ช่วงยามเย็นที่แสงอาทิตย์สาดแสงสีส้มสวยงามใกล้ลับขอบฟ้าเหมาะกับวันอาทิตย์แสนเงียบสงบ ประตูสีฟ้าอ่อนของทาวน์โฮมสองชั้นหลังหนึ่งถูกเปิดออก

            “เจค ผมกลับมาแล้ว” 

            ชายวัยกลางคนถอดเสื้อนอกพาดไว้กับโซฟา โทรทัศน์ถูกเปิดทิ้งไว้แต่ไร้ซึ่งร่างของคนรัก

            “เจค

            เขาเรียกอีกครั้ง พร้อมกับก้าวเดินอย่างระมัดระวังผิดกับหัวใจที่เต้นระส่ำ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศผิดปกติ นอกจากเสียงโทรทัศน์แล้วทุกอย่างในบ้านเงียบสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหวราวกับไม่มีใครอยู่ ชายหนุ่มหันไปเห็นโทรศัพท์ตกอยู่บนพื้นใกล้กับทางเข้าห้องครัว

            เมื่อก้าวข้ามผ่านพื้นพรมไปยังพื้นไม้ก็เห็นหยดของเหลวสีแดงบนพื้นเป็นทาง ตอนนี้เขาได้ยินแต่เสียงฝีเท้าตัวเองกำลังเดินตามรอยปริศนานั่นไป กระทั่งผ่านเคาน์เตอร์สีขาวก็พบว่าของเหลวสีแดงที่เป็นหยดเล็กๆ กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนกลายเป็นเจิ่งนองไปทั่วพื้น กลิ่นคาวคลุ้งจนรู้ว่านั่นไม่ใช่ของเหลวธรรมดาแต่เป็นกองเลือด พลันสายตาพยายามมองหาต้นเหตุก็พบร่างของคนรักนอนคว่ำหน้าจมกองเลือด

            “...เจค” 

            เสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ ขาทั้งสองที่ก้าวเข้าไปหาร่างตรงหน้าสั่นสะท้านจนแทบยืนไม่อยู่ มือที่สัมผัสกายคนรักเย็นเฉียบจนไม่รู้ว่าเป็นอุณหภูมิของใครกันแน่

            “เจค

            เขาเรียกอีกครั้งด้วยเสียงอันแหบแห้ง เมื่อพลิกร่างอีกฝ่ายให้หันหน้ามา หัวใจก็แทบหยุดเต้น ดวงตาสีฟ้าที่เบิกกว้างของอีกฝ่ายบอกเล่าถึงเหตุการณ์อันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี บาดแผลฉกรรจ์ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเต็มไปด้วยเลือดอาบย้อมบนเสื้อผ้าเช่นเดียวกับมือของเขาที่แดงฉานอย่างรวดเร็ว หยาดน้ำตาพร้อมใจกันไหลทะลักออกมาโดยไม่รู้ตัว

            เสียงตะโกนเรียกชื่อคนรักดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ไม่มีทีท่าว่าริมฝีปากได้รูปคู่นั้นจะเปล่งวาจาใดๆ ออกมาได้ เขาลูบดวงหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย

            “..เจค...เจค...”

            

เจค!!

            

ศาสตราจารย์นิโคลัส แบรดลีย์สะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝันที่หลอกหลอนเขามาเป็นระยะเวลานานเกือบปี ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างด้วยอารามตกใจ หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เหงื่อกาฬไหลแตกพลั่ก เขาหายใจหอบ ยกมือขึ้นกุมศีรษะ ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมาเกือบปีแล้วแต่ภาพในวันนั้นยังคงฝังแน่นในความทรงจำของเขา สีหน้าหวาดกลัวของคนรักยังติดตามาโดยตลอด

            ภายในห้องน้ำตรงอ่างล้างหน้ามีแปรงสีฟันสองอันวางคู่กันในแก้ว ทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนตอนที่เขาและเจคย้ายเข้ามาเป็นครั้งแรก เขาล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็หยิบผ้าขนหนูที่แขวนคู่กันขึ้นมาใช้หนึ่งผืน ภายในห้องนอนยังคงมีเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ของอีกฝ่ายครบถ้วน พวกเขาย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ได้สี่ปีครึ่งก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นแต่นิโคลัสรู้จักเจคมาตั้งแต่สมัยที่อีกฝ่ายยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ชีวิตคู่ของพวกเขาเริ่มต้นอย่างแท้จริงพร้อมกับบ้านหลังนี้

            ชายวัยกลางคนเดินลงไปข้างล่าง ตรงเข้าครัวเพื่อกินอาหารเช้า เขาเผลอมองไปที่พื้นหลังเคาน์เตอร์ ภาพร่างไร้วิญญาณของเจคนอนจมกองเลือดอยู่ตรงนั้น ศีรษะที่คว่ำอยู่บิดหันกลับมาเผยให้เห็นดวงตาเบิกกว้างกับสีหน้าหวาดกลัว 

            “ทำไมคุณไม่ช่วยผม!”

           นิโคลัสผงะจนเซไปด้านหลัง เขาเกาะโต๊ะอาหารเป็นที่ยึดเหนี่ยวเมื่อมองกลับไปที่เดิมก็พบแต่ความว่างเปล่า มีเพียงพื้นไม้ตามปกติ ไร้ซึ่งเลือด ไร้ซึ่งศพ เขารู้ดีว่าคำพูดที่ได้ยินนั้นเป็นเพียงจินตนาการที่ตนสร้างขึ้นมา เจคไม่มีโอกาสได้พูดอะไรทั้งนั้น สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาคุยกันคือการทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

            กลิ่นหอมของกาแฟช่วยขับไล่ฝันร้ายให้จางลง นิโคลัสนั่งลงบนโซฟาประจำในห้องนั่งเล่น มองดูบ้านอันกว้างขวางของตัวเอง ทาวน์โฮมสองชั้นที่พวกเขาเคยคุยกันว่ามันกว้างไปสำหรับคนสองคน แต่เมื่อเหลือตามลำพังเพียงคนเดียวกลับเพิ่มความอ้างว้างผสมรวมไปด้วย 

            ภาพถ่ายคู่กันในวันที่เขาทั้งสองย้ายเข้ามาวันแรกตั้งบนชั้นวางของในห้องนั่งเล่น รอยยิ้มอันสดใสของเจคคือสิ่งที่เขารักมากที่สุด ไม่มีวันไหนที่เขาไม่คิดถึงอีกฝ่าย ทุกวินาทีของลมหายใจยังมีเจคอยู่ร่วมด้วยตลอดเวลา

นิโคลัสเดินไปยังห้องด้านในที่เขาใช้เป็นห้องทำงานส่วนตัว บนโต๊ะเขียนหนังสือมีเอกสารมากมายสำหรับการสอนกองอยู่บนนั้น พร้อมกับกรอบรูปที่ประดับภาพถ่ายคนรักไว้ด้านใน เขาเปิดลิ้นชักข้างบนด้านขวาของโต๊ะออกเผยให้เห็นตลับใส่บุหรี่สีเงินที่ตนซื้อให้เจคเป็นของขวัญ ข้างๆ กันคือปืนพกหนึ่งกระบอกที่ซื้อมาหลังจากเจคเสียชีวิตไป ไม่ใช่เพราะเอาไว้ป้องกันตัวว่าคนร้ายจะย้อนกลับมา แต่เพราะตั้งใจจะเก็บไว้ใช้กับตัวเอง 

เขาอยากหยุดความเจ็บปวดเหล่านี้พอกันทีกับการมีชีวิตอยู่อย่างไร้ความหมาย โลกที่ไม่มีเจคอยู่จะยังมีค่าอะไร

มือที่เอื้อมไปจับกระบอกปืนชะงักค้างเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาปิดลิ้นชักตามเดิมก่อนกลับไปที่ห้องนั่งเล่น แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา

            “ลุงนิค เคซี่เองนะคะ!” เสียงลูกสาวคนโตของน้องชายดังลอดลำโพงโทรศัพท์ น้ำเสียงแสดงออกถึงความตื่นเต้นที่พลอยทำให้เขารู้สึกไปด้วย หนูโทรมาเช้าไปหรือเปล่าคะ คุณพ่อบอกให้รอสายกว่านี้แต่หนูตื่นเต้นจนรอไม่ไหว

            “ไม่หรอก ลุงว่างสำหรับเคซี่เสมอ

            หญิงสาวหัวเราะเสียงใส

            “ลุงนิค หนูกำลังจะแต่งงานค่ะ” เธอพูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข นั่นเป็นข่าวดีที่สุดในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาสำหรับนิโคลัส

            “ยินดีด้วย ใครเป็นหนุ่มผู้โชคดีกันล่ะ แพทริคเหรอ” ศาสตราจารย์ไม่ได้ติดต่อกับญาติมานานจนไม่รับรู้ข่าวสารเท่าไรนัก แต่นั่นเพราะตัวเขาไม่คิดจะเปิดรับใครเสียมากกว่า ทุกครั้งที่พูดคุยทุกคนมักเอ่ยปลอบใจทั้งที่เขาไม่ต้องการคำพูดชวนสงสารนั่น

            “ค่ะ แพทริค แคมป์เบล” หญิงสาวตอบหนูส่งการ์ดเชิญงานแต่งไปให้แล้วนะคะ ครอบครัวแพทริคเป็นเจ้าของโรงแรม เราเลยจะไปจัดงานที่นั่น พวกเขาชวนญาติๆ ไปพักที่นั่นก่อนวันงานด้วยค่ะ คุณลุงต้องไปนะคะ

            นิโคลัสนิ่งเงียบไป แม้จะยินดีกับหลานสาวคนโปรดทว่าการจะให้ไปร่วมงานสังสรรค์เป็นสิ่งที่เขาเลี่ยงมาตลอด ทั้งวันขอบคุณพระเจ้า วันคริสต์มาส วันปีใหม่ เขาก็ไม่ได้ไปพบหน้าครอบครัว นอกจากมหาวิทยาลัยที่ตนสอนแล้วก็ไม่ไปที่ไหนอีก

            “คุณลุงคะ” เคซี่เรียกขึ้น น้ำเสียงแสดงออกถึงความผิดหวัง คุณพ่อบอกว่าไม่ให้รบกวนคุณลุง แต่หนูอยากให้คุณลุงมาจริงๆ รวมทั้งอยากให้ลุงเจคมาด้วย...เขาเป็นคนชอบงานเลี้ยงสังสรรค์อยู่ด้วยนี่คะ หนูรู้ว่าคุณลุงคิดถึง หนูเองก็คิดถึงเหมือนกัน

            ต่างฝ่ายต่างก็เงียบไป

            “คุณลุง

            “ลุงจะพลาดงานสำคัญของหลานได้อย่างไร” เขาตอบและได้ยินเสียงกรี๊ดของเธอลอดโทรศัพท์

            “คุณลุงสัญญาแล้วนะคะ ห้ามเบี้ยวเด็ดขาดเลยนะคะ” หญิงสาวกำชับหลายทีก่อนบอกให้เขาดูแลสุขภาพและวางสายไป

เมื่อวางโทรศัพท์ความเงียบก็เข้าจู่โจมบ้านหลังนี้อีกครั้ง เขาไม่เคยคิดเรื่องย้ายออกจากบ้านหลังนี้มาก่อนแม้ว่าครอบครัวของเขาและเจคต่างก็อยากให้ย้ายออก แต่นิโคลัสไม่อาจทำใจได้หากต้องจากบ้านหลังนี้ไปจริงๆ ต่อให้มันมีภาพเลวร้ายติดตาอยู่จนถึงทุกวันนี้แต่ที่นี่ก็มีช่วงเวลาดีๆ ระหว่างเขาทั้งคู่ ทั้งความสุข ความทุกข์และความเจ็บปวดล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องช่วยเตือนถึงความเป็นจริงของชีวิต

การ์ดแต่งงานเดินทางมาถึงในวันรุ่งขึ้น นิโคลัสมองดูวันที่จัดงานด้านในพร้อมหยิบบัตรเข้าพักโรงแรมออกมาวางบนโต๊ะก่อนกลับไปให้ความสนใจกับการ์ดเชิญในมือ เขากับเจคไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนี้ พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันโดยไม่มีคำรับรองจากกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ แต่อย่างน้อยทั้งที่บ้านและมหาวิทยาลัยที่เขาสอนก็ไม่ได้กีดกันความเป็นตัวตนของเขา

เมื่อไม่อาจปฏิเสธหลานสาวคนสำคัญได้ลงคอ นิโคลัสก็ใช้วันลาพักร้อนที่มีในการเข้าร่วมงานสำคัญ สะสางเอกสารและแผนการสอนของตนให้เรียบร้อยพร้อมทั้งฝากงานให้กับอาจารย์อีกท่านช่วยสอนแทน ศาสตราจารย์ตระเตรียมข้าวของเท่าที่จำเป็น แม้ในใจอยากแค่ไปร่วมงานในวันจริงเลยแต่ครอบครัวแคมป์เบลก็ส่งบัตรเข้าพักทั้งสัปดาห์มาให้ เขารู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสไปพักผ่อนกับคนรักในสถานที่ที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้

 

หลังจากขับรถออกจากตัวเมือง ผ่านเส้นทางชนบทมุ่งสู่ถนนสายรองก่อนจะเห็นป้ายโรงแรมตั้งอยู่ริมทาง หากไม่ได้สังเกตคงเลยเป็นแน่ เขาเลี้ยวรถเข้าสู่เส้นทางอันคับแคบที่สวนกันยังลำบาก สองข้างทางไร้ซึ่งบ้านเรือนมีเพียงต้นไม้สูงเรียงยาวตลอดแนว ยิ่งขับลึกเข้าไปเรื่อยๆ ยิ่งสัมผัสได้ถึงความแปลกแยกของจุดหมายปลายทาง กว่าจะมาถึงที่หมายท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว โรงแรมดังกล่าวปรากฏสู่สายตา รั้วสีดำขนาดใหญ่เปิดออกกว้างแสดงถึงการต้อนรับแขก ทว่าบรรยากาศภายนอกไม่น่าให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินเช่นนี้ ความเงียบเหงาวังเวงปกคลุมโดยรอบเสียยิ่งกว่าทาวน์โฮมของตัวเองเสียอีก ถัดจากอาคารสูงแบบโบราณคือต้นไม้สูงชะลูดที่ตั้งเรียงรายจนแทบมองไม่เห็นทาง ทว่าพอออกจากรถเขาก็ได้ยินเสียงทะเลดังแว่วมาแต่ไกล

หากจะให้เรียกสถานที่แห่งนี้ว่าเป็นโรงแรมคงไม่ถูกนัก ในความคิดของนิโคลัส ที่นี่คงเป็นคฤหาสน์ของคนรวยก่อนจะกลายมาเป็นโรงแรม เพราะลักษณะสิ่งปลูกสร้างแตกต่างจากอาคารสูงสี่เหลี่ยมที่สร้างเป็นโรงแรมในปัจจุบัน อีกทั้งที่นี่ก็ดูเก่าแก่โบราณเกินกว่าจะเป็นโรงแรมเปิดใหม่ 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียงกรุ๊งกริ่งของกระดิ่งสีทองตอนเปิดประตูเข้าไปด้านในหรือเสียงไม้เก่าดังเอี๊ยดอ๊าดกันแน่ ที่ทำให้พนักงานชายหลังเคาน์เตอร์ไม้หันมองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ยินดีต้อนรับครับ ตอนนี้ทางโรงแรมสงวนสิทธิ์เฉพาะผู้มีบัตรเชิญมาร่วมงานแต่งงานเท่านั้น

นิโคลัสกำลังจะหยิบบัตรเข้าพักออกมาจากกระเป๋าก็ได้ยินเสียงอันคุ้นหูทักขึ้น

ลุงนิคคะ” เคซี่ฉีกยิ้มกว้างยามเห็นคุณลุงของตนมาร่วมงาน เธอตรงเข้าไปทัก หอมแก้มทั้งสองข้างก่อนหันมาทางพนักงานต้อนรับของโรงแรม คนนี้เป็นคุณลุงของฉันเอง ศาสตราจารย์นิโคลัส แบรดลีย์

ทราบแล้วครับ คุณผู้หญิง” พนักงานชายหันไปหยิบกุญแจห้องพักก่อนส่งให้นิโคลัสพร้อมกล่าวขอบคุณ

เคซี่อาสาพาคุณลุงของเธอไปส่งถึงห้องพัก หญิงสาวดูเบอร์ห้องบนกุญแจก่อนยิ้มกว้าง

วิวห้องฝั่งเลขคู่จะมองเห็นทะเลด้วยนะคะ” 

ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดวนเป็นรูปสี่เหลี่ยม ระหว่างทางก็เห็นกรอบรูปขนาดใหญ่ ด้านในคือภาพวาดครึ่งตัวของชายสูงวัย สีหน้าบึ้งตึงไม่ต้อนรับแขก ตาของเขาจ้องเขม็งมายังศาสตราจารย์ แม้จะเดินขึ้นบันไดมาแล้วพอหันกลับไปมองก็พบว่าดวงตาคู่นั้นยังคงมองตามแผ่นหลังของเขามา เป็นภาพที่สร้างความรู้สึกแย่ให้กับคนมอง

มองกี่ทีภาพนั้นก็น่ากลัวไม่เปลี่ยน” เธอพูดขึ้น แพทริคบอกว่าเป็นรูปเจ้าของคนก่อน เพื่อแสดงความเคารพพวกเขาเลยไม่ถอดรูปออก

ที่นี่สร้างมานานแล้วสินะ” นิโคลัสเริ่มชวนคุยขณะเดินไปยังห้องพักของตน

เท่าที่หนูทราบตระกูลแคมป์เบลเพิ่งมาเป็นเจ้าของได้ไม่นานเองค่ะ เพิ่งจะเปิดโรงแรมมาได้เดือนเศษๆ เอง ถึงจะดูเก่าแล้วก็น่ากลัวแต่วิวทะเลก็สวยจนอดชื่นชมไม่ได้ ห้องนี้แหละค่ะ” หญิงสาวไขกุญแจให้ลุงของเธอเสร็จสรรพก่อนเปิดประตูเข้าไปแล้วหันมาทางนิโคลัสอีกครั้ง ลุงนิคพักผ่อนตามสบายนะคะ แขกเริ่มทยอยมาเข้าพักบ้างแล้ว มื้อค่ำเราจะรับประทานอาหารร่วมกันที่ห้องอาหารชั้นล่าง แล้วเจอกันค่ะ

ชายวัยกลางคนส่งยิ้มแทนคำขอบคุณก่อนสาวเท้าเข้าไปด้านในห้องพักแล้วปิดประตูตามหลัง เมื่อเปิดไฟก็พบว่าภายในแบ่งสัดส่วนไว้อย่างลงตัว นิโคลัสวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนเตียงนอนขนาดหกฟุตก่อนเดินไปเปิดผ้าม่านก็เห็นเงามืดอยู่ไกลๆ คาดว่าเป็นทะเล หากเป็นช่วงเช้าคงจะเห็นวิวที่สวยงามกว่านี้ 

เขาจัดเก็บข้าวของและสำรวจห้องด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ มีทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะทำงานและชุดรับแขกจัดไว้พร้อมเพื่ออำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ แม้สภาพโรงแรมแห่งนี้จะดูวังเวงแต่ห้องพักกลับทำออกมาได้น่าอยู่กว่าที่คิด ทว่าภาพวาดสีน้ำมันรูปบ้านเรือนและแผ่นหลังของคนที่กำลังเดินเข้าบ้านที่ประดับอยู่เหนือเตียงก็ชวนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

นิโคลัสนั่งลงบนเตียงจ้องมองไปในความว่างเปล่าตรงหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย เขาตกอยู่ในภวังค์อย่างรวดเร็วพลางนึกถึงคนรักที่ไม่เคยมีโอกาสมาพักผ่อนแบบนี้ เขาหยิบตลับใส่บุหรี่สีเงินออกจากกระเป๋าเสื้อนอก สิ่งที่สะท้อนมาคือใบหน้าหมองคล้ำของตัวเอง หากเจคยังอยู่เขาคงโดนอีกฝ่ายต่อว่าเรื่องไม่ดูแลตัวเองแน่นอน ความเย็นของกล่องสแตนเลสเหมือนร่างกายของเจคในวันนั้นไม่มีผิด เขาเก็บของดูต่างหน้าใส่กระเป๋าตามเดิมก่อนจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อลงไปที่ห้องอาหาร

ภาพชายชราตรงบันไดเป็นสิ่งที่สร้างความตกใจทุกครั้งที่เดินผ่าน แม้นิโคลัสเลี่ยงที่จะไม่มองแต่ก็รู้สึกเหมือนถูกสายตาจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ระหว่างที่กำลังเดินลงบันไดก็ได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะลั่นจากด้านล่าง เขาจำผู้ชายผมบลอนด์ทองหนึ่งในนั้นได้เพราะเป็นคู่หมั้นหลานสาวของตน

ศาสตราจารย์ ดีใจจริงๆ ที่คุณมา” แพทริคทักขึ้นทันทีที่เห็น ทั้งคู่จับมือทักทาย นิโคลัสไม่ได้เห็นอีกฝ่ายมานานพอสมควรเพราะเขาแทบตัดขาดจากคนในครอบครัวอย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายแนะนำเพื่อนสนิทของตนให้ได้รู้จัก เขาเพียงแค่จับมือทักทายตามมารยาทเท่านั้น

ศาสตราจารย์เชี่ยวชาญด้านไหนเหรอครับ” ชายผมสั้นสีดำถามด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงสงสัย ดวงตาสีดำที่ซ่อนอยู่ใต้แว่นกรอบดำมองด้วยความใคร่รู้

ผมสอนวรรณคดี” เขาตอบก่อนปล่อยมือจากอีกฝ่าย รู้สึกเหมือนถูกสายตาคู่นั้นตัดสินทั้งที่มั่นใจว่าตัวเองอายุมากกว่าหลายสิบปี

อย่าเสียมารยาทสิ เทรเวอร์” แพทริคปราม หันกลับมาทางนิโคลัสอีกครั้ง อย่าสนใจเลยครับ ศาสตราจารย์ เทรเวอร์มันเรียนนิติเวชอยู่ วันๆ พูดคุยกับศพ คุยกับคนไม่เป็นเท่าไร อีกเดี๋ยวเคซี่ก็ลงมาแล้วครับ เชิญศาสตราจารย์ที่ห้องอาหารได้เลย เรย์นาร์ดอยู่ที่นั่นแล้วครับ

พอได้ยินชื่อน้องชายตัวเองนิโคลัสก็ยิ้มขืนก่อนเดินไปยังห้องอาหารที่ภายในเต็มไปด้วยผู้คน อาหารจัดแบบบุฟเฟต์บนโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าปูด้วยผ้าสีขาว อาหารมากมายทั้งคาวหวานละลานตา บรรยากาศราวกับอยู่ในงานเลี้ยงโดยมีเสียงดนตรีเปิดคลอเบาๆ ให้ความบันเทิง แขกที่พักในช่วงนี้มีเฉพาะผู้มาร่วมงานแต่งเท่านั้นซึ่งเป็นครอบครัวและญาติของคู่บ่าว – สาว รวมถึงแขกคนสำคัญในงานที่ทำงานกับตระกูลแคมป์เบล

นิโคลัสเห็นเรย์นาร์ดยืนอยู่กับอลิเซีย ภรรยาของเขาพูดคุยกับคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่ตนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ถึงจะไม่อยากเข้าไปทักแต่ก็คงเสียมารยาทไม่ได้ในเมื่อเขาตัดสินใจมาร่วมงานแต่งงานของหลานสาวแล้ว

เรย์ อลิเซีย

นิค!” ทั้งคู่ทักพร้อมกันสวยสีหน้าประหลาดใจก่อนที่อลิเซียเป็นฝ่ายพูดต่อ เคซี่บอกว่าคุณจะมาแต่ฉันก็กังวลว่าคุณจะมาจริงไหม ฉันดีใจจริงๆ ที่คุณมา

เธอสวมกอดพร้อมหอมแก้มทักทายก่อนที่นิโคลัสจะแสดงความยินดีกับทั้งสองคน เรย์นาร์ดแนะนำคู่สามี – ภรรยาที่เขาคุยด้วยให้ได้รู้จัก ฝ่ายหญิงเป็นหุ้นส่วนของแคมป์เบลจึงได้รับเชิญมาในงานนี้ด้วย พวกเขาพูดคุยกันครู่หนึ่งก่อนที่เรย์นาร์ดจะพาพี่ชายของตนไปทำความรู้จักกับครอบครัวฝ่ายเจ้าบ่าว

ครั้งแรกที่นิโคลัสเห็นแฮริสัน แคมป์เบล เขาก็รู้เลยว่าแพทริคได้เค้าโครงหน้าและบุคลิกมาจากใคร อีกฝ่ายมีมาดของนักธุรกิจและความเป็นผู้นำสมเป็นเจ้าของบริษัท เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเริ่มมีผมขาวแซมบางส่วน ดวงตาสีฟ้าดูอิดโรยตามวัย กระนั้นก็ยังคงสง่าผ่าเผยน่าเคารพนับถือ

ได้ยินเรย์นาร์ดพูดถึงคุณบ่อยๆ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ศาสตราจารย์

เรียกนิโคลัสเถอะครับ

อีกฝ่ายยกยิ้มก่อนพยักหน้ารับ เชิญตามสบายนะครับ ถ้าโรงแรมเรามีอะไรขาดตกบกพร่องยินดีรับคำแนะนำเสมอ

โรงแรมของคุณยอดเยี่ยมมากครับ” เขาเอ่ยชมทว่าก็รู้สึกได้ว่าเป็นคำชมตามมารยาท โรงแรมแห่งนี้ให้ความรู้สึกลึกลับน่าค้นหา อาจเพราะความเก่าแก่ที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้นก็เป็นได้

นิโคลัสนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับครอบครัวน้องชายและครอบครัวเจ้าบ่าว ยกเว้นตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวที่นั่งโต๊ะแยกไปกับกลุ่มเพื่อนของพวกเขา เสียงพูดคุยครึกครื้นเป็นกันเองอย่างสนุกสนานนั้นไม่ได้เข้ามาในการรับรู้ของเขาเท่าไรนัก เป็นเรื่องปกติที่เขาจะนั่งเงียบเช่นนี้เพราะต่อให้รอบข้างมีสีสันและบรรยากาศรื่นเริงเพียงใด นิโคลัสก็ไม่อาจปล่อยใจให้มีความสุขไปกับมันได้ สีหน้าเช่นนั้นทำให้แพทริคกับเคซี่ที่นั่งโต๊ะถัดไปอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงขึ้นมา

คุณลุงไม่เป็นไรใช่ไหม เคซี่” แพทริคถาม เขารู้จักกับครอบครัวนี้มาหลายปีจนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อปีก่อน เขาเองก็ไปร่วมงานศพเช่นกัน

หญิงสาวส่ายหน้า ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เธอละสายตาจากคุณลุงเพื่อหันมองคนรัก แต่ฉันหวังว่าลุงนิคจะรู้สึกดีขึ้นที่ได้มาพักผ่อนในที่ๆ ห่างไกลจากบ้านหลังนั้นบ้าง

เขาไม่ยอมย้ายออกเหรอ

เคซี่ส่ายศีรษะอีกครั้ง ไม่ว่าคุณพ่อจะพูดยังไง ลุงนิคก็ยืนยันจะอยู่ที่นั่น อีกอย่างบ้านหลังนั้นใกล้กับมหาวิทยาลัยด้วย คงยากที่จะย้ายออกแต่การอยู่ในบ้านหลังนั้น...” หญิงสาวไม่อยากคิดเลยว่าคุณลุงของเธอต้องทรมานเพียงใดกับการอยู่ตามลำพังในบ้านที่มีความทรงจำเลวร้ายนั่น แม้เธอจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเองและรู้เรื่องราวเท่าที่เรย์นาร์ดจะเล่าให้ฟังได้ก็ตาม แต่เคซี่มั่นใจว่าจะต้องเลวร้ายมากถึงขนาดทำให้คุณลุงที่เข้มแข็งของเธอกลายมาอยู่ในสภาพนี้ได้

หลังจากมื้อเย็นแล้ว หลายคนยังอยู่ต่อที่ห้องอาหาร พูดคุยกันอย่างครื้นเครง วันแบบนี้ก็เปรียบเสมือนวันรวมญาติ รวมเพื่อนฝูงที่นานๆ จะได้เจอะได้เจอแถมงานแต่งคราวนี้ยังได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าพักที่โรงแรมฟรีแบบนี้ด้วยแล้ว แต่ละคนก็ไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาเช่นนี้สูญเปล่า

นิโคลัสเป็นคนกลุ่มน้อยที่ปลีกตัวออกมาจากห้องอาหารและตรงกลับเข้าห้องพักของตน เขาเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางและการพบปะครอบครัวของตัวเอง จึงตรงเข้าอาบน้ำเพื่อเตรียมเข้านอนทันที

แม้จะอยู่ต่างที่แต่ความฝันในวันที่เกิดเหตุเลวร้ายนั่นยังคงตามหลอกหลอนอย่างไม่รู้จักหยุดพัก นับวันเขายิ่งจดจำภาพสุดท้ายของเจคได้มากขึ้น ทั้งกลิ่นคาวเลือด ทั้งสภาพร่างกาย ราวกับเพิ่งเกิดเหตุเมื่อครู่ก็ไม่ปาน และทุกครั้งที่เขาตะโกนเรียกชื่อคนรักที่ไม่มีวันตอบกลับมา เขาจะสะดุ้งตื่นพร้อมเหงื่อที่ไหลโทรมกาย

นิโคลัสลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่านออกและพบกับวิวทะเลยามเช้าที่เมื่อคืนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้นอกจากสีดำของความมืดมิด แต่ยามที่พระอาทิตย์เริ่มทอแสงก็เผยให้เห็นทะเลสีน้ำเงินเข้มตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าใส หาดทรายสีขาวและคลื่นที่กระทบโขดหินล้วนเป็นทิวทัศน์ที่ตัวเขาไม่ได้เห็นบ่อยนัก น่าเสียดายที่หน้าต่างห้องไม่ได้ออกแบบให้เปิดออกได้ทำให้ไม่สามารถได้ยินเสียงคลื่นได้อย่างชัดเจน

ศาสตราจารย์จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นเพื่อออกไปวิ่งที่ชายทะเล ยามที่ลงมาด้านล่างนั้นพบว่าบรรยากาศที่ล็อบบี้เงียบสงบไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คนเหมือนเมื่อคืน นิโคลัสเดินออกประตูหน้าของโรงแรมผ่านลานจอดรถเลี้ยวไปทางด้านหลัง ทางเดินก่อนไปถึงชายหาดค่อนข้างคดเคี้ยวแต่เมื่อมาถึงแล้วก็คุ้มค่ากับการเดินลงมา เสียงคลื่นกระทบโขดหินให้ความรู้สึกสดชื่นและปัดเป่าความฝันอันเลวร้ายให้จางลง 

เขาวิ่งเหยาะๆ ไปตามชายหาดเห็นแขกของโรงแรมบางคนมาออกกำลังกายที่นี่เช่นกัน สายลมกับแสงแดดช่วยสร้างบรรยากาศน่าอยู่ให้กับละแวกนี้ได้อย่างลงตัว ที่นี่คงเป็นหาดส่วนตัวของเจ้าของคฤหาสน์เดิม นิโคลัสหันกลับไปมองก็พบโรงแรมตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ปลีกวิเวกจากทุกสิ่งราวกับอยู่คนละโลกกัน

ออกกำลังกายแต่เช้าเลยนะครับ ศาสตราจารย์

เสียงทักจากด้านหลังเรียกความสนใจของนิโคลัสให้หันกลับไปมองและพบว่าเป็นหนึ่งในเพื่อนของแพทริค

นพ.คาเวนดิช” เขาทักกลับ

เรียกเทรเวอร์ก็ได้ครับ ให้ศาสตราจารย์อย่างคุณเรียกผมเสียเต็มยศขนาดนั้นก็กะไรอยู่

ศาสตราจารย์อย่างผม?” นิโคลัสทวนคำเมื่อรู้สึกถึงการประชดประชันผ่านน้ำเสียงอีกฝ่าย หรืออาจเพราะสายตาใต้กรอบแว่นสีดำที่ใช้มองมาที่เหมือนจะมองคนอื่นต่ำกว่าตนเสมอ

ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณไม่พอใจนะครับ” ชายหนุ่มรีบพูด เสยผมดำสั้นของตนด้วยท่าทางทำตัวไม่ถูก อาจจะอย่างที่แพทริคว่าผมคงสื่อสารกับมนุษย์ตัวเป็นๆ ไม่เป็นแล้วก็ได้

แต่เธอกำลังพูดกับผมอยู่

            ดวงตาสีดำมองตอบอย่างสงสัยก่อนริมฝีปากจะยกยิ้มออกมา ยามที่เห็นรอยยิ้มนั่นทำให้เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลานสาวของตน

ศาสตราจารย์ คุณนี่จริงๆ เลย” การเสยผมอาจเป็นสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ทำยามที่ไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไรก็เป็นได้ และคงติดเป็นนิสัยไปแล้ว

พวกเขาเดินเลียบไปตามชายหาดด้วยเท้าเปล่าเพื่อสัมผัสกับกระแสน้ำที่ซัดผ่าน ความเย็นของมันหนาวเหน็บไปจนถึงขั้วหัวใจทว่าเมื่อผ่านไปสักพักร่างกายก็ปรับอุณหภูมิได้จนไม่รู้สึกหนาวเย็นอีก

เมื่อวานตอนอาหารเย็น คุณไม่ค่อยพูดกับใครเลยนะครับ ทั้งที่คงไม่ได้เจอกันบ่อยๆ” ถึงจะเป็นประโยคบอกเล่าแต่นิโคลัสก็จับได้ถึงประโยคคำถามในน้ำเสียง

ผมไม่คิดว่าตัวเองต้องตอบคำถามนี้ จริงไหม” เขาตอบพร้อมมองปฏิกิริยาของคู่สนทนาไปด้วย ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ถือสา

จริงของคุณ เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนแต่ผมอยากทำความรู้จักคุณ อีกอย่างคุณมางานแต่งของหลานสาวตามลำพังแบบนี้การหาเพื่อนไว้ก็ไม่เสียหายนี่ครับ

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและบุคลิคที่ไม่ยอมคนทำให้นิโคลัสรู้สึกเหมือนถูกมัดมือชกให้กลายเป็นเพื่อนของอีกฝ่าย

ถ้าเธอจะหาเพื่อน หาคนที่อายุเท่ากันดีกว่านะ” ศาสตราจารย์พูดด้วยความหวังดีและตั้งใจจะเดินปลีกตัวจากไปแต่คำพูดอีกฝ่ายก็ดึงความสนใจของเขาเอาไว้

เพื่อนกันเขาไม่ได้จำกัดอายุนี่ครับ อีกอย่างคุณก็ไม่ได้ดูอายุมากกว่าผมนัก สัก 35 ได้หรือเปล่า

ถ้าเธอพยายามทำให้ผมดีใจด้วยเรื่องอายุก็นับว่าพยายามได้ดี แต่ผมมากกว่านั้นเยอะ” คราวนี้เขาสามารถเดินจากมาได้ในที่สุดแต่ก็ไม่ได้ห่างจากอีกฝ่ายเท่าที่คิดเมื่อเทรเวอร์ยังคงเดินตามเขามา นิโคลัสไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้ต้องการอะไรจากเขา ถึงจะไม่ได้มีท่าทีคุกคามจนทำให้รู้สึกแย่แต่ก็แตะบางอย่างในตัวเขามากกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนักเรียนและเพื่อนร่วมงานแล้วนิโคลัสก็ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครอื่นอีก นับตั้งแต่วันที่คนรักจากไปเขาก็ไม่อยากสนิทสนมกับใคร ทว่าเทรเวอร์กลับอยากรู้จักเขา 

นิโคลัสหันมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายที่สุดท้ายก็กลับมาเดินข้างกันอีกครั้งด้วยความสงสัยโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใดกับการเข้ามาทำความรู้จัก ที่พอเดาออกก็คงเห็นว่าตัวเขาไม่สุงสิงกับใครจึงเกิดความเวทนาก็เป็นได้หรือไม่ก็รู้จากแพทริคว่าเขาเคยสูญเสียคนสำคัญเลยอยากแสดงความเห็นใจขึ้นมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นิโคลัสไม่คิดที่จะทำความรู้จักแขกผู้เข้าร่วมงานแต่งงานอย่างสนิทสนม

พอเห็นดวงตาสีดำคู่นั้นหันมาประสาน รอยยิ้มแบบคนมั่นใจในตนเองก็ผุดขึ้นบนมุมปากเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกอ่านใจและจับได้ถึงการปิดกั้นตนเอง สายตาของเทรเวอร์คมกล้าราวกับอ่านคนได้ทะลุปรุโปร่งทำเอานิโคลัสต้องเตือนตัวเองว่าอีกฝ่ายเรียนนิติเวชวิทยาไม่ใช่จิตเวชศาสตร์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารับรู้ได้เองโดยไม่จำเป็นต้องใช้จิตวิทยาคืออีกฝ่ายไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆ

เมื่อกลับมาถึงโรงแรม เทรเวอร์เป็นฝ่ายเปิดประตูให้เขาเข้าไปด้านใน ล็อบบี้ที่เงียบสงบเมื่อตอนขาไปบัดนี้กลับเต็มไปด้วยแขกคนสำคัญยืนออกันหน้าเคาน์เตอร์ นิโคลัสเห็นเคซี่ยืนอยู่กับคู่หมั้นของเธอจึงเดินเข้าไปสอบถาม

เกิดอะไรขึ้นเหรอ เคซี่” 

พอหญิงสาวหันมาพบว่าเป็นคุณลุงของเธอก็มีสีหน้าเบาใจ

ค่อยยังชั่วที่ลุงนิคไม่เป็นอะไร” เธอยิ้มบางกระนั้นใบหน้าของเธอยังมีความวิตกกังวลแอบแฝงอยู่คุณนายปีเตอร์สันหายตัวไปค่ะ

ศาสตราจารย์มองหลานสาวด้วยความตกใจระคนสงสัย เขาจำได้ว่าปีเตอร์สันคือคู่สามี – ภรรยา ที่เรย์นาร์ดแนะนำให้รู้จักเมื่อช่วงอาหารเย็น

เมื่อคืนหลังอาหารเย็นตอนคุณลุงกลับขึ้นห้องไปแล้วทั้งคู่มีปากเสียงกันเล็กน้อยค่ะ คุณปีเตอร์สันเลยกลับห้องไปก่อน คนที่อยู่ในห้องอาหารต่อก็ไม่ได้สังเกตว่าเธอกลับห้องไปตอนไหน” เคซี่เล่าต่อโดยที่สายตาของเขาทั้งคู่มองไปที่ บรู๊ค ปีเตอร์สันที่กำลังคุยกับแฮริสันด้วยสีหน้าร้อนรน

บางทีเธออาจจะเดินหลงทางในนี้ก็เป็นได้” เจ้าของโรงแรมพูดขึ้นด้วยความเป็นไปได้สูงเพราะในนี้กว้างขวางหนำซ้ำยังเป็นคฤหาสน์เก่ามาก่อนมีห้องมากมายนับร้อยโอกาสที่จะเดินพลัดหลงก็มีสูง ยังไงพวกผมจะออกตามหาด้วยคน

หลังจากนั้นพนักงานของโรงแรมและผู้ชายที่มาเข้าพักบางส่วนก็แบ่งเป็นกลุ่มออกตามหาคุณนายปีเตอร์สันตามชั้นต่างๆ ในโรงแรม ในขณะที่พวกผู้หญิงนั่งรวมกลุ่มกันในห้องอาหาร บ้างก็พูดว่าเป็นเรื่องไร้สาระที่ต้องออกตามหาเสียยกใหญ่ บ้างก็ไม่ใส่ใจและดำเนินกิจกรรมของตนเองไปตามปกติ แต่แม่งานอย่างครอบครัวแคมป์เบลและแบรดลีย์ไม่อาจนั่งติดเก้าอี้ได้เมื่อจู่ๆ มีแขกหายตัวไปเช่นนี้เพราะตั้งแต่เปิดโรงแรมก็ไม่เคยมีใครพลัดหลงเช่นนี้มาก่อน

นิโคลัสกลับขึ้นห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาไม่ได้เข้าร่วมคณะตามหานี้เพราะต่างมีมติให้เป็นหน้าที่ของคนหนุ่มๆ อย่างแพทริคและเพื่อนๆ ส่วนพวกผู้ใหญ่ที่ร่วมอยู่ด้วยก็มีแค่แฮริสัน บรู๊คและเรย์นาร์ดเท่านั้น 

ครั้นจะพักผ่อนในห้องเฉยๆ ก็เป็นห่วงคนข้างล่าง สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินลงมายังห้องอาหารและพบว่ายังไม่มีใครกลับมา ด้วยจำนวนห้องที่มากมายเช่นนี้เห็นทีคงใช้เวลาเป็นชั่วโมง แต่ห้องพักทุกห้องออกแบบไว้ไม่ให้เปิดจากด้านนอกได้หากไม่มีกุญแจ คุณนายปีเตอร์สันไม่น่าเข้าไปได้ นิโคลัสนั่งครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะไปอยู่ที่ใด

ลุงนิคดื่มกาแฟกับรับขนมปังก่อนเถอะค่ะ คุณลุงยังไม่กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า” เคซี่เดินเข้ามาหาพร้อมถาดอาหารในมือ กลิ่นกาแฟโชยเตะจมูกชวนให้อยากลิ้มลองเช่นเดียวกับขนมปังฟูนุ่มน่าเอร็ดอร่อยแต่ความอยากอาหารของเขาทำได้แค่ดื่มกาแฟดำเท่านั้น

ขอบใจนะ” เขาเห็นสีหน้าเป็นกังวลของหลานสาวจึงพูดต่อ ไม่ต้องห่วงยังไงพวกนั้นก็ต้องหาเจอ อยู่ในโรงแรมนี้คุณนายปีเตอร์สันจะไปไหนได้ล่ะ จริงไหม

จากที่นี่ออกไปถนนใหญ่ห่างกับหลายสิบไมล์จะต้องผ่านป่าบนเส้นทางคับแคบที่ไม่ได้ลาดยาง แถมด้านหลังก็ติดทะเลเรียกได้ว่าถ้าไม่ใช้รถขับออกไปก็คงไปไหนไม่ได้

นั่นสินะคะ” หญิงสาวมีสีหน้าดีขึ้นหลังจากได้พูดคุยกับลุงของเธอ

ทว่าความสบายใจก็อยู่ได้ไม่นาน พอใกล้เที่ยงพ่อของเธอกลับมาพร้อมกับคู่หมั้นและคนอื่นๆ โดยที่ยังคงไม่พบคุณนายปีเตอร์สัน บรู๊คพยายามถามย้ำว่าหาทั่วแล้วจริงหรือไม่ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจซึ่งคงไม่มีใครต่อว่าได้เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้

บางทีเธออาจจะเดินไปข้างนอกแล้วหลงอยู่ในป่าก็ได้” บรู๊คพูดขึ้นพร้อมเสนอให้ออกไปตามหาที่ป่าทว่าแฮริสันก็ห้ามเอาไว้ก่อน

จากที่พนักงานเล่า เธอไม่ได้ออกไปข้างนอกโรงแรมอีกอย่างไม่มีใครอยากเข้าไปในนั้นหรอกครับ ยิ่งเป็นตอนกลางคืนด้วยแล้ว ทางเราเองก็ไม่อยากให้มีป่าล้อมรอบเช่นนี้แต่อย่างที่ทุกคนทราบเจ้าของคนเก่าปลูกคฤหาสน์หลังนี้ที่นี่เพื่อปลีกตัวเองออกจากความวุ่นวาย พอพระอาทิตย์ตกดินแล้วก็ไม่มีใครคิดอยากออกไปไหนแน่นอน อีกอย่างถ้าเราออกไปผมจะไม่สามารถดูแลทุกคนได้ ทางที่ดีควรอยู่ภายในนี้ดีกว่า ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่เจอเราค่อยไปแจ้งความกัน

ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ...”

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอหรอกครับ เดนิสเป็นหนึ่งในผู้บริหาร เป็นเพื่อนของผม ผมย่อมเป็นห่วงเธอเช่นกัน ยังไงก็พักกินข้าวกันก่อนแล้วลองหาอีกที คราวนี้อาจจะลองไปดูที่ทะเลด้านหลังด้วยก็ได้ ที่นั่นยังน่าไปมากกว่าในป่า เห็นด้วยไหมครับ บรู๊ค” 

นิโคลัสเฝ้าดูเหตุการณ์ตรงหน้าเฉกเช่นคนอื่นๆ เจ้าของโรงแรมคนนี้มีความสามารถในการพูดโน้มน้าวใจคนและทำให้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกสบายใจ เห็นได้ชัดจากสีหน้าของคุณปีเตอร์สันที่เริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งว่าจะพบภรรยาของตน

การนั่งโต๊ะรับประทานอาหารกลางวันแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ แต่ที่เป็นจุดสนใจคนคงหนีไม่พ้นโต๊ะของแฮริสันที่เต็มไปด้วยคณะผู้บริหารในบริษัทราวกับเป็นการเปิดประชุมย่อยขึ้นมา การหายตัวไปของแขกย่อมส่งผลกระทบต่อโรงแรมอย่างแน่นอน แม้ว่าคนที่เข้าพักในขณะนี้จะเป็นญาติและคนสนิทเท่านั้นก็ตาม สีหน้าแต่ละคนจึงเคร่งเครียดเสียจนทำเอาบรรยากาศในห้องอาหารอึดอัดไปด้วย ดีที่นิโคลัสนั่งห่างจากจุดสนใจตรงนั้นจึงไม่รู้สึกว่าถูกรบกวนเท่าไรนัก เขานั่งร่วมโต๊ะกับครอบครัว เป็นระยะเวลานานมากแล้วที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมกันแบบนี้ ครั้งสุดท้ายคงเป็นวันขอบคุณพระเจ้าที่การร่วมรับประทานอาหารในคืนนั้นมีคนรักของเขานั่งถัดไป

เมื่อครู่คุณพ่อหาทั่วแล้วจริงๆ เหรอคะ” เคซี่ถามขึ้น

อืม เฉพาะส่วนที่เปิดใช้งานนะ อย่างที่รู้ว่ามีบางส่วนของโรงแรมปิดปรับปรุงอยู่ซึ่งถ้าไม่มีกุญแจก็ไม่สามารถเข้าไปได้ แฮริสันเลยจำกัดการค้นหาอยู่ในส่วนของที่พัก เราแบ่งกันดูทีละชั้น ถึงจำนวนห้องจะเยอะแต่ก็มีไม่กี่ชั้น อีกอย่างแต่ละห้องก็ล็อคไว้ ห้องที่มีแขกพักก็มีไม่ถึง 30 ห้อง ตอนเดินหาเราก็ไม่ได้เข้าไปทุกห้องเพราะถ้าเรายังต้องใช้กุญแจ คุณนายปีเตอร์สันก็ต้องใช้เช่นกัน เราเลยลองไล่บิดลูกบิดกับเคาะเรียกแต่ละห้องเผื่อมีห้องไหนเข้าไปได้ แต่ก็ไม่พบ

ถ้าอย่างนั้นจะหายไปไหนนะ” คำพูดของเธอคล้ายเอ่ยขึ้นลอยๆ มากกว่าจะต้องการคำตอบคงเพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครตอบคำถามนั้นได้

ช่วงบ่ายจะไปหาด้วยแล้วกันนะ” นิโคลัสพูดขึ้นเรียกสายตาของคนในครอบครัวหันมามอง ถ้าไม่รีบหาให้พบนอกจากคุณนายปีเตอร์สันอาจเกิดอันตรายขึ้นแล้วยังมีเรื่องของงานแต่งที่ต้องกังวลอีก

เรย์นาร์ดเพียงแค่ยิ้มรับ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตกลง

แฮริสันพยายามทำให้บรรยากาศภายในโรงแรมกลับเป็นปกติโดยเร็วที่สุดและให้พนักงานทำหน้าที่ของตนต่อ ขณะที่ตัวเขากับทีมค้นหาเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่อีกครั้งซึ่งจะแบ่งคนออกไปตามหาบริเวณหาดส่วนตัวด้านหลังเพิ่ม ทีมสำรวจที่รับผิดชอบภายในโรงแรมก็เริ่มแบ่งกลุ่ม ส่วนที่ดูชั้นล่างก็เดินแยกย้ายกันไป เหลือสองกลุ่มสำหรับสำรวจตามชั้นอีกครั้ง คราวนี้แฮริสันถือมาสเตอร์คีย์ไว้ด้วยเพราะอาจต้องลองเปิดทุกห้องเพื่อตามหาก็เป็นได้

เธออยู่กับคนอื่นๆ ดีกว่านะ” แพทริคบอกคู่หมั้นของตนที่ดึงดันจะตามมาด้วย

ฉันไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง” 

นิโคลัสมองดูหลานสาวของตนก็อดส่ายหน้าไม่ได้ บางทีนิสัยดื้อดึงอาจเป็นสิ่งที่ไหลเวียนในสายเลือดแบรดลีย์ก็เป็นได้ หากมุ่งมั่นที่จะทำอะไรก็ยากนักที่จะให้ใครมาเปลี่ยนความคิด

พวกเขาเดินขึ้นบันไดกลางผ่านกรอบรูปขนาดใหญ่ที่สายตาคนในรูปจ้องตามไปเสียทุกที่ คนส่วนมากจึงเดินผ่านโดยไม่เงยหน้ามองภาพนั้น เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองอีกกลุ่มก็เตรียมตัวแยกขึ้นไปอีกชั้น ในขณะนั้นเองที่เสียงร้องของผู้ชายดังขึ้นมาจากด้านบนดึงความสนใจของทุกคนให้รีบวิ่งขึ้นไปยังต้นเสียงที่อยู่ชั้นสี่

เมื่อนิโคลัสมาถึงพร้อมกับคนอื่นๆ ชายเจ้าของเสียงยืนอกสั่นขวัญแขวนอยู่หน้าประตูห้องพัก

"...ผมไม่ได้ทำนะ ผมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นเขาพูดวกไปวนมามองหน้าแฮริสันสลับกับบรู๊ค

ใจเย็นๆ คุณเลสเตอร์” แฮริสันตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ สองสามที เกิดอะไรขึ้นเหรอ

อีกฝ่ายไม่ได้ตอบได้แต่มองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าตื่นตระหนก 

แฮริสันกับบรู๊คเดินเข้าไปในห้องก่อนจะยืนตกตะลึงกับภาพที่เห็น เมื่อเคซี่ตามเข้ามาเห็นก็กรีดร้องด้วยความตกใจ คู่หมั้นหนุ่มรีบดึงเธอเข้ามากอดเพื่อให้มองไปทางอื่น นิโคลัสก้าวเข้าไปในห้องก็ได้กลิ่นที่ตนเคยสัมผัสมาก่อน กลิ่นที่ทำให้เขาอยากถอยหลังกลับไปแต่ความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรงผลักดันให้สองเท้ายังคงก้าวไปข้างหน้าต่อโดยไม่รับฟังสัญชาตญาณ

เขายืนอยู่หลังเรย์นาร์ดมองไปยังพื้นหน้าชั้นวางโทรทัศน์ สายตาจับจ้องอยู่ที่เดียวกันกับทุกคน ร่างของเดนิส ปีเตอร์สันนอนราบบนพื้นแขนและขาบ่งบอกถึงการต่อสู้ขัดขืน ดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวกำลังบอกเล่าเรื่องราววินาทีสุดท้ายอันแสนสยดสยองของเธอ สิ่งที่ทำให้ผู้พบเห็นถึงกับขนลุกชันไปทั่วร่างด้วยความกลัวคือมีดทำอาหารเล่มยาวที่เสียบทะลุปากของเธอ ลิ้นที่ถูกตัดออกตกอยู่ข้างใบหน้า เลือดไหลอาบพื้นห้องย้อมพรมเป็นสีแดงฉาน มีเพียงเทรเวอร์เท่านั้นที่เดินเข้าไปใกล้ด้วยความระมัดระวัง ขณะที่ผู้เป็นสามีถึงกับช็อค ทรุดนั่งกับพื้นโดยมีมือของแฮริสันลูบแผ่นหลังไว้

นิโคลัสไม่สามารถยืนอยู่ในห้องนั้นได้อีก เขาเดินออกมาด้วยอาการวิงเวียนศีรษะ ทางเดินตรงๆ ก็บิดเบี้ยวในสายตาของเขา รู้สึกเหมือนอากาศรอบข้างน้อยลงจนส่งผลให้หายใจไม่สะดวก ริมฝีปากซีดเซียว เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า แข้งขาแทบไร้เรี่ยวแรงต้องประคองตัวเองด้วยการยันกำแพงไปตลอดทาง 

สิ่งที่เขาเห็นแตกต่างจากคนอื่น ร่างที่เขาเห็นในห้องไม่ใช่ของคุณนายปีเตอร์สันแต่เป็นร่างไร้วิญญาณที่ติดตาเขามาตลอดระยะเวลาหนึ่งปี

นิโคลัสไม่สามารถครองสติเอาไว้ได้อีก ทุกอย่างดูมืดลงในพริบตา