*บุหรี่มีสารก่อมะเร็งและส่งผลอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว

 

Chapter 01

— Light up the cigarette.

 

 

ลมและกลิ่นทะเลเป็นสิ่งที่บลูโปรดปรานเสมอมา

บลูเคาะมวนบุหรี่ออกจากซอง คาบมันไว้ในปากและจุดไฟแช็ก ประกายไฟสีน้ำเงิและแดงสว่างวาบขึ้นมาเผาไหม้ส่วนปลายจากนั้นก็มอดดับลงกลายเป็นควันเทาที่ลอยเอื่อยในอากาศ นิ้วชี้และกลางของบลูยกบุหรี่มวนนั้นขึ้น สูดนิโคตินเข้าไปจนสุดลมหายใจจากนั้นก็ปล่อยควันสีเทาให้ลอยฟุ้งไปในอากาศก่อนมันจะหายไปคล้ายไม่เคยมีอยู่

เขาหลับตาฟังเสียงของลมและคลื่นทะเลสลับกับสูบบุหรี่มวนแรกของวันอย่างไม่เร่งรีบ ความร้อนจากปลายบุหรี่ดูขัดกับอากาศภายนอก ทะเลฤดูร้อนตอนกลางคืนไม่ได้ร้อนเหมือนชื่อของฤดู ราวกับชดเชยอากาศที่ร้อนระอุในตอนกลางวัน ลมเย็นไร้ที่มาพากันพัดเข้าฝั่งเรื่อย ๆ ทำให้คนที่ประมาทกับทะเลฤดูร้อนรู้สึกคิดผิดที่เลือกใส่เสื้อแขนสั้นกุดออกมาในวันนี้

สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่บลูค้นพบโดยบังเอิญ

หาดสาธารณะแห่งนี้อยู่ห่างไกลผู้คนมีเพียงแสงไฟบางเบาที่ทำให้สถานที่ตรงนี้ไม่ดูน่ากลัวจนเกินไป บลูบังเอิญเจอที่นี่หลังจากขับรถหลงทางอยู่เกือบชั่วโมง ในตอนนั้นเองก็เป็นฤดูร้อนเช่นเดียวกันกับตอนนี้ บลูที่อ่อนล้าจากการขับรถอยู่นานตัดสินใจจอดรถเอาไว้ลวก ๆ จากนั้นก็ย่างกรายเข้ามาในหาดที่เขาเองก็ไม่รู้จัก ลมเย็นของฤดูร้อนพัดเอื่อยเข้ามาทักทายผู้มาเยือน บลูนั่งลงในจุดที่กลายเป็นจุดประจำของเขาในเวลาต่อมา ฟังเสียงลมและคลื่นทะเลพร้อมกับบุหรี่มวนหนึ่งในมือ จากนั้นเขาก็ทึกทักให้หาดตรงนี้เป็นสถานที่ลับของเขาแต่เพียงผู้เดียว

บลูย้ายมาที่นี่ได้เกือบปีแล้ว

จากเมืองหลวงที่วุ่นวายและแออัดมาสู่จังหวัดแห่งหนึ่งที่ติดทะเล นับว่าเขาบรรลุเป้าหมายหนึ่งของชีวิต บลูชื่นชอบทะเลมาโดยตลอด เขาชอบฟังเสียงทะเล ชอบที่จะสูดกลิ่นไอจากทะเลแม้จะแลกมาด้วยเนื้อตัวที่เหนียวเหนอะหนะ ยิ่งไปกว่านั้น บลูชอบยามที่ทะเลกลายเป็นสีดำสนิท ทะเลที่ดูสนุกสนานในตอนเช้ากลับเงียบสงบลงในตอนกลางคืน ราวกับเป็นช่วงเวลาพักผ่อนทั้งของท้องทะเลและของผู้มาเยือนอย่างบลูเช่นกัน

จะว่าไปก็เป็นอภิสิทธิ์ของคนที่มีเพศสภาพชายแบบเขาเท่านั้นที่สามารถเข้ามานั่งรับลมทะเลตอนกลางคืนคนเดียวได้อย่างสบายใจ

มวนบุหรี่ถูกเผาไหม้ลงไปเรื่อย ๆ จากสีดำเข้มเริ่มกลายเป็นสีเทา บลูเคาะเถ้าบุหรี่ออกและสูดเอานิโคตินเข้าปอดอีกครั้ง พ่นควันและนึกถึงทำนองเพลงที่มักเปิดในรถในเย็นหลังเลิกงาน บลูโคลงศีรษะเป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงเพลงในจินตนาการโดยมีเสียงของคลื่นทะเลดังคลอ ความสงบสุขของบลูในวัยผู้ใหญ่ก็มีเพียงเท่านี้

หากแต่ความสงบก็อยู่ได้ไม่นานนัก

สถานที่ร้างผู้คนแบบนี้นอกจากเสียงคลื่นลมและเสียงของบลูเองแล้วบลูก็ไม่เคยได้ยินเสียงอื่นมาก่อน วันนี้เป็นครั้งแรกที่บลูได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ แตกต่างจากเสียงรถยนต์ของเขาเสียงเครื่องยนต์ที่บลูได้ยินดูบ้าระห่ำและอักกะทึกกว่ามาก

ในตอนแรกบลูก็ไม่คิดจะสนใจเสียงนั่นมากนักจนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์หยุดลง ตามมาด้วยเสียงกุกกักและเสียงของเจ้าของรถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่นั้น

“กูบอกว่าขับรถอยู่”

เสียงของคนคนนั้นดังขึ้นไม่ไกลจากจุดที่บลูอยู่มากนัก บลูดับบุหรี่ที่ไม่สามารถสูบต่อได้แล้วลงกับพื้น หยิบเอาถุงซิปล็อกเปิดออกแล้วหย่อนก้นบุหรี่ลงไป

“คิดจะมาก็มา กูจะไปรู้ได้ไงว่าใครจะมาหากูตอนไหน”

ฟังดูราวกับเจ้าของเสียงกำลังหงุดหงิดแต่ในประโยคนั้นบลูก็สัมผัสได้ถึงการหยอกล้อกับคนปลายสายเช่นกัน

คงเพราะเสียงจากคนแปลกหน้าดังจนเกินไป บลูจึงต้องละสายตาจากทะเลและหันไปมองบุคคลที่ทำลายช่วงเวลาแสนสงบของเขาอย่างช่วยไม่ได้

เจ้าของมอเตอร์ไซต์คันใหญ่คุยโทรศัพท์พลางเดินตรงมายังหาดทรายโดยไม่รับรู้เลยว่าที่อันเงียบสงบนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ตนเองอยู่ บลูมองเห็นใบหน้าของชายแปลกหน้าไม่ชัดเพราะแสงไฟที่ตกลงมายังหาดทรายแห่งนี้นั้นแสนจะน้อยนิด บลูจึงเห็นเพียงเสื้อสีดำตัวใหญ่ กางเกงขาสั้นสีดำ และหมวกสีดำที่ชายคนนั้นใส่อยู่

คนคนนั้นคงจะชอบสีดำมากจริง ๆ

ขนาดรถยังเป็นสีดำเลย

“กูเพิ่งออกมา มึงจะให้กูกลับไปตอนนี้หรอ”

ชายคนนั้นบ่นใส่คนที่อยู่ปลายสายขณะที่เดินไปนั่งห่างจากบลูไม่ไกลนัก เป็นอีกจุดที่มีที่นั่งเช่นเดียวกับจุดที่บลูนั่งอยู่

บลูเลิกสนใจคนแปลกหน้าในที่สุด

เขาหยิบซองบุหรี่ที่วางไว้ขึ้นมาอีกครั้งตัดสินใจให้รางวัลสัปดาห์ที่แสนเหน็ดเหนื่อยเป็นบุหรี่อีกมวน เกินโควต้าการสูบวันละมวนที่เขาตั้งไว้ให้ตัวเองและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเสมอมา แต่ทำยังไงได้ในเมื่อความสุขไม่กี่อย่างที่บลูโหยหาเพียงบุหรี่ยี่ห้อโปรดและทะเลในตอนกลางคืนเท่านั้น แม้ว่าทะเลที่เคยคิดว่ามีเขาแต่เพียงผู้เดียวจะถูกใครบางคนแบ่งพื้นที่ไปใช้ก็ตาม

ช่างเถอะ

ถึงอย่างไรก็เป็นพื้นที่สาธารณะอยู่ดี

บลูเคาะบุหรี่มวนสุดท้ายที่เหลือในซองออกมาก่อนใช้ปากคาบมวนบุหรี่เอาไว้และใช้มืออีกข้างจุดไฟแช็ก เป็นเพราะประกายไฟที่สว่างวาบ ในที่สุดคนแปลกหน้าก็รับรู้ถึงตัวตนของบลูในที่สุด

“มึง มีคนอยู่ด้วยว่ะ”

บลูเผลอยิ้มเมื่อคนแปลกหน้าเบาเสียงลงจนเกือบจะเป็นเสียงกระซิบผิดกับก่อนหน้านี้ที่พูดเสียงดังจนบลูไม่ต้องพยายามก็ได้ยินชัดทุกคำ แม้ว่าจะเบาเสียงลงแต่เพราะทั่วทั้งชายหาดก็มีคนอยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้น บลูจึงได้ยินทุกคำพูดของชายแปลกหน้าอยู่ดี

“กูวางล่ะ จะนอนรอหน้าร้านหรือจะกลับเลยก็ตามใจ” ชายแปลกหน้าตัดสายของใครสักคนไปทั้งอย่างนั้น

และจากนั้นความสงบก็กลับคืนมา

นิ้วชี้และนิ้วกลางที่คีบมวนบุหรี่อยู่ขยับไปตามทำนองเพลงที่บลูได้ยินเพียงคนเดียว บลูลบตัวตนของชายแปลกหน้าออกไปอย่างง่ายดายเมื่อได้ความเงียบกลับคืนมา บลูจรดบุหรี่ที่ริมฝีปากของตัวเองกำลังจะสูดเอานิโคตินเข้าปอดอีกครั้ง แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อได้กลิ่นหอมราวกับดอกไม้ตัดกับกลิ่นบุหรี่ในมือของเขาอย่างสิ้นเชิง

เป็นชายแปลกหน้าคนนั้น

บลูเลิกคิ้วขยับเอาบุหรี่ที่ยังไม่สูบออกจากริมฝีปาก

อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ขนาดนี้ตอนไหนบลูเองก็ไม่แน่ใจ แต่ในตอนนี้เขาสามารถเห็นใบหน้าของคนแปลกหน้าได้ชัดขึ้น บลูไม่มีอะไรจะพูดนอกจากจะบอกได้ว่าชายแปลกหน้าคนนี้เป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง ดวงตาชั้นเดียวหรือแบบสองชั้นหลบในบลูก็ไม่แน่ใจ ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ และไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายใส่เสื้อสีดำหรือเปล่าสีผิวของเขาถึงได้ดูสว่างมากขนาดนี้

เจ้าของดวงตาคู่นั้นมองมาที่บลูก่อนจะชูบุหรี่ในมือของตนขึ้นมา รอยยิ้มเป็นมิตรประดับบนใบหน้าของชายแปลกหน้า

“มีไฟแช็กไหมครับ”

“ครับ” บลูตอบรับ

เขาหันไปหยิบไฟแช็กที่วางไว้ข้างตัวและต้องชะงักไปเมื่อหันกลับมา

คนแปลกหน้าใช้ริมฝีปากคาบมวนบุหรี่เอาไว้และโน้มตัวลงมาเป็นจังหวะเดียวกับที่บลูหันกลับมาพอดี บลูเงยหน้ามองคนที่ไม่รู้จักกันแม้แต่น้อย ดวงตาสีดำสนิทของบลูสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลที่กำลังจ้องมองกลับมา ระยะห่างไม่ได้ใกล้เกินไปจนทำให้ตกใจ แต่การกระทำที่คาดไม่ถึงแบบนี้ทำให้บลูแปลกใจก็เท่านั้น

บลูเลื่อนสายตาลงมายังริมฝีปากรูปกระจับที่คาบมวนบุหรี่อยู่ ตัดสินใจทำตามอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ

เขาขยับมือที่ถือไฟแช็กอยู่จากนั้นก็กดมันลงไปจนเกิดเสียงดังแช็ก ประกายไฟสว่างวาบขึ้นมาและดับลงร้อมกับควันที่ลอยสูงขึ้นในอากาศ

คนแปลกหน้ายืดตัวขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับส่งยิ้มเป็นมิตรให้บลูอีกครั้ง

“ขอบคุณครับ”

“ยินดีครับ”

ชายคนนั้นไม่ได้กลับไปนั่งที่เดิม

เขานั่งลงในที่นั่งที่ใกล้กับบลูมากกว่าในตอนแรก แต่อย่างนั้นก็ยังคงเป็นที่นั่งที่ห่างกันมากอยู่ดี ชายหนุ่มโบกมือไล่ควันออกไป เขาไม่ได้สูบบุหรี่เข้าไปในทันทีแต่ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งกดส่วนก้นของมวนบุหรี่ครั้งหนึ่งจนได้ยินเสียงดังเป๊าะ จากนั้นก็สูบนิโคตินเข้าไปด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ

ควันบุหรี่ต่างรสชาติและอุณหภูมิลอยปะปนกันในอากาศ

“ชอบสูบแบบร้อนหรอครับ”

เป็นชายแปลกหน้าที่ชวนคุยขึ้นมาก่อน บลูไม่ใช่คนชอบพูดหรือชอบผูกมิตรกับคนอื่น เพียงแต่ที่ตรงนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากเขาแล้ว และอันที่จริงจะคุยกับคนแปลกหน้านาน ๆ ครั้งก็คงไม่เสียหายเช่นกัน

“ครับ ส่วนคุณก็สูบแบบเย็น”

คำตอบของบลูเรียกรอยยิ้มของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

“ผมเคยลองแบบร้อนแล้วไม่เวิร์กเลย แสบคอไปหมด” คนแปลกหน้าส่ายหน้า “ถ้าในโลกนี้ไม่มีบุหรี่แบบเย็น ผมคงไม่สูบ”

คราวนี้บลูเป็นฝ่ายยิ้มบ้าง

“คุณคงลองยี่ห้อไม่ดีมา”

“มันแตกต่างกันด้วยหรอครับ” คนแปลกหน้าเลิกคิ้ว ปฏิกิริยานี้ไม่เกินความคาดหมายของบลูมากนักเพราะคนที่ลองบุหรี่แบบร้อนในครั้งแรกแล้วไม่ชอบคงจะไม่คิดไปหาบุหรี่แบบร้อนยี่ห้ออื่นมาสูบอีก

บลูไม่เร่งรีบที่จะตอบคำถาม เขาสูบนิโคตินช้า ๆ และพ่นกลุ่มควันออกทางปาก ความร้อนของบุหรี่ที่บลูสูบอยู่ไม่ได้ทำให้บลูแสบคออย่างที่ชายแปลกหน้าเคยเป็น กลับกันบุหรี่แบบร้อนสำหรับบลูแล้ว คงไม่ต่างอะไรกับการดื่มวิสกี้ราคาแพง ในตอนที่ความร้อนที่แทรกซึมสู่บริเวณโพรงปากและลำคอเป็นช่วงเวลาที่ทำให้บลูรู้สึกดี

แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะต้องชอบกินวิสกี้เหมือนกันกับเขา

บุหรี่แบบเย็นก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งเป็นความชอบอีกแบบหนึ่ง แน่นอนว่าราคาอาจจะสูงกว่าแต่ก็แลกมาด้วยความเย็นในยามสูบและความนุ่มที่มากกว่าบุหรี่แบบร้อน แต่ก็ไม่ได้แปลกว่าบุหรี่แบบร้อนทุกยี่ห้อจะแสบร้อนเสมอไป และเมื่อเป็นแบบนั้นบลูจึงยื่นบุหรี่ไปทางคนแปลกหน้าแทนคำตอบ

“ลองไหมล่ะครับ”

“เสียของเปล่า ๆ ครับ” ชายแปลกหน้าปฏิเสธ

“หมายถึง ลองจากมวนที่ผมสูบอยู่” บลูแก้ความเข้าใจของชายแปลกหน้าใหม่ “ลองไหมครับ ถ้าคุณไม่ได้เป็นโรคอะไรที่ติดต่อกันทางน้ำลายน่ะนะ”

ชายแปลกหน้านิ่งไปสักพักขณะที่จ้องมองบุหรี่ในมือของเขา จากนั้นคนตัวใหญ่ที่มีกลิ่นดอกไม้ปะปนกับกลิ่นผลไม้จากบุหรี่ก็ขยับตัวเข้ามาจนใกล้

“ขออนุญาตนะครับ”

บลูเคลื่อนบุหรี่ตามองศาของริมฝีปากของอีกฝ่าย ริมฝีปากรูปกระจับคาบบุหรี่ในมือเขาเอาไว้อก่อนสูดเอานิโคตินแบบร้อนที่ตนเองไม่สันทัดเข้าไป

“แค่ก ๆ ”

บลูกลั้นหัวเราะ

“เป็นอะไรไหมครับ” เขาถามด้วยความกังวลหลังจากคนแปลกหน้าไอออกมาทันทีที่รับควันร้อนเข้าไป สีหน้าไม่สู้ดีของชายแปลกหน้าทำเอาบลูไม่กล้าหัวเราะแม้ว่าเขาจะรู้สึกตลกมากก็ตาม ชายแปลกหน้าปัดมือไปมาเป็นการปฏิเสธแต่ก็ไอออกมาอีกรอบจนน้ำตาคลอ

“ผม แค่ก โอเคครับ”

บลูอมยิ้มเมื่ออีกฝ่ายอาการเริ่มดีขึ้น เขาสูบบุหรี่มวนเดียวกัน พ่นควันออกมา แน่นอนว่าไม่มีอาการแบบชายแปลกหน้า เพราะเขาชินกับความร้อนของบุหรี่มานานมากแล้ว และเช่นเดียวกัน หากให้บลูไปสูบบุหรี่แบบเย็นแบบที่อีกฝ่ายชอบ ถึงจะสูบได้โดยไม่มีปัญหาแต่บลูไม่ชอบความรู้สึกเย็นจนชาแบบนั้นอยู่ดี

“ผมถนัดแบบเย็นมากกว่า”

ชายแปลกหน้าพูดขึ้นหลังจากดื่มน้ำที่พกติดตัวมาอึกใหญ่ ความแสบร้อนที่เกิดขึ้นทำให้เขาหายใจผิดจังหวะจึงสำลักควันบุหรี่ราวกับคนไม่เคยสูบ รสชาติร้อน ๆ กับกลิ่นที่ไม่คุ้นเคยยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปาก ชายแปลกหน้าเหลือบมองริมฝีปากของบลูก่อนเอ่ยมาอีกหนึ่งประโยค

“แต่ยี่ห้อนี้ก็ไม่แสบคอขนาดนั้น”

“ผมบอกแล้ว” บลูยักไหล่

แม้จะลองบุหรี่แปลกยี่ห้อไปแล้วแต่ชายแปลกหน้าก็ไม่ได้ขยับกลับไปนั่งที่เดิมแต่อย่างใด บลูและชายที่เขาไม่รู้จักชื่อยังคงนั่งสูบบุหรี่ข้างกัน อาจเพราะสถานการณ์ก่อนหน้านี้บลูที่ไม่คุ้นชินกับคนแปลกหน้ากลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดจนอยากเดินหนี กระทั่งบุหรี่ในมือบลูหมดลงก่อนและหากเป็นปกติพอสูบบุหรี่จนหมดเขาก็จะกลับ

ก็ถ้ามันเป็นปกติน่ะนะ

คงเพราะอากาศที่เย็นกว่าในตอนกลางวันหลายเท่า และในฤดูร้อนแบบนี้คงน่าเสียดายหากไม่ได้สัมผัสอุณหภูมิที่หาไม่ได้ในตอนกลางวัน บลูจึงตัดสินใจนั่งอยู่ตรงนี้นานขึ้นอีกหน่อยแม้ว่าผิวของเขาจะเย็นไปหมดเพราะใส่เสื้อแขนกุดก็ตาม

“คุณมีรอยสัก”

คนที่บลูคิดว่าเลิกสนใจเขาไปแล้วพูดขึ้นมา

แม้ว่าจะเห็นไม่ชัดแต่ก็พอมองออกว่าบลูมีรอยสัก ทั้งยังมีรอยสักค่อนข้างเยอะด้วย เห็นชัดที่สุดก็คงเป็นรอยที่ท้องแขนด้านซ้าย บลูยื่นแขนข้างที่มีรอยสักเด่นชัดที่สุดไปตรงหน้าอีกฝ่าย เป็นรอยสักหมึกดำรูปนกที่บลูก็ระบุไม่ได้ว่าเป็นนกชนิดไหนกำลังสยายปีกบินออกจากกรงขัง

“สักมานานหรือยังครับ”

ชายแปลกหน้าดูเหมือนจะสนใจรอยสักของบลูเป็นพิเศษ

“ประมาณเจ็ดปีมั้งครับ”

บลูได้กลิ่นผลไม้และกลิ่นดอกไม้ยามที่ชายแปลกหน้าขยับตัว แม้ไม่รู้ว่ากลิ่นทั้งสองเป็นกลิ่นจากบุหรี่มวนนั้นหรือเปล่าแต่เป็นกลิ่นที่บลูรู้สึกว่าหอมดี

ชายแปลกหน้าไม่ทันสังเกต เขามองดูรอยสักที่ท้องแขนซ้ายของบลูอย่างตั้งใจ บางทีอาจจะเป็นคนที่ชอบรอยสักเหมือนกัน แต่เมื่อกวาดตามองตามแขนและขารวมถึงผิวเนื้อที่โผล่ออกมาพ้นเสื้อผ้า บลูก็ไม่เห็นรอยสักของคนคนนี้เลยแม้แต่รอยเดียว

บลูดึงแขนกลับคืนเมื่ออีกฝ่ายดูจนพอใจ

“มีรอยเดียวหรอครับ”

บลูส่ายหน้า

ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะลื่นไหลไปกับบทสนทนาสักเท่าไหร่ เป็นประเภทถามคำตอบคำและตอบเท่าที่จำเป็น มีเพียงแค่หัวข้อพิเศษอย่างบุหรี่และรอยสักที่บลูยินดีที่จะพูดมากกว่าปกติและคนแปลกหน้าคนนี้ก็ชวนบลูคุยได้ตรงจุดจนบลูเองก็ประหลาดใจ และเพราะแบบนั้นบลูจึงโชว์รอยสักในจุดที่มองเห็นได้ให้อีกฝ่ายดูอย่างง่ายดาย

“มีตรงนี้อีกครับ”

บลูพลิกแขนของตัวเอง เผยให้เห็นรอยสักตัวอักษรสีดำที่เขียนชื่อของเขาเป็นภาษาอังกฤษและมีเส้นสีน้ำเงินขีดฆ่าคำนั้นเอาไว้ที่บริเวณเหนือข้อศอก

บลูขยับแขนกลับตามเดิมมองดูใบหน้าของชายแปลกหน้าก่อนจะพูดออกมาติดตลก

“ที่จริงก็มีอีกหลายรอยแต่ผมคงโชว์ให้คุณดูทั้งหมดไม่ได้”

ชายแปลกหน้ามองข้ามลำตัวของบลูไปมองรอยสักรูปนกบนแขนด้านซ้ายก่อนจะคลี่ยิ้ม

“หวังว่าผมคงมีโอกาสได้เห็นนะครับ”

บลูชะงักไป

ก่อนที่บลูจะคิดทบทวนถึงประโยคพวกนั้นอย่างจริงจังเสียงริงโทนจากโทรศัพท์ก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน บทสนทนาเหล่านั้นถูกปัดออกไปอย่างรวดเร็ว บลูเอ่ยบอกว่าให้ชายแปลกหน้ารับสายตามสบายเพราะอีกฝ่ายมองมาทางเขาเหมือนกับจะขออนุญาตทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด

“อะไร”

ชายแปลกหน้าไม่ได้ขยับตัวออกไปรับสายอย่างที่บลูคิดไว้ ราวกับไม่ได้สนใจว่าบทสนทนาของเขาและปลายสายจะมีคนแปลกหน้าฟังอยู่หรือไม่ ประโยคและน้ำเสียงหลังจากรับโทรศัพท์ค่อนข้างห้วน เดาว่าหากไม่สนิทกับปลายสายมากก็คงไม่อยากคุยกับปลายสายมาก แต่บลูเอนเอียงไปสาเหตุแรกมากกว่า

“คิดถึงกูขนาดนั้นเลยนะ”

บลูพยายามไม่สนใจบทสนทนาของชายแปลกหน้าตามมารยาทที่ดี แต่เพราะพวกเขานั่งใกล้เกินไป บลูจึงรับรู้บทสนทนาทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“เออ กลับก็กลับ”

แล้วก็วางสายไปทั้งอย่างนั้น

“ผมต้องไปแล้ว” เขาหันมาพูดกับบลู ชายแปลกหน้าเก็บโทรศัพท์และดับบุหรี่ที่ใกล้หมด เขาใช้ทิชชู่ห่อรอบก้นบุหรี่ก่อนจะใส่มันลงไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองอย่างลวก ๆ ไม่ได้มีท่าทางอย่างคนต้องไปแล้วอย่างที่เขาบอกกับบลูเลยสักนิด

บลูเหลือบมองเวลาพบว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้มานานมากทีเดียว เวลาในคืนวันศุกร์ผ่านไปไวราวกับเป็นเรื่องโกหก คงเพราะบรรยากาศของท้องทะเลตอนกลางคืน เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งและลมเย็นในฤดูร้อน

หรืออาจเป็นเพราะบทสนทนาที่มีกับชายแปลกหน้าคนนี้บลูเองก็ไม่แน่ใจ

“โชคดีครับ”

บลูเอ่ยลาถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าที่มาบังเอิญเจอกัน ชอบสูบบุหรี่ แล้วก็สนใจรอยสักของเขามากเป็นพิเศษ

ชายแปลกหน้าเถอดหมวกที่สวมอยู่ออก เผยให้เห็นผมสีดำที่ค่อนข้างยาวและหยักศก เขารวบผมที่ปรกหน้าเก็บเข้าในหมวกดังเดิมแล้วยืนขึ้น บลูคิดว่าเขาจะเดินจากไปในทันทีหากแต่ชายแปลกหน้ายังยืนอยู่ที่เดิม บลูจึงต้องเงยหน้ามองอย่างช่วยไม่ได้

สีหน้าลังเลของคนตรงหน้าหายไปเมื่อเขาได้สบตากัน

“อันที่จริงผมเปิดร้านสักไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่”

คำพูดของเขาบอกได้ดีว่าทำไมเขาถึงสนใจรอยสักของบลูเป็นพิเศษ ชายแปลกหน้าควานหาอะไรสักอย่างในกระเป๋ากางเกง เขาหยิบกระดาษแผ่นเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกงตามด้วยปากกา เขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษสีขาวอยู่สักพักจากนั้นจึงยื่นมาให้บลู

“ถ้าสนใจลองไปดูก็ได้นะครับ”

ก่อนที่จะจากไปจริง ๆ คนแปลกหน้าหันกลับมาพูดกับบลูอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรเหมือนตอนแรกที่เจอ

“แล้วเจอกันครับ”

 

 

 

#เบบี้ของบลู

 

 

talk: 

สวัสดีนักอ่านในอนาคตนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านไม่ว่าจะเผลอกดเข้ามาหรือตั้งใจเข้ามาก็ตาม นิยายเรื่องนี้เป็นออริเรื่องแรกที่เราตัดสินใจเอาลงสาธารณะเลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะชอบการบรรยายประมาณนี้กันหรือเปล่า ติชมหรือเป็นกำลังใจให้เราผ่านคอมเมนต์หรือแท็กของเรื่องผ่านทวิตเตอร์ (#เบบี้ของบลู) ได้เลยนะคะ 

เพิ่งลองใช้บริการ platform นี้เป็นครั้งแรก ยัง tab ย่อหน้าไม่ได้เลยค่ะ ไว้ tab ย่อหน้าได้แล้วจะมาแก้ไขนะคะ ขออภัยหากอ่านยากค่ะ ._.

océan bleu