1 ตอน ตอนที่ 1 พี่ชายเพื่อน
โดย ปารณีย์
ตอนที่ 1 พี่ชายเพื่อน
ณ แผนกอาชญากรรมปฏิบัติการพิเศษ DIC
ภายในตึกสำนักงานที่คลาคล่ำไปด้วยตำรวจนอกเครื่องแบบ ทีมเทคนิค และเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ที่กำลังเดินไปเดินมาทั่วทั้งตึกด้วยภาระหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละคน ชั้นบนของอาคารแห่งนี้เป็นห้องทำงานของทีมสืบสวนพิเศษที่ได้ชื่อว่าเป็นทีมที่เชี่ยวชาญคดีฆาตกรรมที่สุดในประเทศนี้ เพราะไม่ว่าคดีที่ว่าจะซับซ้อนหรือสะเทือนขวัญเพียงใด ขอแค่ผ่านมือทีมสืบสวนชุดนี้ไม่มีคดีใดที่ปิดไม่ลง
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อสองวันก่อนทีมเพิ่งจะปิดคดีฆ่าหั่นศพนางแบบลูกครึ่งสาวลงได้ หลังจากที่มีคนพบชิ้นส่วนมนุษย์ถูกนำไปทิ้งไว้หลายจุดกระจายทั่วเมืองกรุง ก่อนที่การสืบสวนนำไปสู่การหายตัวไปของนางแบบแนวเซ็กซี่สาวรายหนึ่งซึ่งต่อมาพบว่าเธอเป็นเจ้าของชิ้นส่วนมนุษย์ที่มีการพบเจอตามข่าวก่อนหน้านี้
การสืบสวนนำไปสู่เบื้องหลังอันมืดดำของวงการบันเทิงแนวอีโรติกที่มีมากกว่าฉากหน้าที่แสนจะวาบหวิวรวมไปถึงความมืดดำและความอำมหิตในจิตใจของคนที่เรียกตัวเองว่า สัตว์ประเสริฐ
หมวดโชน หรือ ร้อยตำรวจโทชนวีร์ เอื้อมมือไปปิดแฟ้มคดีล่าสุดที่ตนเพิ่งส่งสำนวนให้อัยการเรียบร้อยเมื่อเช้านี้ลงด้วยความรู้สึกที่ทั้งโล่งใจและหนักอึ้งในใจ เขาทำงานสายนี้มานานปีแต่ก็ไม่เคยจะชินกับจุดมืดบอดที่ซ่อนอยู่ภายใต้จิตสำนึกที่อาจจะดูสงบนิ่งของมนุษย์ ราวกับน้ำในบึงลึกที่ไร้ระลอกคลื่นผิวน้ำที่นิ่งสงบไม่อาจบอกถึงความลึกที่ดำดิ่งของก้นบึงว่าใต้ผิวน้ำนั้นได้ซ่อนปีศาจร้ายเอาไว้มากมายแค่ไหน
“ส่งเอกสารให้อัยการแล้วใช่ป่ะไอ้โชน” ปัณณวัฒน์ หรือ ผู้กองปั้น เยี่ยมหน้ามาถามในจังหวะที่กำลังจะเดินผ่านหน้าห้องทำงานของชนวีร์ไป
“ครับ เรียบร้อย แล้วนั่นผู้กองหอบอะไรมา อย่าบอกนะครับว่าคดีใหม่” ชนวีร์ถาม สีหน้าหวาดผวานิดหน่อย เพราะเขายังไม่ได้นอนเลยสองสามวันนี้ ถ้ามีมาเพิ่มอีกคดีแบบต่อเนื่องอย่างนี้ สงสัยต้องโทรไปบอกแม่ว่าเขาจะซื้อประกันชีวิตเพิ่ม กะว่าถ้าตายในหน้าที่คนข้างหลังจะได้สบายไปทั้งชาติ
“ไม่เชิงว่ะ แต่จะได้ทำคดีนี้ไหมคอยดูไปก่อนแล้วกัน แล้วนี่เก็บของจะกลับบ้านหรือวะ” คนเป็นหัวหน้าถามเมื่อสายตาเห็นว่าลูกน้องเก็บโต๊ะทำงานเรียบร้อยเหมือนจะเตรียมเผ่น
เพราะพวกเขาเป็นหน่วยพิเศษ ไม่ได้มีหน้าที่ต้องอยู่เฝ้าตึกสำนักงานเพียงแค่ต้องสแตนด์บายเอาไว้เผื่อฉุกเฉินตลอดเวลาทำให้ถ้าไม่มีงานค้างอะไรบางทีก็กลับกันก่อนได้ ยิ่งหลังจากปิดคดีเรียบร้อยแล้วแบบนี้ยิ่งไม่ต้องห่วง ที่ยังเห็นชนวีร์อยู่ภายในตึกนั่นก็เพราะว่าวันนี้ต้องส่งสำนวนให้อัยการเท่านั้นแหละถึงได้ยังเห็นหมวดโชนนั่งหัวโด่อยู่ในออฟฟิศ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เห็นเงาของชายหนุ่มนั่งอยู่ตรงนี้หรอก
“เอ้า ไอ้ปั้น? กูนึกว่ามึงกลับไปแล้วเสียอีกยังอยู่อีกเหรอ แล้วนั่นหอบอะไรมากูไม่เอาแล้วนะคดีจะอ้วก” เสียงทักทายที่ดังมาจากทางด้านในซึ่งเป็นทิศทางไปยังห้องทำงานของปัณณวัฒน์ทักขึ้น พร้อมร่างสูงที่ก็ยังเตี้ยกว่าผู้กองปั้นอยู่เล็กน้อยของ ผู้กองอินทร์ อินทัช ที่เดินออกมาจากทางนั้นด้วยสภาพหัวฟูไปฉีกหนึ่ง หนึ่งในคู่หูรักยมของสารวัตรฐากรนั่นเอง
“สภาพ? ...มึงหลับในห้องมาอีกแล้วใช่มั้ย”
“เออดิ กูไม่ได้นอนจะครบ 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว ไม่ใช่มึงนะถึกเป็นควายเผือก!”
“สัด มึงบอบบางมากมั้ง จะไปไหนก็ไปอย่าลืมแวะหาอะไรแดกก่อนเข้าคอนโดด้วยล่ะ เดี๋ยวเกิดโมโหหิวเผลอแดกคนข้างทางขึ้นมากูสงสารชาวบ้าน”
“พ่องมึงไอ้เหี้ย กูไปแล้ว ง่วง” ว่าแล้วเพื่อนสนิทของปัณณวัฒน์ก็เดินจากไปด้วยอาการงัวเงียเหมือนคนพึ่งตื่นไม่สนใจจะทักทายชนวีร์สักคำและไม่ถือสาวาจาที่ฟังไม่รื่นหูนักของเพื่อนสนิทเพราะนี่ก็ถือว่าปกติของคู่นี้เขาแหละ รักกันดีตีกันตาย ดูท่าทางแล้วคงง่วงจัดอย่างปากว่า
“สภาพแบบนั้นจะขับพ้นรั้วหน้าสำนักงานไหมครับ” ชนวีร์มองตามอย่างนึกห่วง เพราะถึงเขาจะเป็นคนหน้าง่วงอยู่ตลอดเวลา แต่กับอินทัชแบบนั้นเรียกง่วงจริงจัง
“ไม่พ้นก็เรื่องของมัน รถมันไม่ใช่รถกู แต่รถราคาหลายล้านอยู่ไม่น่าตายไวเพราะแค่ขับไปเสยขอบรั้วสำนักงานหรอกมั้ง” ว่าเสร็จก็เดินกลับห้องทำงานของตัวเองหน้าตาเฉยไม่สนใจคู่หูของตนสักนิด บางทีชนวีร์ก็สงสัยสองคนนี้เขาเป็นเพื่อนสนิทกับแบบไหน เป็นห่วงเป็นใยกันแบบกาสะลองกับซ้องปี๊บอะไรทำนองนั้นอย่างนี้เหรอ หรือยังไง?
Rrrrrr.... มือถือของชนวีร์ดังขึ้นแทบทันทีที่ร่างสูงของปัณณวัฒน์เดินพ้นสายตาไป ปรมะ คือชื่อที่ปรากฏอยู่หน้าจอ
“ว่า?”
[เลิกงานยัง]
“เอาเวลาราชการก็ยังหรอก แต่งานกูเสร็จแล้วเดี๋ยวจะกลับบ้านนอน กูคิดถึงเตียงที่บ้านฉิบหายตอนนี้”
[ดีเลย กูโทรหาอั้มมันยังส่องกล้องจุลทรรศน์อยู่ในแล็บโน่น ถ้ามึงจะกลับกูวานที แวะซื้อยาเข้าไปส่งไอ้อ้นให้กูหน่อย เดี๋ยวพี่กูแม่งตายคาบ้าน]
ปรมะ หรือ ไอ้ปอ บางทีก็เรียก ไอ้มะ เพื่อนสนิทคนหนึ่งของชนวีร์ที่เป็นคอมมานโด
“พี่อ้น? แกเป็นไรวะ”
[ปวดท้อง...อาหารเป็นพิษน่ะ ไม่รู้อุตริไปแดกอะไรผิดสำแดงมา อ้วกแดกตั้งแต่เมื่อวานเมื่อเช้าบ่นปวดท้อง กูบอกให้ไปหาหมอก็บอกมียาเก่าเหลืออยู่ กูโทรหาก็เสือกบอกกูยาหมด จะสั่งแกร๊บกูก็กลัวซื้อไปไม่ถูก โทรหาไอ้อั้มมันยังไม่ว่าง มึงจะกลับพอดีกูวานหน่อย เดี๋ยวพี่กูตายห่าคาบ้านไปจริงๆ]
“นี่มึงกำลังห่วงพี่มึงจริง? กูเข้าใจถูกไหม” ฟังจากรูปประโยคนี่เรียกว่าห่วงแล้วถูกไหม ไหนความอ่อนโยน?
[ถูก]
“เออๆ ...เอาที่มึงว่า เดี๋ยวกูเข้าไปดูให้”
[ขอบใจมึง...] แล้วสายก็ถูกตัดไปโดยคนที่เป็นฝ่ายโทรเข้ามา
ชนวีร์ไม่ได้ว่าอะไรคว้ากุญแจรถพร้อมกระเป๋าเป้คู่ใจขึ้นสะพายบ่าแล้วลุกออกจากห้องไปทันทีเพราะตอนนี้เขาเองก็ง่วงเต็มทีแล้ว อย่างที่ผู้กองอินทร์พูด พวกเขาอดนอนมาจะ 24 ชั่วโมงอยู่แล้วไม่ง่วงยังไงไหว คนที่ไหวก็เห็นจะมีแต่ผู้กองปั้นนั่นแหละ
ใครไหวไม่รู้ แต่กูไม่ไหวแล้วครับ
บ้านของปรมะจะว่าเป็นทางผ่านไปบ้านของชนวีร์ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เรียกว่าอยู่ในละแวกใกล้เคียงกันที่พอจะแวะไปให้ได้ไม่เป็นปัญหา ถึงจะง่วงแต่ชนวีร์ก็ไม่ได้เพลียถึงขนาดช่วยทำตามคำไหว้วานของเพื่อนไม่ได้ ความคุ้นเคยของผู้หมวดหนุ่มกับบ้านนี้มีมากพอที่เจ้าตัวจะเปิดประตูรั้วแล้วเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในบ้านอย่างถือวิสาสะเพราะเขาเข้าออกที่นี่บ่อยครั้งจนชินตาคนแถวนี้
“อ่ะ...” ผู้หมวดหนุ่มยื่นถุงยาที่แวะซื้อมา ให้กับพี่ชายเพื่อนที่กำลังนั่งละเลียดโจ๊กในชามด้วยสีหน้าพะอืดพะอมเหมือนโดนบังคับให้กลืนยาขม จากกลิ่นที่ลอยอวลอยู่ในอากาศรู้เลยว่านั่นเป็นโจ๊กซองกึ่งสำเร็จรูปอย่างแน่นอน
“อะไร?” คนเป็นพี่เงยหน้าขึ้นมามอง
“ยา ไอ้มะมันโทรไปบอกว่าพี่ชายมันอาการร่อแร่ให้เอายาให้หน่อย กลัวพี่มันตายคาบ้านได้ข่าวว่าอาการปางตาย”
“สัด! ที่หน่วยมึงไม่ได้ให้อาหารหมาในปากหรือไงมาถึงก็เห่าเลย”
“ให้ แต่ช่วงก่อนมีคดีเลยไม่ได้ออกมาโลดแล่น”
“เห็นกูเป็นสนามฝึกหมาตำรวจหรือไง”
“ก็ได้อยู่นะ พอได้อยู่”
“กวนตีนไอ้โชน เดี๋ยวมึงจะโดนตีน”
“มีแรงลุกมาเดินก่อนเหอะ แล้วนี่ไปแดกอะไรมาถึงได้อาหารเป็นพิษได้ น้ำหน้าอย่างพี่มึงยังมีอะไรทำร้ายได้ด้วยหรือวะ แค่แดกก็ล่อซะหมดสภาพได้ขนาดนี้”
“กูแค่อาหารเป็นพิษ ไม่ได้เป็นผู้ป่วยติดเตียงมึงก็พูดเหมือนกูใกล้ตาย”
“สภาพก็ถือว่าได้อยู่นะ” โต๊ะกินข้าวบ้านนี้เป็นแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั่งได้สี่คนชนวีร์ว่าพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออกนั่งประจันหน้ากับคนป่วย
พี่อ้น หรือก็คือ นาวาอากาศโทอรรคพันธ์ ผู้ฝูงอ้น ที่ใคร ๆ เรียกเป็นพี่ชายคนเดียวของปรมะพี่น้องสายโหด ปรมะกับอรรคพันธ์เป็นคู่พี่น้องที่เบ้าหน้าไม่ได้กระเดียดไปทางเดียวกันสักนิด อาจจะเพราะหน้าตาของคนพี่ดันไปละม้ายคล้ายคนเป็นตาที่เสียไปแล้วมากกว่าจะเหมือนพ่อหรือแม่ตามที่เพื่อนสนิทของเขาเคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งที่เขาเคยทักท้วงเรื่องนี้ตอนที่ได้มีโอกาสเจอพี่ชายเพื่อนเป็นครั้งแรก
แต่มาตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาชวนมองที่มักจะมีความเข้มขรึมเพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยยิ้มกำลังซีดเผือดเนื่องจากอาการป่วยที่เกิดขึ้นในสองวันที่ผ่านมาตามที่ปรมะเล่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ลดทอนความน่ามองของใบหน้านี้ลงแม้แต่น้อยจนอดหมั่นไส้ไม่ได้
ป่วยยังไงให้ยังดูหล่อวะ งงใจ
“แล้วนี่มึงเลิกงานแล้วเหรอ” อรรคพันธ์ดันชามโจ๊กตรงหน้าออกให้ห่างตัวหลังจากที่พยายามกล้ำกลืนฝืนตักมันเข้าปากไปได้ไม่กี่คำตามที่ชนวีร์เห็นอีกมือก็หยิบถุงยาที่เขาถือมาให้ไปเปิดดู
“โดดออกมาผมง่วง พี่มึงจะแดกแค่นี้จริงดิ”
“เออ กูไม่ค่อยชอบกินโจ๊ก”
“ไม่แดกอะไรก่อนเดี๋ยวยาก็กัดกระเพาะตายห่า กินอีกสักหน่อยเหอะได้สักครึ่งถ้วยก็ยังดี” ชนวีร์บอกเพราะเท่าที่เห็นไอ้พี่นี่มันไม่น่าเรียกกิน เรียกแมวดมยังดูเยอะไปเลยเหอะ
“ก็กูไม่ชอบ”
“พี่มึงนี่ก็พูดยากเหมือนกันเนอะ มานี่!เดี๋ยวกูป้อน” ชนวีร์พูดอย่างอดหงุดหงิดไม่ได้ ป่วยแล้วยังไม่อยากรีบหาย ข้าวไม่แดกเดี๋ยวได้ตายเพราะขาดน้ำขาดสารอาหารก่อนกันพอดียิ่งอาการของอาหารเป็นพิษ เดาว่าก่อนหน้านี้พี่ชายเพื่อนคงทั้งอ้วกทั้งถ่ายจนหมดสภาพแน่นอน คนที่ทั้งชีวิตคอยเป็นคนดูแลน้องเล็กอย่างอัมพิกาไม่ว่าจะตอนป่วยหรือตอนปกติ ทำให้พอเห็นท่าทางของพี่ชายเพื่อนแบบนั้นแล้วมันอดไม่ได้จริง ๆ
“กูเป็นเด็กเหรอไอ้โชน” อรรคพันธ์ว่าเมื่อเห็นท่าทางเอาจริงของชนวีร์ และอีกฝ่ายทำตามที่พูดด้วยการย้ายมานั่งเก้าอี้ตัวข้างกันแถมยังดึงชามโจ๊กไปไว้ตรงหน้าตัวเอง มือหนึ่งก็ตักโจ๊กขึ้นมาจ่อที่หน้าของตน
“เออสิ แดกๆ เข้าไป เร็ว” ชนวีร์ขยับช้อนไปใกล้ที่ปากคนป่วยอีกนิด เขาดูแลอัมพิกาจนชินเรื่องแค่นี้สบาย
“กูไม่ชอบแดกโจ๊ก” อรรคพันธ์เบ้หน้าใส่ เขาเป็นพวกไม่ถูกโรคกับอาหารประเภทนี้ ยิ่งตอนนี้ในปากมันมีรสเฝื่อนขมเพราะพิษไข้ต่ำ ๆ ที่เกิดจากการท้องร่วงและอาเจียนมาสองวันยิ่งทำให้เขาไม่อยากจะกลืนเจ้าสิ่งนี้ลงคอยิ่งขึ้นไปอีก แต่ที่ลุกขึ้นมาต้มโจ๊กซองกินก็เพราะรู้สึกปวดท้องขึ้นมาเนื่องจากท้องว่างเลยอยากหาอะไรรองท้องเสียหน่อยแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่กิน
“กูไม่ได้ถามว่ามึงชอบไม่ชอบหรอกพี่ กูแค่บอกว่าในท้องมึงต้องมีอะไรบ้างเดี๋ยวยากัดกระเพาะมึงจะปวดท้องทรมานมากกว่าเดิม แดกๆ เข้าไปเหอะ ไม่งั้นกูจับกรอกปากมึงแน่” เป็นการดูแลคนป่วยที่เหมือนจะฆ่าคนป่วยมากกว่าละนะ
แต่เพื่อให้มันจบๆ อรรคพันธ์ยอมอ้าปากรับโจ๊กเข้าไปแต่โดยดี ไม่เถียงอะไรอีกและคนป้อนก็ป้อนไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นด้วยสีหน้าแววตากดดันแกมขู่เข็ญให้ความรู้สึกว่าถ้าเกิดอรรคพันธ์อิดออดขึ้นมาอีกคราวนี้ไอ้หมวดมันน่าจะยกชามโจ๊กรดหัวเขาแทนการป้อน รู้ตัวอีกทีโจ๊กจืดๆ ในความคิดของอรรคพันธ์ก็พร่องลงเกินครึ่งถ้วยแล้ว ซึ่งพอดีกับที่คนป่วยเองก็โบกมือบอกให้รู้ว่าตนกลืนไม่ไหวแล้วจริง ๆ คนป้อนจึงยอมตามใจเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายกินไปได้เยอะพอสมควรแล้ว
“นี่ยา” ผู้หมวดหนุ่มส่งยาตามที่เภสัชแนะนำมาให้กับคนป่วยที่สีหน้าดูเหมือนจะกำลังทรมานซึ่งมันดูแย่กว่าตอนเขามาถึง
“เป็นอะไร”
“ปวดท้องว่ะ”
“กินยาแล้วไปนอนพัก” คราวนี้อรรคพันธ์ไม่ได้แย้งอะไรรับยามาแล้วก็กินอย่างว่าง่าย ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปนั่งเอนตัวอยู่ข้างกันที่โซฟาตัวใหญ่หน้าทีวี ในขณะที่เจ้าของบ้านทำการเปิดซีรีส์เกาหลีแนวสืบสวนเรื่องหนึ่งเอาไว้ ไม่ได้มีบทสนทนาอะไรระหว่างคนทั้งสองหลังจากที่ชนวีร์ตัดสินใจอยู่เป็นเพื่อนคนป่วยระหว่างรอเพื่อนสนิทของตนกลับมาบ้าน
ความง่วงสะสมที่ร่างกายมีทำให้หลังจากที่ซีรีส์ฉายไปได้ไม่นานนักชนวีร์ก็เดินทางเข้าพบพระอินทร์เป็นที่เรียบร้อยไม่ต่างอะไรกับคนป่วยที่ผล็อยหลับไปเพราะร่างกายที่อ่อนเพลียเช่นกัน
ปรมะยืนมองภาพตรงหน้าของตนด้วยความรู้สึกไม่รู้จะบรรยายยังไง เขาเข้ามาถึงบ้านค่อนข้างเร็วกว่าปกติถ้าเทียบกับทุกวัน ส่วนหนึ่งเพราะห่วงคนเป็นพี่แต่เมื่อมาถึงยังเห็นรถของชนวีร์จอดอยู่หน้าบ้านก็นึกขอบคุณเพื่อนรักอยู่ในใจที่อยู่เป็นเพื่อนคนป่วยแทนตน แต่พอร่างสูงสมส่วนของผู้หมวดคอมมานโดก้าวพ้นประตูบ้านเข้ามาถึงห้องนั่งแล้วต้องมาเจอว่า
ทั้งพี่ชายทั้งเพื่อนสนิทกำลังนั่งหลับศีรษะพิงกันดูหน้าจอโทรศัพท์ที่ตอนนี้เนื้อหาของซีรีส์กำลังเข้มข้น สีหน้าของแต่ละคนทำให้เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองควรเอาอย่างไรต่อดี คนหนึ่งหน้าซีดเซียวเพราะป่วยมาสองวัน อีกคนสีหน้าอ่อนล้าคงเพราะอดนอน และมันทำให้ปรมะไม่แน่ใจว่าควรปลุกทั้งคู่ดีหรือเปล่า ก็เนี่ยอีกนิดมันจะนอนกอดกันแล้วนะเว้ย
ไรท์ // ความสัมพันธ์ประเภท รักกันดีตีกันตาย อ่ะแก๊งนี้
เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ในดิคนะคะทุกคน ถ้าใครอ่าน DIC มาจะรู้ว่าชนวีร์แอบซุกผู้ชาย และใช่ค่ะไอ้คนนั้นมันก็คือ อีอ้น คนนี้นี่เอง เรื่องนี้จะเล่าที่มาที่ไปของผู้ชายในความลับของหมวดโชน หลายๆ คนที่ผ่านดิคมา น่าจะพอเดาได้ว่าทำไมชนวีร์ไม่เคยบอกใครเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับเดิมพันหาแฟนนะคะ เรื่องนั้นปรมะมันหาเรื่องจับผิดชาวบ้านเฉยๆ
และ ปล. ใครที่ไม่ใช่สาย NC โปรดหลีกเลี่ยงตอนที่ไรท์แปะคำเตือนเอาไว้นะหลังจากนี้ ส่วนคนที่คุ้นชินกันแล้วไรท์ไม่ใช่สาย PWP เรื่องนี้น่าจะ Soft กว่าแต่อาจจะติดไปทางโจ่งแจ้งกว่าเรื่องที่ผ่านๆ มา (มันมีเรื่องไหนที่ไม่โจ่งแจ้งด้วยเหรอวะ?) ย้ำอีกที ชนวีร์อาจจะเป็นสมาชิกดิคแต่เรื่องนี้จะไม่มีการสืบสวนใดๆ ทั้งนั้น เน้นชีวิตประจำวันของตัวละครและความสัมพันธ์ของคู่หลักเท่านั้น ใครรักแนวสืบสวน วางไว้แป๊บเนอะ แหะ
Comments (0)