TW: Violence ความรุนแรง, เหตุการณ์สะเทือนใจ, Mental Health Illness ภาวะสุขภาพจิต, Death ความตาย

ตัวละครหลัก

ลูฟวร์ (Louvre) เดนีส์ (Denis) มอว์รีน (Máirín)

ตัวละครเสริม

วาลด์ (Wald) เรเน (Rene) เปโตร (Petro)

sds

บันทึกความฝันจากคืนวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

ณ เวลาบ่ายแก่ ๆ ท่ามกลางหิมะโปรยปรายปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณของประเทศเขตหนาว เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนมารวมตัวกันในห้องนั่งเล่นของบ้าน

หลังจากฉันง่วนอยู่กับการช่วยครอบครัวอุปถัมภ์เลือกแผ่นภาพยนตร์สำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์มาหลายชั่วโมง ในที่สุดเราก็ได้เรื่องที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน 

ฉันจึงปลีกตัวไปนั่งพักตรงมุมห้องพร้อมเหม่อมองผ่านหน้าต่างบานใหญ่ออกไป เพื่อซึมซับกับบรรยากาศของฤดูหนาวให้คลายความเหนื่อยล้า

“ช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนมีความสุขเสียจริง”

บริเวณรอบบ้านในตอนนี้เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา กระจกใสทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าบานใหญ่ในห้องนั่งเล่นเปรียบเสมือนภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่ที่กำลังพรรณนาวิถีชีวิตอันเงียบสงบของผู้คนละแวกนั้น

ฉันชอบคิดอะไรในใจไปเรื่อยเปื่อย เปรียบเทียบสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่ง เฉกเช่นในตอนนี้ สำหรับฉันแล้ว แม้ฤดูหนาวจะดูน่าหลงใหลเพียงใด ฉันยังคงโปรดปรานบรรยากาศของฤดูร้อนอยู่ดี

"กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง"

เสียงโทรศัพท์บ้านที่วางอยู่บนโต๊ะไม้คร่ำครึตรงอีกฟากหนึ่งของห้องนั่งเล่นดังขึ้นมาท่ามกลางห้วงความคิดเพ้อฝันของฉัน มันดึงความสนใจของทุกคนไปไว้ที่จุดเดียวกัน

แม่บุญธรรมของฉันเป็นผู้ที่อยู่ใกล้มากที่สุด เขาเดินไปรับสายอย่างไม่รีรอ หลังจากสนทนากับบุคคลปลายสายเพียงชั่วครู่ สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป แม่หันมามองคนในครอบครัวด้วยสายตาที่มีความวิตกกังวลปนหวาดกลัว

หลังจากวางสาย แม่เรียกพ่อบุญธรรมที่กำลังอบขนมขิงอยู่ในครัวให้เข้าไปคุยกันตามลำพังในห้องทำงาน เพียงครู่เดียวเท่านั้น ทั้งสองเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น ยังไม่ทันที่ฉันจะเอ่ยถามอะไร พ่อได้กล่าวว่า

"พวกเราได้รับคำเตือนให้เฝ้าระวังภัยอย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นอันตรายกำลังมุ่งหน้ามายังละแวกบ้านของเรา"

"พ่อกับแม่ไม่อาจบอกได้ว่ามันคืออะไร แต่เราต้องเตรียมพร้อมเพื่อความปลอดภัยของทุกคน"
แม่พูดเสริม

ได้ยินเช่นนั้นแล้ว ฉันตกใจมาก คิดว่าเป็นคำเตือนจากทางการหรือเปล่า เหตุใดพ่อกับแม่ถึงบอกรายละเอียดให้ฉันรู้ไม่ได้ ครั้นจะถามไปตอนนี้คงเสียเวลา ฉันจึงเอ่ยถามสิ่งที่ควรทำในตอนนี้เสียดีกว่า

"แล้วเราต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไรหรือคะ?"

แม่เป็นผู้จัดแจงหน้าที่ให้แต่ละคน ตัวฉันได้รับมอบหมายให้ตรวจเช็กความเรียบร้อยของประตูหน้าต่าง ส่วนพ่อจะเป็นคนไปเก็บเอกสารสำคัญในห้องทำงาน และแม่จะเป็นผู้อยู่ตรงห้องนั่งเล่นเพื่อสังเกตการณ์ภายนอก

ยังไม่ทันที่ทุกคนจะได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ฉับพลันกระจกชมวิวบานใหญ่ในห้องนั่งเล่นปรากฏแสงสีน้ำเงินสว่างวาบเป็นเงาของสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นมา ลักษณะคล้ายเซนทอร์ แต่ดูชั่วร้ายกว่ามาก

ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ พ่อกับแม่ของฉันถูกดึงเข้าไปในกระจก แล้วหายวับไปพร้อมกับสิ่งมีชีวิตลึกลับเหล่านั้น เหลือฉันไว้เพียงคนเดียวในบ้าน

เหตุการณ์สะเทือนใจที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้มีคำถามผุดขึ้นมามากมายในหัว เกิดอะไรขึ้น? สิ่งที่เห็นคืออะไร?

ฉันไม่รอช้ารีบวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน ร้อนรนเล่าเหตุการณ์ให้พวกเขาฟังด้วยความตื่นตระหนก แต่กลับไม่มีใครเชื่อคำพูดของฉันแม้แต่คนเดียว คิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นตามประสา 

เมื่อเห็นท่าไม่ดีฉันจึงรีบวิ่งกลับเข้าไปข้างในเพื่อใช้โทรศัพท์บ้านโทรหาทางการ แต่แล้วฉันกลับยิ่งประหลาดใจ เมื่อเจ้าหน้าที่ปลายสายไม่เอ่ยถามฉันสักคำ เขาบอกแค่เพียง

"จะส่งคนไปในไม่ช้า"

หลังจากนั้น 30 นาที เจ้าหน้าที่ของทางการได้เดินทางมาถึง พวกเขาไม่มีทีท่าตื่นตระหนก อีกทั้งยังไม่ตรวจสอบอะไรอีกด้วย เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามาแจ้งกับฉันว่า

"เธอต้องถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ...ที่อยู่ห่างไกลออกไป เนื่องจากตอนนี้เธอเป็นเยาวชนที่ไม่มีผู้ดูแล โรงเรียนแห่งนั้นจะคอยดูแลเธอเป็นอย่างดี เธอสามารถขนสัมภาระไปเท่าไหร่ก็ได้ตามต้องการ ส่วนเรื่องของพ่อแม่ไม่ต้องเป็นกังวล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางการ"

ฉันมีเวลาเก็บสัมภาระเพียงแค่ 1 วัน พรุ่งนี้ทางการจะส่งรถมารับ ความรู้สึกหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีเพียงแค่ความสับสน ฉันควรเศร้าโศกเสียใจไหม? ฉันต้องรู้สึกแย่กับมันหรือเปล่า? ฉันถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาระหว่างเก็บของที่จำเป็นลงกระเป๋าเดินทาง 

ไม่มีแม้แต่เวลาให้เตรียมใจ รู้ตัวอีกทีฉันก็นั่งอยู่บนรถสีดำคันใหญ่ที่กำลังแล่นอยู่บนถนนเสียแล้ว ฉันสะลึมสะลืองัวเงียจากการหลับใหลพลางคิดในใจ

"เผลอหลับไปตอนไหนกันนะ"

ทิวทัศน์และลักษณะของภูมิประเทศเปลี่ยนไป ไม่เหมือนละแวกชุมชนที่ฉันคุ้นเคย ต้นไม้ใบหญ้าดูเขียวชอุ่ม ข้างทางรายล้อมไปด้วยป่าเขา ฤดูหนาวหายไปไหนเสียแล้ว ไม่เห็นแม้แต่เงาของหิมะขาวโพลน

"ตื่นแล้วเหรอครับ อีกไม่กี่นาทีจะถึงโรงเรียนประจำ...แล้วล่ะครับ"

คนขับรถในชุดยูนิฟอร์มสีดำเอ่ยถามฉันอย่างเป็นมิตร ตัวฉันที่กำลังงุนงงอยู่กลับไม่ได้พูดตอบออกไป

ภายในหัวของฉันตอนนี้มันสุดแสนจะว่างเปล่า ไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นกับการเริ่มต้นใหม่ในที่แปลกถิ่นเช่นนี้ จะโรงเรียนประจำหรืออะไรก็ช่าง 

"ฉันคิดถึงครอบครัว"

เมื่อรถขับมาได้สักระยะหนึ่ง ป้ายโรงเรียนขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพร้อมกับลูกศรชี้บอกทางให้เลี้ยวเข้าไปยังเส้นทางบนถนนลูกรังเล็ก ๆ โรงเรียนแห่งนี้อยู่ลึกพอสมควร

"ถึงแล้วครับ ผมส่งถึงแค่ตรงนี้ จะมีเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนมาช่วยขนสัมภาระให้ครับ ขอให้มีความสุขกับชีวิตใหม่นะครับ..."

ครั้งนี้คนขับรถพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มเย็นยะเยือกจนดูน่ากลัวมาให้ ฉันยังคงไม่ตอบอะไรกลับไป ทำได้เพียงแค่ยิ้มรับอย่างฝืนใจ

เมื่อก้าวขาลงจากรถ เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนที่มีภาพลักษณ์เหมือนครูใหญ่ ได้เดินเข้ามาให้การต้อนรับและกล่าวคำทักทายอย่างเป็นมิตร พร้อมทั้งแนะนำ "วาลด์" ประธานนักเรียน ผู้ที่จะคอยให้คำแนะนำและข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโรงเรียนแห่งนี้

"ยินดีต้องรับสู่โรงเรียนประจำ...เชิญตามสบายนะคะคุณลูฟวร์ หอพักอยู่ทางฝั่งนู้น เดี๋ยวให้คุณวาลด์ช่วยนำทางไปนะคะ"

เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนในชุดยูนิฟอร์มสีดำที่คล้ายคลึงกับชุดของคนขับรถแต่ดูเรียบหรูกว่ามาก บอกกล่าวกับฉันอย่างอ่อนโยน

ตั้งแต่มาถึงฉันพยายามสังเกตบริเวณโดยรอบ ลักษณะของโรงเรียนค่อนข้างกว้างขวาง มีพื้นที่ใช้สอยพอสมควร นักเรียนอยู่รวมกันหลากหลายเชื้อชาติ มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

นักเรียนและเจ้าหน้าที่แต่งกายด้วยชุดยูนิฟอร์มที่คล้ายคลึงกัน แต่บางคนก็อยู่ในชุดไปรเวท ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้โรงเรียนนี้ดูน่าสนใจขึ้นมา

ฉันเดินตามวาลด์ไปอย่างกระฉับกระเฉงพร้อมกับแบกสัมภาระอันหนักอึ้งด้วยมือทั้งสองข้าง แม้ตอนลงจากรถจะมีเจ้าหน้าที่ช่วยคนขนของบางส่วนไปไว้ที่หอพักก่อนหน้านี้แล้ว กระเป๋าเดินทางสีชมพูลูกกวาดใบโปรดยังคงเป็นงานหนักสำหรับฉันอยู่ดี

"ให้ฉันช่วยไหม"

เสียงนุ่ม ๆ ของวาลด์โพล่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงันระหว่างเราทั้งสองคน

"ดีเลย ขอบคุณนะ" ฉันตอบกลับไปอย่าไม่รีรอ

ถ้าเป็นสถานการณ์อื่น ฉันคงจะหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีมากกว่านี้ แต่วาลด์ก็ดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร อีกอย่างหนักก็คือหนัก ฉันจะไม่แบกมันไว้คนเดียวเด็ดขาด

ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงยื่นกระเป๋าสีชมพูลูกกวาดไปทางวาลด์ สีหน้าของเขาดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็รับกระเป๋าไปอย่างไม่อิดออด

เมื่อเดินมาได้สักพัก เราทั้งสองมายืนอยู่หน้าอาคารไม้เก่า ๆ แวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือหอพักของนักเรียน โชคดีที่ฉันได้อยู่ชั้นหนึ่งจึงไม่ต้องเดินขึ้นลงให้เหนื่อย วาลด์แนะนำข้อปฏิบัติของการอยู่ในโรงเรียนให้ฟังเพียงเล็กน้อยก่อนจะขอตัวไปทำหน้าที่ต่อ

"แล้วพบกันใหม่นะคุณลูฟวร์" เขากล่าวคำลาก่อนจะเดินจากไป

ในที่สุดฉันก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องของตัวเอง หอพักที่นี่มีความพิเศษตรงที่ประตูห้องเป็นกระจกใส จึงมองเห็นภายในห้องได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ฉันชักไม่ชอบใจเสียแล้ว

ทันทีที่ฉันกำลังจะยกกระเป๋าเข้าไปในห้อง เสียงเล็ก ๆ ของเด็กคนหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลัง

"ไม่ได้สิ เธอจะขนกระเป๋าใบยักษ์นั่นเข้าไปในห้องนอนได้อย่างไรกัน" 

เจ้าของเสียงเป็นเด็กน้อยคนดำ ตัวเล็ก หน้าตาน่ารักน่าชัง แต่อายุก็ดูรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน

"เฮ้อ วาลด์ไม่ได้บอกก่อนเหรอว่าห้ามนำสิ่งของอย่างอื่นเข้าไปในห้องนอกจากตุ๊กตากับหนังสือน่ะ ทำหน้าที่ประธานนักเรียนได้ไม่ครบถ้วนแบบนี้ มีหวังโดนเจ้าหน้าที่อาวุโสตำหนิเอา"

เด็กคนนี้สบถออกมาด้วยความฉุนเฉียว ดูท่าทางจะหัวเสียมากเลย ฉันทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ 

ในขณะที่ฉันกำลังงุนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงของเด็กคนหนึ่งได้พูดแทรกขึ้นมา เมื่อหันกลับไปจึงพบว่า พวกเขาหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ คาดว่าน่าจะเป็นฝาแฝดกัน

"ขอโทษที่น้องชายของฉันเสียมารยาทนะ ฉันชื่อ เรเน ส่วนนี่ เปโตร"

"ท่าทางเขาคงไม่รู้จริง ๆ อย่าตำหนิเขาเลยนะเปโตร" เรเนหันไปพูดกับน้องชายก่อนที่จะหันมาพูดกับฉันอย่างอ่อนโยน

"ตามมาสิ เดี๋ยวพวกเราพาเธอไปเก็บสัมภาระเอง"

ฉันเดินตามเรเนกับเปโตรไปอย่างทุลักทุเล เมื่อเดินผ่านห้องพักไปไม่ไกล มีประตูทางเข้าห้องโถงใหญ่ซ่อนอยู่ในมุมมืด ภายในห้องมีความกว้างขวาง แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน ห้องน้ำ ห้องแต่งตัว และห้องซักล้าง ทั้งสองพาฉันเดินไปเก็บสัมภาระในตู้ของตัวเอง ซึ่งมีลักษณะใหญ่กว่าปกติ สามารถบรรจุของได้เยอะพอสมควร

"เด็กนักเรียนทุกคนในหอพักใช้ห้องนี้ร่วมกัน แบบไม่มีการแบ่งแยกเพศ เช่นเดียวกันกับห้องพัก ในหนึ่งห้องจะมีนักเรียน 10 คน คละกันไประหว่างชาย หญิง นอนไบนารี และอื่น ๆ" เปโตรอธิบายเพิ่มเติม

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรประหลาดใจเรื่องไหนก่อนระหว่างโรงเรียนประจำที่ดูโบราณคร่ำครึกลับไม่มีกรอบเรื่องเพศกับจำนวนของนักเรียนในแต่ละห้องที่มากเกินความจำเป็น ตามปกติเพื่อนร่วมห้องคงมีไม่เกิน 4 คน

เรเนกับเปโตรนั่งรอฉันจัดของเข้าตู้จนเสร็จเรียบร้อย พวกเราจึงเดินกลับไปยังห้องพัก เมื่อเปิดประตูเข้าไป เรเนชี้ไปที่เตียงนอนของฉันที่อยู่ด้านในสุด ผ้าปูที่นอนสีชมพูดูสะดุดตานั้น แวบแรกก็รับรู้ได้เลยว่าเป็นเตียงของฉันอย่างแน่นอน ข้างเตียงจะมีโต๊ะเล็ก ๆ สำหรับวางโคมไฟและมีลิ้นชักให้พอเก็บของได้เล็กน้อย แน่นอนว่าสิ่งที่สามารถนำเข้ามาในห้องได้มีเพียงเครื่องนอน หนังสือ และตุ๊กตา

ตอนนี้ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเปโตรถึงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ห้องนอนมีขนาดเล็กเกินกว่าจะบรรจุเตียงให้เพียงพอสำหรับ 10 คน ถ้าฉันยกกระเป๋าเข้ามาด้วยคงไม่มีทางเดินสำหรับสัญจรไปมา

ในห้องมีเตียงเพียง 5 หลัง ส่วนนอกนั้นจะเป็นการปูผ้าลงบนพื้นหลาย ๆ ชั้นจนดูนุ่มฟู แต่ถ้าเลือกได้ฉันคงขอนอนบนเตียงดีกว่า

หลังจากเห็นการจัดวางห้องพักที่แปลกประหลาดจนชวนหงุดหงิด ฉันจึงตัดสินใจเดินออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียหน่อย เนื่องจากวาลด์ได้เกริ่นเอาไว้ว่า วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียน ทำให้มีนักเรียนใหม่เดินเยี่ยมชมโรงเรียนกันอย่างคึกคัก

ฉันเดินทอดน่องไปตามทางเดิน ลัดเลาะสนามหน้าหอพักไปเรื่อย ๆ จนเจอเข้ากับกระท่อมไม้หลังเล็กตั้งอยู่ริมน้ำ ลักษณะยกสูงจากพื้นเล็กน้อย ด้วยความสงสัยว่ามันคือสถานที่อะไร ฉันจึงลองเดินเข้าไปสำรวจด้านใน ซึ่งมีนักเรียนคนอื่น ๆ เดินตามหลังมาประมาณ 3-4 คน

บรรยากาศภายในอึมครึมมีไฟสลัว การตกแต่งไม่หวือหวา ลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างพอประมาณ ไม่มีห้องยิบย่อย ตรงกลางมีรูปปั้นแปลกประหลาดขนาดย่อมตั้งอยู่ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยของเซ่นไหว้

ฉันสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นห้องสำหรับประกอบพิธีกรรมบางอย่าง บรรยากาศโดยรอบเริ่มวังเวงจนน่าขนลุก

ทันใดนั้น ฉันถูกแรงดึงดูดบางอย่างให้หลุดเข้าไปอยู่ในวังวนแห่งการฉายภาพครอบครัวของฉันตอนหายตัวไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ความรู้สึกที่อดทนอดกลั้นเอาไว้จึงปะทุขึ้นมา ฉันพุ่งเข้าไปทำลายแท่นบูชาจนเครื่องเซ่นที่วางอยู่โดยรอบกระจัดกระจาย มิหนำซ้ำยังเดินไปผลักรูปปั้นที่ตั้งอยู่กลางห้องให้ล้มกระแทกพื้นอย่างแรงจนแตกเป็นออกเสี่ยง ๆ ฉันรู้สึกดีมาก 

เมื่อฉันหลุดพ้นจากภวังค์นั้นได้กลับพบว่าภายในห้องมีนักเรียนมามุงดูกันมากมาย

"สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง มันไม่ใช่ภาพลวงตา"  

นักเรียนคนอื่น ๆ ดูท่าทางตกใจเล็กน้อย แต่สิ่งที่น่าแปลกคือไม่มีใครเข้ามาห้ามฉันแม้แต่คนเดียว

เพียงชั่วครู่เจ้าหน้าที่อาวุโสก็มาถึง เขาแสดงท่าทีนิ่งเฉย แต่ดูเหมือนกดอารมณ์โกรธไว้อย่างหนัก

“เพราะอะไรคุณลูฟวร์ถึงทำเช่นนี้? ” เขาถามเสียงแข็ง

“ตอนนั้นฉันรู้สึกไม่ดีค่ะ ในตอนแรกไม่มีเจตนาจะทำลาย เพียงแค่เกลียดความรู้สึกอึดอัด ฉันทำลงไปโดยที่ไม่รู้สึกตัว แต่ฉันกลับรู้สึกดีมาก ๆ ฉันไม่รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปเลยค่ะ" ฉันพูดโพล่งออกมาอย่างไม่คิด

“มันเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน บริเวณนี้จะต้องถูกเก็บกวาด เชิญพวกคุณออกไปข้างนอกได้แล้ว อีกสักครู่หอประชุมใหญ่จะมีพิธีต้อนรับ” เขาจึงตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์

ฉันกับนักเรียนคนอื่น ๆ จึงเดินออกจากตรงนั้นแต่โดยดี

เมื่อออกจากกระท่อมไม้แล้วมองตรงไปข้างหน้า จะเห็นเป็นต้นไม้ใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ริมน้ำ ฉันตัดสินใจมุ่งหน้าตรงไปทางเดินที่ทอดยาวขนานกับริมน้ำ แลดูเหมือนจะเป็นแม่น้ำเล็ก ๆ ภายในโรงเรียน รอบข้างมีต้นไม้ขึ้นสูงประปราย ส่วนอีกฝั่งของแม่น้ำจะเป็นป่าลึก

ตรงต้นทางมีตู้กดน้ำดื่มตั้งอยู่ ฉันรู้สึกอ่อนแรงและกระหายน้ำอยู่พอดี จึงเดินไปตรงไปทางนั้นหวังดื่มน้ำให้คลายความเหนื่อยล้าหลังจากเผชิญเหตุการณ์เมื่อสักครู่

ระหว่างที่ฉันกำลังหยิบแก้ว สายตาพลันเหลือบไปเห็นนักเรียนสองคนยืนคุยกันอยู่ตรงกลางทางเดิน ทั้งคู่มีผิวขาวซีด คนหนึ่งผมบลอนด์ส่วนอีกคนมีผมสีแดง เมื่อทั้งสองคนหันมาเห็นฉันที่มองอยู่ พวกเขาจึงแยกออกจากกัน นักเรียนที่มีผมสีบลอนด์เดินหลบไปทางริมน้ำ ส่วนอีกคนเดินตรงมาหาฉันพร้อมกับกล่าวคำทักทาย

"สวัสดี เธอเป็นนักเรียนใหม่ใช่ไหม เธอชื่ออะไรเหรอ ฉันชื่อ มอว์รีน ยินดีที่ได้รู้จักนะ" เขากล่าวคำทักทายพร้อมส่งรอยยิ้มที่แสนสดใสมาให้ฉัน

"เอ่อ...ฉันชื่อลูฟวร์ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน" ฉันตอบกลับไปอย่างเหนียมอาย

ในขณะที่เราทั้งสองคนกำลังพูดคุยทำความรู้จักกันอยู่ จู่ ๆ นักเรียนผมบลอนด์อีกคนก็โผล่มาทางข้างหลังของฉันพร้อมแก้วน้ำในมือ

“เห็นเธอกำลังจะกดน้ำ แต่หันมาเจอพวกเราเสียก่อนเลยไม่ทันได้ดื่ม ฉันจึงกดน้ำมาให้ เธอดื่มสิ” เขาพูดพร้อมยื่นแก้วน้ำมาทางฉัน

ฉันรับแก้วน้ำมาดื่มโดยไม่คิดอะไร เพราะรู้สึกกระหายน้ำอยู่พอดี เมื่อดื่มจนหมดจึงกล่าวขอบคุณเขาไป

"ขอบคุณนะ"

เมื่อมอว์รีนเห็นดังนั้นเขาจึงแนะนำให้เรารู้จักกัน

"มาพอดีเลย นี่เพื่อนสนิทของฉันเองชื่อ เดนีส์"

"เดนีส์ นี่ลูฟวร์นะ ทำความรู้จักกันสิ"

"ฉันเดนีส์ ยินดีที่ได้พบเธอนะ" เขาเอ่ยคำทักทายอย่างนุ่มนวล ฉันจึงตอบกลับไปด้วยความเคอะเขิน

"ยินดีที่ได้พบเช่นกันนะ"

พวกเขาทั้งสองคนมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกันคนหนึ่งสดใสร่าเริงราวกับพระอาทิตย์ในยามฤดูร้อน ให้ความรู้สึกเหมือนเดินรับลมอยู่ริมทะเล ทั้งสว่างจ้าและสดชื่นในเวลาเดียวกัน

ส่วนอีกคนก็อ่อนโยน นุ่มนวล และอบอุ่นเหมือนเตาผิงในยามฤดูหนาว ให้ความรู้สึกผ่อนคลายราวกับเวลานั่งจิบชาร้อนพร้อมกับแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้า

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดฉันถึงถูกชะตากับพวกเขาเป็นอย่างมาก หลังจากทำความรู้จักกันเรียบร้อยฉันพบว่าพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมห้องพักของฉันเอง เราจึงเดินไปร่วมงานพิธีต้อนรับด้วยกัน

พิธีต้อนรับจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ คล้ายกับงานปฐมนิเทศ แต่เรียบง่ายกว่ามาก มีครูใหญ่ขึ้นกล่าวคำต้อนรับสั้น ๆ ต่อด้วยการแนะนำชมรมจากเหล่านักเรียน ซึ่งทุกคนมีอิสระในการเลือกวิชาเรียนและชมรมอย่างเต็มที่

.

.

หลังจากวันนั้นพวกเราทั้งสามคนได้กลายเป็นเพื่อนซี้ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ด้วยความที่ฉันไปสร้างเรื่องเอาไว้ตั้งแต่เปิดเทอมวันแรก นักเรียนคนอื่น ๆ คงจะพอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของฉันอยู่บ้าง

เพื่อนร่วมหอพักคนอื่น ๆ ต่างก็เป็นมิตรและพูดคุยกับฉันอย่างดี ทำให้ฉันสนิทกับเพื่อนหลายคนมากขึ้น ไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ ฉันรู้สึกมีความสุขและสนุกสนานมาก ๆ จนแทบลืมเรื่องราวเลวร้ายที่ได้ประสบพบเจอมา

โรงเรียนแห่งนี้มีกฎค่อนข้างเคร่งครัดในเรื่องของระเบียบวินัย นักเรียนจะต้องเดินเรียงกันเป็นแถว ห้ามเดินเป็นกลุ่ม ถ้ามีการเรียกรวมระเบียบ นักเรียนทุกคนต้องออกมารวมตัวกันที่สนามหญ้าหน้าหอพัก เวลามีพิธีการอะไรทุกคนต้องเข้าร่วม

กลุ่มของพวกเราไม่เคยสนใจกฎเหล่านี้เลย เพราะฉันรู้สึกว่าไม่อยากทำ ซึ่งก็ไม่มีใครทำอะไรเราได้ เพราะมันเป็นสิทธิ์ของพวกเราที่จะตัดสินใจเลือกทำหรือไม่ทำด้วยตัวเอง

เจ้าหน้าที่ในโรงเรียนไม่เคยทำอะไรพวกเรา ถึงแม้โรงเรียนจะมีกฎ แต่กลับไม่ได้มีบทลงโทษในการละเมิดกฎ

"แหงล่ะ เจ้าหน้าที่จะทำอะไรได้ ไม่มีใครเดือดร้อนจากการละเมิดกฎนี่"

ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง การอาศัยอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนการถูกลงโทษไปในตัวแล้ว ไม่ต่างอะไรจากการถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา พวกเราไม่เคยได้ออกไปสู่โลกภายนอกอีกเลย สถานที่ท่องเที่ยว บ้านเรือนของผู้คน เป็นเหมือนฉากประดับที่อยู่ภายในรั้วของโรงเรียน

ยิ่งไปกว่านั้น ฉันได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วนักเรียนทุกคนล้วนเป็นบุคคลผู้รอดชีวิตจากการที่ครอบครัวหายตัวไปอย่างปริศนา แต่ละคนจะเห็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งมาพาคนในครอบครัวหายลับไปในกระจกเหมือนกันกับฉัน เมื่อเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ ทุกคนหาว่าเด็กอย่างเราฟั่นเฟือน

มีเพียงสถานที่แห่งนี้ ที่เปิดรับเด็กอย่างพวกเรา ไม่ใช่เพราะความเข้าใจ แต่เพราะงบประมาณจากทางการในการสร้างสถานที่สักแห่งไว้ให้เด็กอย่างเราอยู่ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

เด็กคนไหนที่ยังพอมีญาติคอยห่วงใยถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ ก็อาจช่วยคลายความโดดเดี่ยวไปได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่เด็กหลายคนก็ไม่เหลือใครเลยเช่นกัน

แน่นอนว่าไม่มีใครคิดที่จะอุปการะพวกเราไปอยู่ด้วย  เพราะเราเป็นเหมือนเด็กประหลาดและตัวโชคร้ายสำหรับคนทั่วไป ทางการจึงทำเป็นเหมือนหยิบยื่นน้ำใจให้พวกเราได้มาอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้

เด็กที่ทำผิดกฎของโรงเรียนจึงไม่ได้มีมากมายเท่ากับ "เด็กผู้สูญหาย" ที่ทางโรงเรียนอ้างว่า เป็นนักเรียนที่พยายามหนีหรือหลบหนีออกไปจากโรงเรียนได้สำเร็จ


จบ EP.1 Part 1