรกของการมาเยือนโรงเรียนแห่งนี้
หลังจากห้วงความทรงจำเหล่านั้นได้หายไป ฉันได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นมา
“เธอรู้ความจริงแล้วสินะ”
ใช่แล้ว มันเป็นเสียงของเดนีส์ ฉันงุนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่อพยายามนึกภาพย้อนกลับไปจึงพอทำให้ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ด้วยความเข้าใจของตนเอง
“เพราะแบบนี้ใช่ไหมเธอจึงเดินมาคนละทางกับมอว์รีน กดน้ำมาให้ฉันดื่ม คิดไว้แล้วว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล เธอมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ฉันคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันเสียอีก”
ฉันโวยวายใส่เดนีส์ด้วยความโมโห แต่สีหน้าของเขากลับเรียบเฉย ไม่ได้มีทีท่ากระวนกระวายใจ
"ฉันขอโทษที่ไม่ได้อธิบายให้เธอฟังตั้งแต่แรก ฉันอยากเข้ามาขอบคุณเธอที่เป็นคนทุบทำลายสิ่งนั้น ฉันจึงถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ"
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เอ่ยถามสิ่งที่สงสัย เขารีบพูดต่อเหมือนกำลังอ่านใจฉันได้
"ใช่ เจ้าของความทรงจำคือฉันเอง ฉันเป็นวิญญาณ..."
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉันทรุดลงไปที่พื้น ความรู้สึกอัดแน่นในอก น้ำตาพลันไหลอาบแก้มทั้งสองข้างเมื่อรับรู้ว่านักเรียนผู้เคราะห์ร้ายที่ฉันเห็นในความทรงจำคือเพื่อนของฉันเอง
"ในตอนแรกฉันคิดจะหนีไปจากที่นี่ แต่พบว่าเธอตกอยู่ในอันตราย คนพวกนั้นไม่มีทางปล่อยเธอไว้ มันจะทำเหมือนที่พวกมันเคยทำกับฉัน อย่างที่เธอได้เห็นไปแล้วในเศษเสี้ยวความทรงจำจากน้ำที่เธอดื่มเข้าไป"
เดนีส์อธิบายเพิ่มเติม ยิ่งเขาพูดออกมาแบบนั้นฉันยิ่งรู้สึกผิดที่เป็นตัวถ่วงอิสรภาพของเขา
“ตู้กดน้ำทุกแห่งในโรงเรียนหากใครได้ดื่มเข้าไปจะทำให้เห็นวิญญาณของเด็กที่เป็นเหยื่อสังเวยวิญญาณมาใช้ชีวิตร่วมกับนักเรียนคนอื่น ๆ โดยที่เธอไม่มีทางรู้เลยว่าใครเป็นวิญญาณ เธอไม่แปลกใจเหรอ แหล่งน้ำในโรงเรียนที่เราสามารถดื่มได้คือตู้กดน้ำเท่านั้น นอกจากนี้ น้ำจากตู้ก็มาจากแม่น้ำนี้แหละ แต่ใครจะรู้ล่ะ จริงไหม” มอว์รีนพูดเสริม
“แต่…” เดนีส์พูดแทรก
"เธอเป็นข้อยกเว้นของกฎเกณฑ์เหล่านี้ เพราะเป็นคนปลดปล่อยพวกเรา เธอจึงเห็นนักเรียนวิญญาณ แม้จะไม่ได้ดื่มน้ำก็ตาม แต่ในตอนที่เธอปลดปล่อยฉันออกมา มันส่งผลให้เกิดตู้กดน้ำแห่งใหม่ที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั่น เราค้นพบว่าเจ้าหน้าที่โรงเรียนไม่เห็นสิ่งนี้ มันคือศูนย์รวมจุดเชื่อมโยงของเหล่าวิญญาณทั้งหมด"
"พวกเราสามารถใส่ความทรงจำ เจตนารมณ์ และสายสัมพันธ์ที่พวกเราไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้ภายในโรงเรียนแห่งนี้ลงไปในน้ำให้พวกเธอได้ดื่ม"
หลังจากฟังเรื่องราวที่เดนีส์และมอว์รีนเล่ามา ฉันยังคงแปลกใจอยู่ดีว่าทำไมเหล่าวิญญาณที่ถูกปลดปล่อยเป็นอิสระไม่หนีไปจากที่แห่งนี้ แม้จะเข้าใจว่าเดนีส์อยากช่วยฉัน แต่วิญญาณตนอื่น ๆ อาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้นก็ได้ ฉันจึงเอ่ยถาม
"ทำไมวิญญาณเลือกที่จะอยู่ช่วยฉันมากกว่าที่จะหนีไปล่ะ? "
เดนีส์ตอบกลับ
“พวกเราคิดที่จะหนี แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ถ้าเราวิญญาณตนหนึ่งหนีไปสุ่มสี่สุ่มห้า ทางโรงเรียนจะรู้ได้ทันทีว่ามันเกิดความผิดปกติบางอย่างกับการจองจำวิญญาณ ถ้าจะหนีเราต้องหนีไปพร้อมกันทั้งหมด มนุษย์น่ะหนีได้ง่ายกว่าวิญญาณเสียอีก...”
ยังไม่ทันพูดจบ พายุฝนได้พัดกระหน่ำลงมาอย่างหนัก มอว์รีนจึงรีบแทรกขึ้นมาว่า
“เดนีส์เวลาใกล้จะหมดแล้ว พวกเราต้องทำมันตอนนี้เท่านั้น”
ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เลยสักนิด เหมือนคนที่พยายามหาคำตอบในข้อสอบ ยิ่งพยายามเท่าไหร่ก็ยิ่งสับสน
“ขอโทษนะ เราทำแบบนี้เพื่อช่วยเธอ และเพื่อพวกเราทุกคน”
เดนีส์ตะโกนตามหลังมา รู้ตัวอีกทีฉันก็ถูกผลักตกลงไปในแม่น้ำนั่นเสียแล้ว
ทุกอย่างรอบข้างค่อย ๆ มืดลงอย่างช้า ๆ เสมือนถูกดึงออกจากแสงสว่างที่เห็นอยู่ลิบลับปลายทาง
ทุกสิ่งรอบข้างดับลง เป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่า
เพียงครู่เดียวเท่านั้น แว่วเสียงผู้คนพูดคุยกันให้วุ่นวายในความมืดมิด คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเสียงของเพื่อนร่วมห้องของฉัน
“รู้สึกเหมือนเขาจะฟื้นแล้วนะ” เสียงของบอนนีเอ่ยถาม
“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เสียงของไคลฟ์เพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่ง
จากที่สับสนอยู่เป็นทุนเดิม ตอนนี้ฉันยิ่งสับสนมากกว่าเดิมเสียอีก
“มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน? ”
ฉันถามหาคำตอบจากเพื่อนร่วมห้องที่ดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง
“พวกเราก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก รู้เท่าที่เดนีส์และมอว์รีนเล่าให้ฟัง” บอนนีกล่าว
"รู้แค่ว่าทำอย่างไรก็ได้ให้เธอนอนไม่หลับ แล้วออกมาเดินเล่นตอนกลางคืน"
"แน่นอน พวกเรารู้ว่าเธอคงไม่พึงพอใจกับการนอนบนพื้นสักเท่าไหร่ อีกทั้งเกลียดการร้องขอความช่วยเหลือจากใครมากพอกัน" ไคลฟ์พูดเสริม
ฉันคิดในใจนี่คือสาเหตุที่ทุกคนชิงหลับกันก่อนที่ฉันจะไปถึงสินะ
“พวกเราแอบรู้มาว่าโรงเรียนกำลังจัดเตรียมทำพิธีกรรมบางอย่างกับเธอ ถ้าให้เดาคงเป็น การลงทัณฑ์”
ฟลอริสพูดแทรกขึ้นมาพร้อมกล่าวต่ออีกว่า
“เราจำเป็นต้องทำลายแผนการของพวกมัน ไม่อยากให้เกิดความสูญเสียแก่ใครอีกแล้ว เดนีส์กับมอว์รีนกำชับให้พวกเรามารับตัวเธอที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำหลังจากพายุฝน แล้วพากลับไปใช้ชีวิตเป็นนักเรียนตามปกติ”
“ไม่เคยมีพิธีลงทัณฑ์เกิดขึ้นในโรงเรียนมาก่อน จากการค้นคว้าบันทึกของพ่อแม่ที่เป็นสมาชิกกลุ่มภาคีช่วยเหลือผู้สูญหาย
(เป็นภาคีที่ทำการศึกษาค้นคว้าข้อมูลของโรงเรียนจากผู้ที่หลบหนีไปได้ เป็นกลุ่มคนที่เชื่อว่าเด็กเหล่านี้พูดความจริง ซึ่งรายชื่อสมาชิกที่อยู่ในภาคีนี้จะถูกเก็บเป็นความลับ)
ก่อนที่ครอบครัวของฉันจะหายไป พวกเขาระบุเอาไว้ว่า เป็นพิธีที่ใช้ในการลงทัณฑ์ผู้ที่รุกล้ำล่วงเกินความศักดิ์สิทธิ์ของผู้คุมโรงเรียน จะมีการทำพิธีทำลายวิญญาณที่ส่งผลให้ตัวตนของผู้ที่โดนลงทัณฑ์ถูกลบหายไปจากความทรงจำของทุกคน”
แอนเซลอธิบายเพิ่มเติม
“แม่ของฉันก็อยู่ในกลุ่มภาคีช่วยเหลือผู้สูญหายเช่นกัน ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่นักเรียนจะสูญหาย โรงเรียนแห่งนี้จะทำพิธีกรรมแปลกประหลาดอยู่เป็นประจำคาดว่าเป็น พิธีสังเวยวิญญาณ นักเรียนที่พบเห็นพิธีนี้ด้วยความบังเอิญจะถูกตามล่า บางคนหลบหนีได้ทัน แต่หลายคนก็ไม่รอด” ฟลอริสพูดเสริม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดโหดร้ายเกินไปแล้ว ฉันไม่อาจทนฟังเรื่องที่เกิดขึ้นกับนักเรียนในโรงเรียนนี้ได้อีก ฉันจึงตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ฉันต้องช่วยทุกคนให้ได้
“งั้นนักเรียนทุกคนก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันหมดเลยสิ? ” ฉันเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ทุกคนหรอก เราจำเป็นต้องจำกัดเรื่องนี้ให้รู้แค่เฉพาะกลุ่มนักเรียนที่เป็นวิญญาณ อีกอย่างเรามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำต่อจากนี้ พวกเรารีบไปกันเถอะ”
ไคลฟ์ตอบพลางบอกให้ทุกคนรีบออกไปจากตรงนี้
ทุกคนรีบวิ่งไปอย่างเงียบเชียบ มุ่งตรงไปที่สนามหญ้าหน้าหอพักแล้วหลบสังเกตการณ์ตรงหลังพุ่มไม้ใหญ่
ทันใดนั้น สายตาของฉันพลันเห็นเจ้าหน้าที่โรงเรียน 4 คน แบกร่างที่แน่นิ่งของฉันตรงไปทางสนามหญ้าของโรงเรียน ท่ามกลางสายตาของนักเรียนคนอื่น ๆ ที่มองไปยังร่างนั้นด้วยความตกใจ บ้างก็กรีดร้องบ้างก็ร้องไห้ ในบรรดานักเรียนเหล่านั้นคือเรเนและเปโตร
ฉันเจ็บปวดหัวใจมาก ฉันอยากเข้าไปกอดทุกคนแล้วบอกว่าฉันอยู่ตรงนี้ ยังมีชีวิตอยู่ แต่บอนนีกับแอนเซลพยายามรั้งฉันไว้
ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ให้นักเรียนทุกคนมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงที่สนามหน้าหอพัก ทางโรงเรียนมีเรื่องสำคัญต้องแจ้งให้ทุกคนทราบ”
“ย้ำ ให้นักเรียนทุกคนมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงที่สนามหน้าหอพัก ทางโรงเรียนมีเรื่องสำคัญต้องแจ้งให้ทุกคนทราบ”
เสียงประกาศของโรงเรียนดังขึ้น
เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเจ้าหน้าที่อาวุโสมีสีหน้าที่เคร่งเครียดเช่นนี้ อีกทั้งยังควบคุมน้ำเสียงให้เรียบเฉยไม่ได้เหมือนทุกครั้ง
“เมื่อนักเรียนทุกคนมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว ทางโรงเรียนจึงขอแจ้งให้ทุกคนทราบว่า มีเหตุการณ์อันน่าเศร้าเกิดขึ้นกับนักเรียนของเรา คุณลูฟวร์ประสบอุบัติเหตุจมน้ำในแม่น้ำของโรงเรียน โดยที่ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์หรือช่วยไว้ได้ทัน นี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เกิดความสูญเสียภายในโรงเรียน เราจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”
สิ้นเสียงประกาศ เต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ของนักเรียน ทุกคนอยู่ในภาวะที่หวาดกลัวและตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ฉันทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเพื่อนในกลุ่มคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวต้องเสียใจ จึงได้พยายามสลัดมือบอนนีกับแอนเซลแล้ววิ่งตรงไปที่สนามหญ้าพร้อมทั้งตะโกนออกไปว่า
“ฉันอยู่นี่”
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่อาวุโสรีบตรงปรี่มาทางฉัน เขาพยายามพินิจพิเคราะห์บางสิ่งแล้วเอ่ยถามเสียงแข็ง
"หมายความว่าอย่างไรหรือคะ คุณเดนีส์? "
ได้ยินเช่นนั้นฉันถึงกับพูดไม่ออก ทำได้แค่ยืนตัวแข็งทื่อ
สักพักบอนนีกับแอนเซลจึงรีบวิ่งมาหาฉัน พร้อมกับพูดแก้ต่างแทนฉันว่า
"เดนีส์รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่ะ คุณลูฟวร์เป็นคนสนิทของเขา เขาคงยังทำใจไม่ได้ ต้องขอโทษจริง ๆ ที่รบกวนค่ะ"
เจ้าหน้าที่อาวุโสไม่ติดใจอะไรจึงยอมเดินกลับไปแต่โดยดี
เพื่อนวิญญาณต่างใจหายกันหมด ฟลอริสรีบตำหนิว่า
“เธอไม่ควรทำแบบนั้นนะ ตอนนี้มนุษย์จะมองเห็นรูปลักษณ์ของเธอเป็นเดนีส์ มีเพียงแค่เหล่าวิญญาณเท่านั้นที่มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ ซึ่งเธอไม่สามารถใช้ตัวตนเดิมเข้าหาเพื่อนที่เป็นมนุษย์ได้อีกแล้ว จนกว่าแผนการนี้จะจบสิ้น”
ฉันไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้จริง ๆ แล้วร่างที่อยู่ตรงนั้นคือใครกัน?
“ร่างของฉันเอง”
เสียงที่คุ้นเคยของมอว์รีนกล่าวขึ้นมาเหมือนอ่านใจฉันได้
“นั่นคือร่างของฉัน ที่พวกเราเหล่าวิญญาณช่วยกันอำพรางตาของมนุษย์ให้เห็นว่าเป็นร่างของเธอ ส่วนรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเธอถูกบังตาด้วยพลังวิญญาณที่แตกสลายของเดนีส์"
"ทางโรงเรียนไม่มีข้อมูลของนักเรียนที่เสียชีวิตเองตามธรรมชาติ พวกมันน่าจะคิดว่าวิญญาณของเธอได้สลายหายไป เพราะไม่ได้ถูกจองจำ ส่วนฉันในตอนนี้คือวิญญาณ ซึ่งทางโรงเรียนยังคงไม่รู้เรื่องนี้”
เรื่องราวที่ฉันได้รับรู้ในตอนนี้มันทำให้ฉันทรมานใจจนแทบจะยืนไม่ไหว แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ มอว์รีนได้กล่าวอีกว่า
“อย่ารู้สึกผิดเลยนะ ฉันและเดนีส์ไม่ได้สละชีวิตและวิญญาณเพื่อเธอเพียงคนเดียว เราทำเพื่อทุกคน อีกไม่นานโรงเรียนต้องตรวจสอบเรื่องการปลดปล่อยวิญญาณได้แน่ เราจึงต้องรีบทำตามแผนการที่เหล่าวิญญาณวางไว้ให้เร็วที่สุด”
หัวใจของฉันแตกสลายอีกครั้งเมื่อได้ยินสิ่งที่มอว์รีนกล่าวมา มันหนักหนาเกินกว่าที่เด็กอายุ 16 คนหนึ่งจะรับไหว เด็กอย่างพวกเราต้องเจ็บปวดมากขนาดนี้เชียวหรือในการยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งที่ผู้ใหญ่และทางการกระทำกับเรา
“ฉันไม่มีวันได้เจอกับเดนีส์อีกแล้วใช่ไหม วิญญาณของเขาแตกสลายไปแล้ว เขาหายไปตลอดกาล” ฉันเอ่ยถามพลางน้ำตาคลอ
มอว์รีนรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ไม่มีวิญญาณดวงไหนหายไปตลอดกาลหรอกนะ พวกเขาจะคงอยู่ในใจของคนที่ยังมีชีวิต เธอจะพบเห็นเขาได้ในความทรงจำของเธอ”
“ตอนนี้ตัวตนของเธอคือเดนีส์ เขาอยู่กับเธอเสมอ ยามใดที่เธอคิดถึง ลองมองกระจกแล้วยิ้มบ่อย ๆ เขาคงอยากให้เธอมีความสุขและเป็นอิสระ มากกว่าพันธนาการตัวเองไว้กับความโศกเศร้า”
มอว์รีนพูดปลอบประโลมได้ดีเหมือนเคย
“เข้าใจแล้ว”
ฉันตอบกลับเขาไปพร้อมน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา ความรู้สึกของฉันที่ไม่อาจเก็บซ่อนไว้ได้อีก ความทุกข์ทรมานที่ฉันจะเปลี่ยนมันมาเป็นพลังและความหวังในการปลดปล่อยทั้งมนุษย์และวิญญาณที่ถูกจองจำ ณ สถานที่ชั่วร้ายเฉกเช่นโรงเรียนแห่งนี้
“ฉันพร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อให้ทุกคนหลุดพ้นจากวังวนแห่งความเจ็บปวด”
The End
Comments (0)