1 ตอน EPISODE 1 : หลังความตาย
โดย MidnightSaMa ʚ♡ɞ
EPISODE 1 : หลังความตาย
หากว่านี่คือความฝัน...
ผมก็ยินดีที่จะหลับไปตลอดกาล
5.59 p.m.
สายลมอ่อนๆ ในช่วงยามเย็นที่พระอาทิตย์คล้อยจะลับฟ้าไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ปะทะเข้ากับร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียง ใบหน้าที่มัวหมองไร้ซึ่งความสุข เงยขึ้นแล้วพ่นควันสีขาวขุ่นออกมาให้ลอยล่องไปในอากาศ
บุหรี่มวนแรก...และมวนสุดท้ายของวันนี้
ติ๊ก ต่อก
ติ๊ก ต่อก
บรรยากาศเอื่อยๆในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นั้นช่างเงียบงัน... เงียบจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาที่กำลังทำหน้าที่ของมันอยู่ หรือได้ยินแม้กระทั่งเสียงเครื่องปรับอากาศภายในห้องของเขา ที่ใกล้จะพังเต็มที
เขาขยี้บุหรี่ลงบนราวระเบียง ยกมือบิดตัวอย่างขี้เกียจ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง ไล่ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในหอพักให้หมด ปลั๊กทุกอย่างก็ถอดออก ไม่เว้นแม้แต่ตู้เย็น วาล์วน้ำ หรือเบรกเกอร์ไฟฟ้า อย่างน้อย ตอนเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ จะได้ไม่ต้องตั้งข้อสงสัยอะไรมาก
ใช่...เพราะเขากำลังจะฆ่าตัวตาย ที่นี่...ที่ห้องของเขา
ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะคิดสั้นขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ช่วงนี้ชีวิตเขามันมรสุมรุมเร้ามาก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ด่วนจากไปเพราะอุบัติเหตุรถชน หนี้สินหลายล้านบาทของพ่อที่เขาต้องเป็นคนใช้หนี้แทน ไหนจะบ้านที่โดนธนาคารยึดไปอีก ทำให้ต้องย้ายมาเช่าห้องรูหนูเก่าๆ โทรมๆ นี่คนเดียว
ไม่รู้จะเรียกว่าโชคร้ายหรืออะไรดี
ดวงตาที่แฝงไปด้วยความเศร้าหมอง จดจ้องไปที่ท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอมม่วงแล้ว ก่อนจะเดินไปที่ระเบียง เป็นพอดีกับที่ข้างห้อง เปิดเพลงหนึ่งขึ้นมา
You step a little closer each day
That I can’t say what’s going on
เธอก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นทุกวันๆ
และฉันก็พูดไม่ถูกว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
“พระเจ้าครับ…หรือยมทูตก็ได้ ก่อนจะกระโดด ผมมีเรื่องจะขอร้อง”
สองแขนจับขอบระเบียงเอาไว้ สองเท้ากางออกตั้งหลักให้มั่น…อย่างกับว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองจะต้องมาจบชีวิตแบบนี้ ตอนซื้อห้องที่หอพักแห่งนี้ถึงได้เลือกชั้นที่สูงที่สุด
Life taught me to die
so it’s not hard to fall
ชีวิตสอนฉันให้ตาย
มันไม่ยากเลยที่จะร่วงลงมา
Damien Rice – Cannonball
“ถ้าผมตายไปจริงๆ ได้โปรด...อย่ามอบชีวิตให้ผมเป็นครั้งที่สองนะครับ”
ชายหนุ่มพูดอ้อนวอนแกมคำสั่ง ก่อนจะปล่อยมือออกจากระเบียง ให้สายลมนำพาร่างเขากลับสู่พื้นดิน วิวทิวทัศน์ในยามค่ำคืนขณะที่ร่วงจากฟ้านั้นไม่เลวเลยทีเดียว...เขาคิด
“ลาก่อนโลกใบนี้”
“วิญญาณชุด C ดวงที่ 589,732 เพศชาย ชื่อเรย์ อายุ 28ปี ตายโดยการกระโดดลงมาจากหอพักชั้น 11”
“….”
“ชีวิตมันแย่ขนาดนั้นเลยรึ”
เสียงต่ำแหบพร่าของใครบางคนเอ่ยถามผมภายใต้ความมืดมิด กลิ่นหวานที่เจือจางลอยมากระทบโสตประสาท ทำให้เปลือกตาบางต้องลืมตาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ทัศนียภาพด้านหน้าคือถนนทางเดินที่ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อขยับสายตามาด้านข้าง ก็เจอกับชายร่างสูงคนหนึ่ง ใส่ผ้าคลุมสีดำสนิทมีฮู้ดปกปิดใบหน้าเอาไว้ รอบกายของเขานั้นมีผีเสื้อเรืองแสงหลากสีสันบินรอบๆ ตัวเขา แสงที่ออกมาจากผีเสื้อพวกนั้น ทำให้ผมเห็นว่ามุมปากเขากำลังยกยิ้มอยู่
เมื่อผมก้มลงมองสภาพตัวเอง ก็พบว่ามีคราบเลือดและรอยแผลเหวอะหวะเต็มไปหมด
“ที่นี่คือโลกหลังความตายเหรอครับ”
ผมเอ่ยถามเขาเสียงเบา ไม่ได้ตกใจเท่าไหร่ที่ตัวเองมาโผล่ในสถานที่แบบนี้
ชายคนนั้นนิ่งไม่ตอบผม แต่กลับยกมือขึ้น เอื้อมไปแตะผีเสื้อตัวหนึ่ง ทันใดนั้น ผีเสื้อตัวนั้นก็บินมาทางผม ปีกของมันขยับที ก็มีละอองแสงออกมาเป็นจังหวะ
สวยงามราวกับอัญมณีที่มีชีวิต
“คุณเป็นใคร…เป็นยมทูตอะไรแบบนี้เหรอ?”
“จะเรียกอะไรก็แล้วแต่เจ้าเถอะ ข้าชื่อ เฟลิเบอาร์ เดโอ ลูคัส เป็นผู้นำทางวิญญาณที่หลงทาง และเจ้าก็เป็นดวงวิญญาณดวงสุดท้ายของวันนี้พอดี” เขาพูดอย่างกับว่ามันเป็นเรื่องน่ายินดีมากที่ผมเป็นคนสุดท้ายของวันนี้ ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กลิ่นเลือดที่มาจากแผลบนร่างกายทำเอาฉุนจมูกอยู่เหมือนกัน
“คุณอาจจะไม่ทราบนะ แต่ก่อนที่ผมจะกระโดดลงมา ผมขอให้ตัวเองไม่ต้องไปเกิดใหม่…คุณช่วยทำให้ผมไม่ต้องไปเกิดได้ไหม”
รอยยิ้มเมื่อครู่ของยมทูตตรงหน้าค่อยๆ จางหายไปหลังจากคำขอของผมจบลง
“ไม่คิดว่าคำขอของเจ้ามันเห็นแก่ตัวไปหน่อยรึ” เสียงต่ำของเขาเอ่ยออกมาราวกับไม่พอใจ เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากความมืด เปิดมันออกแล้วพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดลงที่หน้าเกือบสุดท้าย
“พวกมนุษย์นั้นช่างน่าสนใจ” มือเขาเอื้อมขึ้นไปหาผีเสื้ออีกครั้ง คราวนี้เขากำผีเสื้อเอาไว้แน่นจนผีเสื้อตัวนั้นกลายเป็นละอองแสง พอแบมือออกกลับกลายเป็นปากกาสีทองด้ามหนึ่ง เขาลงมือเขียนอะไรบางอย่างลงบนสมุดเล่มนั้น โดยที่ริมฝีปากก็ยังคงพูดต่อ
“บางคนสิ้นอายุขัยไปแล้ว กลับอยากมีชีวิตต่อ ในขณะที่บางคนอายุขัยยังมีเหลือแต่กลับอยากจบชีวิต….สำหรับข้าที่เป็นคนนำพาวิญญาณ คำขอของเจ้าใช้กับข้าไม่ได้หรอกนะ”
“แหม…หยวนๆ ไม่ได้เหรอครับ ไหนๆ ก็เป็นดวงสุดท้ายของวันนี้” ผมบ่นอุบอิบโดยที่ไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย เอาจริงๆ สภาพร่างกายของผมตอนนี้น่ากลัวกว่าเขาเยอะ
“ดื้อดึงเสียจริง…แต่ขอแสดงความยินดีปนเสียใจด้วยนะเจ้าหนูมนุษย์ เจ้าจะได้ไปเกิดใหม่ในร่างของลูกชายมหาเศรษฐีคนหนึ่ง”
“...แล้วมันน่าเสียใจยังไงครับ”
“ลูกชายมหาเศรษฐีคนนี้ป่วยเป็นโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ และจะสิ้นอายุขัยภายใน 2ปีข้างหน้า นับจากนี้...มันเป็นผลกรรมที่เจ้าคิดฆ่าตัวตายยังไงล่ะ แม้จะได้ไปเกิดใหม่ แต่ก็ยังมีชะตาที่ต้องชดใช้กรรม...ฆ่าตัวตายน่ะมันเป็นบาปหนา ที่โรงเรียนเขาไม่สอนกันรึไง”
ร่างสูงพูดซะยาวเหยียด ทำเอาหัวผมหมุนไปพักใหญ่ เขาทิ้งสมุดลงไปด้านล่างให้มันหายไปกับความมืดรอบตัว ก่อนจะสาวเท้าก้าวเข้ามาหาผมจนกระทั่งระยะห่างของเรามีไม่ถึงหนึ่งเมตร รูปร่างผอมสูงที่น่าจะสูงเกินสามเมตร ก้มลงมาหาผม จนผมสามารถมองเห็นรูปหน้าของเขาภายใต้ฮู้ดนั่นได้
ให้ร่างใหม่ทั้งที ทำไมมันถึงได้ย่ำแย่กว่าเก่าล่ะ…
“ถ้าเจ้าตายช้ากว่านี้อีกสักสองอาทิตย์ ก็อาจจะไม่ต้องไปเกิดใหม่ก็ได้…แต่เผอิญเดือนนี้มันเป็นเดือนของข้า”
ยามที่เขาระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาสีโกเมนที่ดูมีเสน่ห์ ก็สว่างขึ้นจนกลายเป็นสีแดงสด
“ก็ถ้าตายเดือนหน้า ผมก็ต้องโดนเจ้าหนี้ทำร้ายไปอีกเดือนน่ะสิ…” ผมพูดขึ้นมาเสียงเบาพร้อมกับหลบสายตาที่แสนจะทรงเสน่ห์นั่น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจผมเลยสักนิด
“ดูเหมือนจะได้เวลาแล้ว”
“เดี๋ยวสิครับ อย่างน้อยก็ขอร่างดีๆ…”
“ด้วยเกียรติของผู้นำทางลำดับที่ 1 เฟลิเบอาร์ เดโอ ลูคัส ขอนำพาวิญญาณดวงนี้ ไปสู่โลกใบใหม่”
สิ้นเสียงคำสั่งอันทรงพลังของชายตรงหน้า เหล่าผีเสื้อที่บินอยู่รอบตัวเขาก็ย้ายมาบินข้างๆ ตัวผม ละอองแสงที่มาจากปีกของพวกมันเริ่มทำให้เปลือกตาของผมหนักอึ้งจนลืมตาแทบจะไม่ได้ แต่ก่อนที่ร่างผมจะจมดิ่งไปในความมืดมิดนั้น
“ขอให้สนุกกับร่างใหม่ เจ้าหนู”
จุมพิตอันแสนอ่อนโยนของชายคนนั้น ก็ประทับเข้าที่ริมฝีปากของผม
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้ ก่อนที่สติจะเลือนรางและวูบไป
Comments (0)