2 ตอน chapter 02: the tattooist
โดย océan bleu
*บุหรี่มีสารก่อมะเร็งและส่งผลอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว*
warning: needle for a tattoo (บรรยายถึงเข็มในการสัก)
Chapter 02
— The tattooist.
ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้คนที่สวมเสื้อเชิ้ตเพียงตัวเดียวอย่างบลูเริ่มรู้สึกหนาว
เมื่อเหลือบมองนาฬิกาที่มุมล่างของหน้าจอแล็ปท็อปที่ใช้ทำงานก็เห็นตัวเลขทั้งสี่ที่บอกว่าเลยเวลาเลิกงานมาแล้วหลายนาที คนที่เพลิดเพลินกับการทำงานจึงรู้สึกตัว เงยมองหน้าคนในทีมที่ที่ยังไม่มีใครกล้าลุกขึ้นแม้แต่คนเดียว พนักงานออฟฟิศชายหญิงต่างจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์แม้ว่าใจจริงทุกคนอยากปิดเครื่องและกลับบ้านไปพักผ่อนเต็มที
บลูผ่อนลมหายใจ งานของเขายังไม่เสร็จตามที่เขาคิดเอาไว้แต่บลูก็เลือกที่จะกดบันทึกงานที่ทำงานค้างเอาไว้แล้วปิดหน้าจอลงก่อนจะเริ่มเก็บข้าวของของตัวเอง
ตอนที่บลูลุกขึ้นยืนเต็มความสูงสายตาของทุกคนก็มองตามการกระทำของเขาอย่างไม่ปิดบัง บลูทำหน้านิ่งแม้ในใจจะลอบขำกับพฤติกรรมแบบนี้ เขาคว้าเสื้อตัวนอกที่ถอดพาดพนักพิงเก้าอี้เอาไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวันขึ้นมาพาดที่ท่อนแขนของตัวเองก่อนเอ่ยลา
“เจอกันตอนประชุมอาทิตย์หน้านะครับ”
หลังจากบลูเดินจากไปจากห้องที่เคยเงียบสนิทก็มีเสียงพูดคุยดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเสียงดังเช่นเดียวกับบรรยากาศตอนเลิกงานในยามปกติ พนักงานออฟฟิศทั้งหลายต่างรีบเก็บของของตัวเองเพราะเลยเวลาเลิกงานมาได้พักใหญ่
บลูชินกับมันแล้ว
ตำแหน่งที่บลูทำอยู่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกเกรงอกเกรงใจเขา โดยเฉพาะเมื่อหน้าที่ของบลูทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเข้ามาทำงานในบริษัทมากนัก คนในทีมจึงรู้สึกไม่สนิทสนมกับเขาแม้ว่าบลูจะย้ายมาทำงานที่สาขานี้เกือบปีแล้วก็ตาม อีกส่วนก็เป็นเพราะนิสัยของบลู
บลูไม่ใช่คนช่างพูด ทั้งยังแสดงความรู้สึกไม่เก่ง กับบรรดาคนที่ไม่เคยพูดคุยกันเรื่องอื่นนอกจากเรื่องงานคงไม่แปลกถ้าจะรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่กับเขาเป็นเวลานาน เป็นโชคดีสำหรับพวกเขาที่นานครั้งบลูถึงจะเข้ามาทำงานที่บริษัทแบบเต็มวัน ส่วนเรื่องเลิกงาน ที่จริงบลูก็เคยพูดกับทุกคนไปแล้วว่าไม่จำเป็นต้องรอให้เขากลับก่อน เพราะบลูมักจะติดนิสัยทำงานจนล่วงเวลาเลิกงานเสมอ ถึงจะรับคำแต่ก็ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นกลับก่อนเขาอยู่ดี สุดท้ายจึงเป็นบลูเองที่ต้องปรับตัวให้เลิกงานตรงเวลาทุกครั้งที่เข้าบริษัท
มีก็แต่วันนี้ที่งานค่อนข้างติดพันบลูจึงลืมเรื่องเวลาไปเสียสนิท
บลูกดลิฟต์ก่อนจะรอโดยมองตัวเลขสีแดงที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไป ไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออกเผยให้เห็นคนที่อยู่ด้านใน คนในลิฟต์ยกมือขึ้นก่อนเอ่ยทักทายบลูอย่างคุ้นเคย บลูพยักหน้าก่อนเดินเข้าไปด้านในและยืนข้างกันกับผู้ชายที่เรียกได้ว่าเพื่อนอย่างเต็มปากและยังเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขารู้จักที่นี่อีก
“ไง อิน”
บลูทักทายตอบชายที่อยู่ในชุดสูทเต็มยศ
อินทัชเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของบลู คนที่ไม่ค่อยติดต่อใครบ่อย ๆ อย่างบลูสนิทกับอินได้เพราะนิสัยที่ต่างเป็นคนเงียบ ๆ ด้วยกันทั้งคู่ ถึงจะเป็นคนเงียบ ๆ แต่พวกเขามีความชอบหลายอย่างคล้ายกันทำให้ได้พูดคุยกันอยู่บ่อย ๆ จนแยกย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยคนละที่ การติดต่อกันค่อย ๆ น้อยลงเรื่อยไปตามนิสัยของพวกเขาจนห่างหายกันไปช่วงหนึ่งหลังเรียนจบปีสองปีแรก และก็คงเป็นความบังเอิญที่บลูเข้ามาทำงานในบริษัทที่อินเป็นหุ้นส่วน
ใช่แล้ว
คนตรงหน้าเขาเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของบริษัทที่มีตำแหน่งสูงสุดของสาขานี้
หรือที่คนอื่นเกรงใจเขามากเป็นพิเศษเป็นเพราะเพื่อนของเขาคนนี้...
บลูเลิกคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องก่อนเอื้อมมือไปกดเลขชั้นล่างสุดอันเป็นจุดหมายของคนเลิกงานแล้วอย่างเขา ส่วนเพื่อนของเขาคนนี้กว่าจะเลิกงานก็มีแต่จะรอให้ฟ้ามืดเสียก่อน
“พรุ่งนี้ทำอะไร”
อินเปิดบทสนทนา
“สัก” บลูตอบโดยไม่ต้องคิดให้มากความ
“อายยังไม่ได้บอกมึงหรอ”
บลูเลิกคิ้ว อายที่พูดถึงคือช่างสักที่สนิทกันกับอินและเป็นช่างสักประจำของบลู อายเป็นรุ่นน้องในคณะของอินที่ลาออกไปกลางคั่นเพราะค้นพบความชอบอย่างอื่นแทนการเรียนด้านบริหาร
อินแนะนำให้เขารู้จักกับอายเพราะเทคนิคการสักของอายเป็นแบบที่บลูชื่นชอบและในเวลานั้นเทคนิคการสักแบบนี้ก็หาคนสักได้น้อยนิด อายเป็นช่างสักมือดีที่ทำงานถูกใจและสะอาด บลูจึงเริ่มสนิทกับอายแม้ว่าบทสนทนาส่วนใหญ่ของพวกเขาจะเป็นเรื่องการสักและรอยสักของบลูก็ตาม
ตอนที่บลูย้ายมาทำงานที่นี่อายก็อาสาจะตามมาสักให้เขาถึงที่หากถึงเวลาที่บลูต้องการ ถึงจะรู้ว่าเป็นข้ออ้างของช่างสักมือทองที่คิวแน่นทั้งปีที่จะหาเวลาว่างมาพักผ่อนริมทะเล แต่บลูก็จัดการค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าที่พักให้อายเป็นอย่างดี
“น้องมันรถชนอยู่โรงพยาบาล”
“เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่บาดเจ็บมาก แต่ตอนล้มหัวฟาดพื้นปูนหมอเลยให้รอดูอาการไปก่อน”
บลูพยักหน้าแม้จะรู้สึกเป็นห่วงแต่คนอยู่ไกลแบบเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก อีกอย่างอายก็อยู่ในมือหมอ ได้แต่หวังว่าน้องที่เขาสนิทด้วยคนนี้จะไม่เป็นอะไรมากก็เท่านั้น
“แล้วมึงเอาไง”
“ก็ไม่เอาไง” บลูยักไหล่
“ไม่สักแล้วหรอ”
“ยังคิดไม่ออก”
บลูตอบตามความจริง รอยสักของเขาเป็นรอยสักที่เขาจะสักเป็นประจำทุกปีและอายก็สักรอยนี้มาให้เขาเกือบห้าปีแล้ว บลูในตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าควรรอจนกว่าอายจะหายดีแล้วเดินทางมาสักให้เขาถึงที่หรือหาทางออกอื่น เพื่อนอย่างอินก็เห็นความสับสนบนใบหน้าของบลูเช่นกัน
“รอยสักมึงก็ไม่ใช่ว่าต้องให้อายสักทุกครั้ง” อินเหลือบมองเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างกัน “หาเอาแถวนี้ก็ได้ คงมีร้านที่มึงชอบสักร้าน”
คำพูดของอินทำให้บลูนึกถึงใครบางคน
บลูเงียบอยู่นานก่อนจะพึมพำ
“ก็ถ้ามันมีน่ะนะ…”
บลูนึกย้อนไปถึงแผ่นกระดาษสีขาวและรอยหมึกสีดำที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนด้วยลายมือยึกยืออ่านยาก กระดาษที่ถูกฉีกออกมามองเผิน ๆ คล้ายกับเศษกระดาษทั่วไป เขาเคยจะเผลอเอาทิ้งอยู่หลายต่อหลายครั้ง
แต่ตอนนี้คงถึงเวลาได้ใช้งานแล้ว
เกือบเดือนแล้วที่บลูไม่ได้ที่ชายหาดแห่งนั้น
กลิ่นหอมของดอกไม้และกลิ่นผลไม้เย็นซ่าจางหายจากความรู้สึกไปจนหมด แม้แต่ใบหน้าของชายผู้ที่ใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งตัวบลูก็เริ่มนึกไม่ออกแล้ว เพราะงานที่ถาโถมเข้ามาในช่วงนี้มากล้นจนการนอนกลายเป็นสิ่งที่ต้องทำในเวลาที่ร่างกายประท้วงว่ากาแฟไม่สามารถช่วยเขาได้อีกต่อไป คืนวันศุกร์บลูจึงเลือกที่นอนนุ่ม ๆ มากกว่าจะขับรถนานหลายนาทีเพื่อไปสูบบุหรี่และฟังเสียงคลื่นทะเล
หากแต่เศษกระดาษแผ่นนี้ที่ชายแปลกหน้าคนนั้นทิ้งเอาไว้ก็ทำให้บลูมาอยู่ตรงนี้จนได้
Before Anyone Else
บลูเหลือบมองป้ายพื้นขาวที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษสีดำสลับกับโซเชียลมีเดียที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ กว่าเขาจะใช้เวลาแกะลายมือไก่เขี่ยของชายคนนั้นไม่ง่ายเลย บลูกรอกตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ได้มาในช่องค้นหา หลังจากกดชื่อบัญชีอันเป็นชื่อเดียวกันกับป้ายตรงหน้า ลายสักที่ปรากฏขึ้นมาในนั้นก็ดึงดูดจนทำให้บลูขับรถมาที่นี่แม้จะดึกมากแล้ว
โซเชียลมีเดียของร้านไม่ได้บอกว่าต้องทำการนัดหมายก่อนและร้านก็เปิดจนดึกดื่น บลูขับรถออกมาจากที่พักในยามกลางคืนทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดกระทั่งมาถึงหน้าร้านสัก
คนตัวสูงที่ยังคงอยู่ในเชิ้ตสีน้ำเงินครามลงมาจากรถสีขาวของตัวเองจากนั้นก็เดินไปยังจุดหมายของเขา ป้ายไฟหน้าร้านส่องแสงสว่างตัวอักษรภาษาอังกฤษสีดำยิ่งโดดเด่นเมื่อเปิดไฟ บรรยากาศทางเข้าร้านดูเงียบสงบทั้งยังประดับด้วยดอกไม้สด ความสดใสของตอนเช้าตัดกันกับความมืดในตอนกลางคืน หากไม่ใช่ว่าบลูเช็กที่อยู่จนมั่นใจแล้วเขาคงคิดว่าตัวเองมาผิดที่
เที่ยงคืนสี่นาที
บลูเปิดประตูเข้าไปข้างใน ภายในร้านเปิดไฟขาวสว่างนวลตาให้ความรู้สึกอบอุ่นและเรียบง่ายเช่นเดียวกันกับหน้าร้าน สีดำที่ตกแต่งเพิ่มเข้ามาทำให้ภายในร้านเริ่มดูเหมือนร้านสักขึ้นมาหน่อย แต่ของตกแต่งส่วนใหญ่ก็เป็นพวกดอกไม้สดอยู่ดี
ร้านสักชื่อยาวเหยียดเปิดแอร์จนเย็นฉ่ำพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้จากธรรมชาติหากแต่ไร้วี่แววของคนในร้าน บลูมองสำรวจไปรอบ ๆ สะดุดตากับป้ายอะคริลิกสีใสที่เมื่อสะท้อนกับแสงไฟทำให้เห็นตัวอักษรได้ไม่ชัดนัก บลูขยับเข้าไปใกล้และอ่านข้อความที่อยู่บนป้าย
ข้อความบนป้ายบอกให้เขากดกริ่งที่วางทิ้งไว้ข้างกันเพื่อเรียกพนักงาน
บลูทำตามที่ป้ายบอก นึกเสียใจที่ไม่ได้หยิบเสื้อตัวนอกมาคลุมเพราะอุณหภูมิในร้านที่ค่อนข้างเย็น ที่เปิดแอร์จนเย็นขนาดนี้คงเป็นเพราะช่วงนี้คือหน้าร้อน โดยเฉพาะกลางวัน อุณหภูมิภายนอกทำให้บลูกระหายน้ำตลอดเวลา แต่ทว่าในเมืองติดทะเลตอนเย็นอากาศในหน้าร้อนก็จะเย็นขึ้นกว่าปกติ
รอไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักและมั่นคงดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ก่อนม่านสีดำที่บลูไม่ได้สังเกตเห็นในครั้งแรกจะถูกคนที่อยู่ด้านในเปิดออก
“สวัสดี...ครับ”
เสียงของชายคนนั้นสะดุดเมื่อสบตาเข้ากับบลู
ไฟในร้านเป็นแสงสีขาวสว่างแตกต่างกับชายหาดในยามกลางคืน บลูจึงเห็นใบหน้าของคนคนนี้ได้ชัดเจน ศีรษะที่ตอนนี้ไร้หมวกปกปิดเผยให้เห็นกลุ่มผมหนาหยักศกดูฟูฟ่องหากแต่เสริมให้เจ้าตัวดูมีเสน่ห์ เมื่อเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นบลูจึงรู้ว่าชายคนนี้สูงกว่าตัวเขาเล็กน้อยไม่ได้สูงเท่ากันอย่างที่คิดเอาไว้เมื่อตอนที่เจอกันครั้งแรก จากนั้นเขาก็ได้กลิ่นผลไม้เย็นซ่าที่ลืมไปนาน
เพราะคนตรงหน้าไม่ได้พูดอะไรบลูจึงเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ผมมาสัก”
บลูไม่ใช่คนอ้อมค้อมเขาบอกจุดประสงค์ของตัวเองออกไปในทันที กลิ่นเย็นของบุหรี่จากตัวของอีกฝ่ายทำให้บลูรับรู้ได้ว่าก่อนหน้านี้คนตรงหน้าคงหลบหายไปสูบบุหรี่ยามดึก ชายผู้ชื่นชอบบุหรี่รสเย็นยกยิ้มกว้างเฉกเช่นเดียวกับรอยยิ้มก่อนจากกันเมื่อเดือนก่อน
“งั้นนั่งก่อนครับ”
โชคดีที่โซฟาสีเทาของร้านตั้งอยู่ในบริเวณที่ลมเย็นของแอร์ตกไม่ถึง บลูที่สวมเพียงเสื้อเชิ้ตจึงไม่ได้รู้สึกหนาวเท่ากับครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาด้านใน ชายคนนั้นหายกลับไปในม่านสีดำก่อนเดินออกมาพร้อมขวดน้ำเปล่าและแฟ้มสีดำเช่นเดียวกับเสื้อผ้าของเจ้าตัว เขาวางของทั้งสองสิ่งลงตรงหน้าของบลูก่อนจะนั่งลง
“ผมตกใจนิดหน่อย”
ชายคนนั้นสารภาพ
“ทำไมล่ะครับ”
“ไม่คิดว่าจะเจอคุณอีก” ชายคนนั้นพูดขึ้นมาอย่างผ่อนคลาย ไร้อาการเคอะเขินเมื่อต้องพูดคุยกับคนแปลกหน้า แตกต่างกับเขาที่เมื่อไร้ควันบุหรี่และเสียงทะเลก็กลายเป็นคนที่ไม่ชอบพูดเช่นเดิม “ไปที่ชายหาดกี่รอบก็ไม่ยักจะเจอคุณ”
“ช่วงนี้ผมงานยุ่ง”
ชายคนนั้นพยักหน้าเข้าใจ
“นึกว่าจะเจอเพื่อนสูบบุหรี่ด้วยกันบ่อย ๆ แล้ว ผมเหงาน่ะครับเวลาไปคนเดียว”
แต่ก็ไปตั้งหลายครั้งนี่
บลูโคลงศีรษะไม่ได้ต่อบทสนทนาอะไรต่อแม้จะมีความไม่เข้าใจอยู่มากก็ตาม สำหรับบลูแล้วเขาชอบใช้ช่วงเวลาที่ชายหาดนั่นเพียงคนเดียว สูบบุหรี่แบบร้อนจัดตัดกับความเย็นกับลมทะเล ฟังเสียงคลื่นลมและเสียงเพลงที่เขาจินตนาการขึ้นมาเองเพียงลำพัง
เพราะสังเกตกิริยาของบลูไปด้วยเมื่อสัมผัสได้ถึงกำแพงหนาทึบที่บลูตั้งไว้ชายแปลกหน้าผู้เป็นเจ้าของร้านสักจึงได้พาบลูกลับเข้าจุดประสงค์หลักที่บลูมาอยู่ร้านสักในเวลานี้
“คุณบอกว่ามาสัก อยากสักตรงไหนครับ มีลายสักที่อยากได้หรือเปล่า”
“เป็นลายเก่าน่ะครับ”
“งานแก้หรอครับ”
บทสนทนาเรื่องรอยสักทำให้ความอึดอัดของบลูเริ่มหายไป คนตรงหน้าพาบลูคล้อยถามบทสนทนาได้อย่างง่ายดาย บลูเริ่มพูดมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายถามคำถามเกี่ยวกับรอยสักของเขามากขึ้นโดยไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาข้องเกี่ยว แม้จะเป็นถามคำตอบคำแต่บทสนทนาที่เกิดขึ้นก็ไม่มีความอึดอัดแทรกอยู่
“เติมเส้นครับ ผมสนใจแบบ Hand poke [1] ”
“งานถนัดของผมเลย”
ชายแปลกหน้ายิ้มกว้าง
สาเหตุที่บลูสนใจร้านสักของชายคนนี้ไม่ใช่เพียงเพราะการออกแบบลายที่สะดุดตาเขา แต่ชายตรงหน้าสามารถใช้เทคนิคการสักเช่นเดียวกันกับอายช่างสักประจำตัวของเขาได้ด้วย บลูเห็นจากรูปในโซเชียลมีเดียของร้าน ลายสักทุกลายที่ใช้เทคนิคนี้ออกมาดูดี สีหมึกชัดเจนและเส้นที่มั่นคงทำให้บลูคิดว่าช่างสักคงมีความชำนาญในเทคนิคนี้เช่นเดียวกันกับอาย
“งั้นคุณ...”
ชายคนนั้นเว้นคำไว้ก่อนมองมาที่เขาเพื่อรอคำตอบ
“บลูครับ”
“ครับ คุณบลู” ชายคนนั้นยิ้มกว้างและแนะนำตัว “เบย์ครับ”
บลูไม่ได้มีความเห็นมากมายเกี่ยวกับชื่อของอีกฝ่ายจึงได้แต่พยักหน้ารับคำตามภาษาคนไม่ชอบพูด ชายแปลกหน้าที่หรือเบย์ตามที่เจ้าตัวแนะนำโน้มตัวลงมาด้านหน้าเล็กน้อย ดวงตาของอีกฝ่ายที่ตอนนี้บลูเห็นชัดแล้วว่าเป็นตาสองชั้นหลบในมองมาที่เขาพร้อมด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
“ก่อนอื่นผมขอดูรอยสักของคุณบลูก่อนนะครับ”
“ตำแหน่งมันค่อนข้าง...”
“งั้นมาทางนี้ดีกว่าครับ”
ช่างสักเข้าใจได้ทันที คนตัวสูงกว่ายืนขึ้นก่อนบอกให้บลูเดินตาม
ม่านสีดำในตอนแรกที่ชายคนนั้นโผล่ออกมาถูกเปิดออก เผยให้เห็นห้องสักซึ่งอยู่ด้านใน บลูเดินตามชายตรงหน้าที่มีกลิ่นเย็นของผลไม้ไป สายตาของเขามองห้องสักที่สีผนังเป็นสีขาวสว่างตัดกับสีของเตียงสัก เก้าอี้สำหรับช่างสัก และชั้นที่ใส่อุปกรณ์ที่ล้วนเป็นสีดำสนิท เช่นเดียวกับโต๊ะทำงานที่อยู่ด้านใน
สมุดวาดภาพ จานสี พู่กัน แก้วน้ำสีขุ่น และบุหรี่บนที่เขี่ยบุหรี่ที่เพิ่งดับไปบอกถึงกิจกรรมที่เบย์ทำอยู่ก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี หากมองดี ๆ ก็จะมองเห็นสีชมพูและน้ำเงินเปื้อนตามนิ้วและข้อมือด้านซ้ายของเบย์
“ออกแบบลายสักอยู่หรอครับ”
บลูถามออกไป ไม่บ่อยนักที่เขาจะเริ่มบทสนทนาก่อน
“เปล่าครับ”
เบย์ส่ายหน้าก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าบลู นอกจากส่วนสูงที่สูงกว่าบลูเล็กน้อยแล้วขนาดตัวของเบย์ก็ดูหนากว่าบลูไปในทันทีเมื่อยืนเทียบกันเช่นนี้ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเสื้อตัวโคร่งที่ทำให้เบย์ดูตัวหนากว่าเดิมหรือเปล่า ถึงอย่างนั้นเรื่องส่วนสูงก็เป็นเรื่องที่แน่นอน บลูลากสายตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหน้าของคู่สนทนา
“วาดรูปเล่นเฉย ๆ ครับ ปกติงานสักของผมจะทำแบบดิจิตอลมากกว่า”
บลูพยักหน้ามองผ่านลำตัวของชายตรงหน้าไปที่โต๊ะซึ่งมีรูปภาพวางไว้อยู่ ความสนใจของบลูแสดงออกมาอย่างชัดเจน
“เข้าไปดูได้นะครับ”
คำพูดของชายตรงหน้าพร้อมกับตัวของเบย์ที่เบี่ยงออกไปทำให้บลูเดินตรงไปที่โต๊ะตัวนั้นตามคำเชื้อเชิญ
ภาพดอกไม้สีชมพูปนเหลืองดูนุ่มนวลและอ่อนหวานตัดกับเงาสีน้ำเงินม่วง เป็นงานที่ถ้าบลูไม่รู้มาก่อนคงนึกว่าเจ้าของผลงานเป็นผู้หญิง แต่เปล่าเลย เจ้าของผลงานตรงหน้าคือเบย์ ผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ชื่นชอบสีดำ ซ้ำยังเป็นคนเดียวกันกับเจ้าของรูปดอกไม้อีกหลายรูปในโซเชียลมีเดียที่บลูเห็นก่อนหน้า บลูมองคนที่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าสลับกับผลงานที่เห็น
ดูยังไงก็ขัดกันจริง ๆ นั่นแหละ
“สวยดีครับ”
บลูชมตามความจริง
“ขอบคุณครับ” เบย์ก้มหัวเล็ก ๆ พร้อมเอ่ยขอบคุณ
บลูหันความสนใจกลับมาที่คู่สนทนา
เขามีความคิดที่อยากได้ลายสักลายใหม่มาสักพักแล้วและผลงานคนตรงหน้าก็ถูกใจเขามากทีเดียว นั่นเป็นสาเหตุที่เมื่อบลูดูโซเชียลมีเดียที่เบย์ทิ้งไว้ให้แล้วเขาก็ขับรถตรงมาที่ร้านสักทันทีทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำหรือแม้แต่เปลี่ยนชุด แต่เพราะดึกมากแล้วบลูจึงหยุดความคิดของตัวเองเอาไว้
บลูผละออกจากโต๊ะทำงานตัวนั้นและเดินมายืนที่เตียงสำหรับสักแทน เงยหน้าสบตากับช่างสักที่รอเขาอยู่ ก่อนบอกออกไปตรง ๆ
“ผมต้องปลดกางเกง”
“งั้นผมไปรอข้างนอก คุณเสร็จแล้วก็เรียกผม” เบย์ทำตามคำพูด เขาหันหลัง แหวกม่านสีดำและเดินออกไป
เมื่ออยู่คนเดียวบลูก็ปลดกระดุมและรูดซิปกางเกงลง
บลูไม่ได้เขินอายแต่ก็ไม่อยากโชว์เนื้อหนังให้คนแปลกหน้ามองเรื่อยเปื่อย กางเกงสีดำที่ใส่อยู่ร่นลงมาเผยให้เห็นต้นขาและกางเกงในสีเดียวกัน บลูไม่ได้ถอดกางเกงออกเพราะรอยสักที่ว่าอยู่ที่บริเวณต้นขาของเขานี่เอง กระจกเงาเต็มตัวสะท้อนการกระทำของเขา บลูมองสำรวจรอยสักของตัวเองในกระจกเล็กน้อย จากนั้นก็นอนลงกับเตียง จัดแจงท่าทางตัวเองให้เรียบร้อย และเรียกให้คนที่รออยู่ด้านนอกเข้ามา
“ขออนุญาตนะครับ”
ช่างสักเอ่ยขออนุญาตก่อนจะเข้ามาด้านใน
ชายหนุ่มที่มีกลิ่นผลไม้ติดตัวเดินเข้ามาใกล้กับบลูที่นอนตะแคงข้างอยู่ เบย์เอ่ยขออนุญาตอีกครั้งก่อนพินิจดูลายสักของบลู
รอยสักของบลูสักด้วยเทคนิค Hand poke ไม่ใช่ลวดลายที่มีความยากเป็นเพียงขีดสีดำหลายเส้นเรียงกันตั้งแต่ต้นข้างด้านข้างไปเกือบจนถึงแก้มก้น เส้นสีดำไม่หนาไม่บางและยาวพอประมาณเรียงกันสองแถวเรื่อยมา ทุก ๆ สี่ขีดจะมีขีดเส้นเอียงพาดทับขีดทั้งหมด จนกระทั่งขีดสุดท้ายของรอยสักซึ่งเป็นขีดสีแดง
“ผมอยากให้คุณสักสีดำทับขีดแดง แล้วก็เพิ่มขีดแดงเข้าไปอีกขีด”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองรอยสักของเขาอยู่บลูจึงอธิบาย
“ฟรีแฮนด์ [2] ได้เลยนะครับ”
“ได้ครับ”
สำหรับเบย์รอยขีดสีแดงเดิมไม่ยากเพราะมีเส้นของมันอยู่แล้ว ส่วนรอยสักที่ต้องเพิ่มแม้จะเป็นเพียงขีดเดียวแต่ก็ต้องทำให้ดูคล้ายคลึงกับขีดก่อนหน้าทั้งความยาวและความหนาเพื่อไม่ให้ดูผิดแปลกไป พอพิจารณาแล้วเบย์ก็พบว่าขีดแต่ละขีดล้วนเป็นฟรีแฮนด์ทั้งหมด
เบย์ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ก่อนสวมถุงมือสีดำเช่นเดียวกันกับชุด คนตัวสูงนั่งลงที่เก้าอี้สักปรับระดับเก้าอี้จนกระทั่งได้ระดับที่พอเหมาะ ช่างสักเอ่ยขออนุญาตก่อนใช้นิ้วใหญ่เลิกขอบกางเกงในของบลูเลิกขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้มองเห็นรอยสักทั้งหมด
“ให้ผมเติมสีดำให้รอยเก่าด้วยไหมครับ ไหน ๆ ก็เปิดเข็มแล้ว”
เบย์ถาม เพราะขีดแถวแรกที่คงมีมานานแล้วดูจางลงมากแตกต่างกับขีดแถวที่สองที่เส้นสีดำยังคงชัดอยู่ บลูเอี้ยวตัวหมายจะดูรอยสักที่ว่า แต่เพราะตำแหน่งของมันทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นได้
“ผมวาดเส้นแล้วถ่ายรูปให้คุณดูก่อนดีกว่า”
บลูพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะทิ้งตัวลงนอนนิ่ง ๆ ตามเดิม
เบย์หยิบสำลีขึ้นมา ใช้สำลีแผ่นบางที่เปียกน้ำสำหรับทำความสะอาดผิวลูบไปตามผิวขาวที่ตัดกับขีดสีดำแดงบนผิวสีขาวของบลู ความรู้สึกเย็นที่ลูบผ่านผิวทำให้เขาขนลุกเล็กน้อยเพราะความหนาวเย็นที่มาจากลมแอร์ตกลงมาที่เขาพอดีในตำแหน่งนี้
“หนาวหรอครับ”
เบย์ที่สังเกตเห็นเอ่ยถาม
“นิดหน่อยครับ”
บลูตอบ จากนั้นลมเย็นที่ว่าก็หายไปเพราะการขยับตัวของเบย์ ตำแหน่งของเบย์บดบังลมจากแอร์ที่ควรจะตกใส่บลูได้พอดิบพอดี เพราะเบย์ไม่พูดอะไรบลูจึงไม่พูดอะไร ช่างสักเตรียมผิวของบลูจนสะอาดดีจากนั้นก็หยิบปากกาเพื่อขีดเส้นลงไป
การขีดเส้นนั้นทำได้ง่ายเพราะเจ้าของรอยสักไม่ได้ต้องการความเป๊ะ
“โทรศัพท์ของคุณบลูอยู่ไหนครับ”
“ในกระเป๋ากางเกง”
“ด้านนี้หรือเปล่าครับ”
มือของเบย์ถือวิสาสะแตะบนกระเป๋ากางเกงด้านเดียวกันกับที่มีรอยสักอยู่ สัมผัสแข็ง ๆ ของเครื่องมือสื่อสารเป็นคำตอบได้ดีสำหรับคำถาม ถึงอย่างนั้นเบย์ก็รอคำตอบของบลูก่อน
“ครับ”
“งั้นขออนุญาตอีกครั้งนะครับ”
มือใหญ่ของเบย์ค่อย ๆ ล่วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ที่ว่าออกมา เบย์ไม่อยากใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองถ่าย โดยเฉพาะเมื่อรอยสักไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เปิดเผยได้อย่างโจ่งแจ้ง เพื่อความสบายใจของลูกค้าเบย์จึงมักใช้โทรศัพท์ของลูกค้าถ่าย เบย์อธิบายสิ่งนี้กับบลูซึ่งบลูก็เห็นด้วย แม้จะเป็นเรื่องของรอยสักแต่การที่มีรูปเรือนร่างของตัวเองอยู่ในโทรศัพท์ของคนอื่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจ
เบย์ใช้เวลาไม่นานในการถ่ายรูปและยื่นมันให้กับบลู
“นี่ครับ”
บลูมองรอยสักของเขา ขอบกางเกงในที่ถูกเลิกขึ้นทำให้เห็นรอยสักทั้งหมดได้อย่างชัดเจน เส้นใหม่ถูกขีดด้วยหมึกสีน้ำเงิน ความยาวกำลังพอดีทำให้บลูพยักหน้า ส่วนรอยสักแถวบนสีหมึกสีดำก็เริ่มจางลงไปแล้วจริง ๆ
“เติมสีด้วยก็ดีครับ”
“ใช้ยาชาไหมครับ”
“ไม่ครับ”
เบย์ส่ายหน้า
ช่างสักบอกค่าใช้จ่ายทั้งหมดกับบลู เมื่อตกลงกันเรียบร้อยการสักก็เริ่มต้นขึ้น เบย์จัดเตรียมอุปกรณ์ในการสักจากนั้นก็เปลี่ยนถุงมือคู่ใหม่เพื่อความสะอาดทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ เบย์จับเข็มซึ่งมีแต่ส่วนปลายแหลมโผล่ออกมาในขณะที่ส่วนที่เหลือถูกพันไว้จนหนาพอดีมือของช่างสักและจุ่มเข็มลงไปในถ้วยเล็กซึ่งมีหมึกสีดำใส่อยู่
บลูสูดหายใจพร้อมรับสำหรับความเจ็บ
สำหรับบลูที่เอาร่างกายตัวเองไปรับเข็มทุกปี เขาไม่ได้รู้สึกว่าการสักนั้นเจ็บมากจนทนไม่ได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบลูจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย และแม้ตำแหน่งที่บลูสักจะไม่ใช่ตำแหน่งที่เจ็บง่ายเป็นพิเศษ แต่บลูก็อดแปลกใจกับความมือเบาของเบย์ไม่ได้
เนื้อของบลูขยับเขยื้อนไปตามการวางมือของช่างสัก เข็มปลายแหลมจิ้มลงมาบนผิวหนังสีขาวของบลูเป็นครั้งที่เท่าไหร่เขาเองก็ไม่แน่ใจ ตำแหน่งมือของเบย์เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ช่างสักบอกกับบลูว่าเขาจะเริ่มลงสีดำก่อนแล้วก็ค่อยปิดด้วยสีแดงเป็นอย่างสุดท้าย
คงเพราะเงียบเกินไปเบย์จึงชวนคุย
“ผมถามได้ไหมครับว่าคุณบลูนับอะไร”
เบย์ถามขึ้นหลังจากลงมือสักไปได้ครึ่งทาง รอยสักของบลูนั้นเป็นรอยขีดที่เขาพบเห็นได้ทั่วไปเวลาที่คนนับคะแนนจำนวนมาก คล้ายกับว่าเป็นการนับอะไรบางอย่าง
ถูกอย่างที่เบย์คิด
“อายุผมน่ะครับ” บลู ลังเลชั่วครู่ก่อนพูดต่อ “ผมเติมรอยสักทุกปีในวันเกิด”
มือที่จับเข็มอยู่ชะงักเล็กน้อย เบย์เหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของบลูซึ่งเห็นเพียงกรอบหน้าของบลู เบย์ละสายตาจากใบหน้าของบลูกลับมามองรอยสักที่เหลือขีดไม่กี่ขีดเท่านั้น เบย์จุ่มเข็มลงไปในน้ำหมึกสีดำและจิ้มเข็มสักลงไปที่ผิวเนื้อที่ตอนนี้เริ่มขึ้นเป็นสีแดงจาง ๆ
หากจำนวนขีดบ่งบอกอายุก็แปลว่าคนที่กำลังนอนให้เบย์สักอยู่นั้นอายุสามสิบสองปี
อายุมากกว่าเบย์เสียอีก
“งั้นวันนี้ก็เป็นวันเกิดคุณ”
“ครับ”
“สุขสันต์วันเกิดนะครับ”
บลูที่ถูกอวยพรวันเกิดกะทันหันชะงักไป เขาไม่คิดว่าในวันเกิดอายุสามสิบสองปีของตัวเองคนแรกที่อวยพรวันเกิดบลูจะเป็นช่างสักที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งที่สอง ทั้งยังอวยพรวันเกิดให้เขาในสภาพนี้อีก บลูยิ้มออกมาเพราะรู้สึกขบขัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตอบขอบคุณกลับไป
“ขอบคุณครับ”
หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีบทสนทนาเกิดขึ้นอีก
เบย์ตั้งใจกับการสักขณะที่บลูก็ฟังเพลงที่เบย์เปิดคลอ เพลงสากลฟังสบายหูเป็นเพลงประเภทเดียวกันที่บลูมักเปิดในรถในช่วงเวลาเลิกงาน บางเพลงเขาก็รู้จักแต่บางเพลงเขาก็เพิ่งจะเคยได้ยิน ส่วนบริเวณที่ถูกสักอยู่นั้นเริ่มชาจนบลูไม่รู้สึกอะไรแล้ว
เบย์ปิดงานในเวลาไม่นาน หลังย้ำน้ำหมึกสีแดงลงไปอีกครั้ง เขาทำความสะอาดคราบเลือดและน้ำหมึกที่เลอะด้วยน้ำยาทำความสะอาด เมื่อถามแล้วว่าบลูไม่ต้องการให้ถ่ายรูปเบย์ก็ปิดมันไว้ด้วยฟิล์มปิดรอยสัก เบย์อธิบายวิธีการดูแลหลังสักให้บลูฟังอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง
“ถ้าแต่งตัวเสร็จแล้วก็จ่ายเงินด้านนอกนะครับ”
บลูพยักหน้า รอจนกระทั่งม่านสีดำนิ่งสนิทจากนั้นเขาก็ลุกขึ้น บลูเอี้ยวตัวมองรอยสักผ่านกระจกบานสูงที่อยู่ภายในห้อง รอยสักของเขาถูกปิดไว้ด้วยพลาสติกกันน้ำทำให้เห็นเค้าโครงรอยสักไม่มากนัก แต่ก็พอมองเห็นความแดงที่เกิดขึ้นเพราะสีผิวด้านในของเขาที่ค่อนข้างขาว และรอยสักพวกนี้ยังไงก็ต้องอีกสักพักกว่าจะเห็นผลงานที่แท้จริง
บลูจัดกางเกงในให้ดี จากนั้นก็ดึงกางเกงขึ้นมาติดกระดุมและรูดซิปให้อยู่ในสภาพเดิม เมื่อเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินออกไปด้านนอก เบย์ที่เพิ่งเสร็จงานนั่งรอบลูอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม ริมฝีปากคาบบุหรี่มือข้างซ้ายยกไฟแช็กขึ้นกำลังจะจุดในขณะที่มือขวายกขึ้นมาเพื่อป้องลม
หากแต่เบย์เห็นบลูเสียก่อน
“ขอโทษทีครับ ลืมตัว”
เบย์เอาบุหรี่ออกจากปากและวางไฟแช็กลงบนตก ปกติเวลาเสร็จงานเขามักจะชอบสูบบุหรี่ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ตอนที่ลูกค้าอยู่ในร้าน แม้จะเป็นลูกค้าแบบบลูที่เขารู้ว่าบลูเองก็ชอบสูบบุหรี่เช่นกัน
“ร้านคุณนี่ครับ”
บลูปัดผ่าน เขาที่ชอบสูบบุหรี่เช่นกันคงไม่รู้สึกหงุดหงิดหากอีกคนจะสูบบุหรี่ในพื้นที่ของตัวเอง บลูยืนอยู่ตรงนั้นเอ่ยถามเรื่องการจ่ายเงินที่ดูเหมือนช่างสักจะลืมไปแล้ว เบย์บอกช่องทางการโอนเงินให้บลูก่อนยื่นแผ่นกระดาษตรงโต๊ะที่มีตัวเลขเขียนอยู่ให้กับบลู
“ให้ผมส่งสลิปให้ไหมครับ”
“ไม่...ครับ” คำพูดของเบย์เปลี่ยนกะทันหันหากแต่บลูไม่ได้สนใจ “ทางไลน์คุณสะดวกไหม”
บลูพยักหน้า แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ได้ให้ไลน์ของร้านแบบที่ควรจะเป็น แต่บลูก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเขาคิดว่าจะคุยกับคนตรงหน้าเรื่องรอยสักรอยใหม่อยู่แล้ว อีกอย่างตัวเลขที่บอกเวลาในโทรศัพท์ของบลูก็แสดงให้เห็นว่าตอนนี้เลยเวลาปิดร้านของเบย์มากสักพักแล้ว
ตีสองสิบหกนาที
“ไหน ๆ วันนี้ก็วันเกิดคุณ”
เป็นเบย์ที่พูดขึ้นมาก่อนในขณะที่บลูกำลังจะเอ่ยลา
“และถ้าคุณยังไม่ง่วง”
“...”
“สนใจมาสูบบุหรี่สักมวนฉลองวันเกิดกันไหมครับ”
#เบบี้ของบลู
[1] Hand Poke เป็นเทคนิคการสักโดยไม่ใช้เครื่องสักไฟฟ้า โดยจะใช้เข็มสักและหมึกในการสักเท่านั้น
[2] เทคนิคฟรีแฮนด์ เป็นเทคนิคที่ช่างสักจะวาดลายเส้นลงบนตัวของลูกค้าโดยไม่มีแบบและไม่ใช้ตัวลอกลาย
talk:
ขอบคุณใครก็ตามที่หลงมาอ่านเช่นเคยนะคะ ชอบอย่างไรก็อย่างลืมคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้เราในนี้หรือ #เบบี้ของบลู ทางทวิตเตอร์ได้เลยนะคะ
océan bleu
Comments (0)