“ก๊อก ก๊อก”

 

                กยูฮยอกสะดุ้งเฮือก

 

                จอโทรทัศน์ดับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แสงโพล้เพล้แดงฉานที่ส่องอาบไล้ห้องเป็นเส้นสายเมื่อครู่ถูกความมืดของค่ำคืนกลืนกินหายไปจนเหลือแต่ห้องอันดำมืดและความเงียบ กยูฮยอกที่นั่งอยู่ชิดริมกำแพงพยายามดันตัวลุกขึ้น เขาควานมือหาสวิตช์ไฟ แต่เมื่อกดลงไป แสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่มักจะกระพริบสักสองครั้งก่อนติด วันนี้กลับไม่เห็นแม้แต่แสงสีส้มริบหรี่

 

                “ก๊อก ก๊อก”

 

                เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากจบงานศพ ญาติ ๆ ก็มัวแต่วุ่นอยู่กับทรัพย์สินสำคัญอย่างเช่นอสังหาริมทรัพย์ชิ้นใหญ่อื่น ๆ ของอีบยองฮีเสียมากกว่า แค่คอนโดขนาดไม่ใหญ่มากใจกลางเมืองแห่งหนึ่งที่ชายคนนั้นยอมให้เขาได้พักพิง ดูจะไม่อยู่ให้สายตาญาติ ๆ ผู้ร่ำรวยของเขาเสียเท่าไหร่ นอกจากคนไม่กี่คนที่รู้จักที่อยู่นี้ ใครจะมาที่ห้องของเขาได้อีก แถมยังตอนที่ไฟดับแบบนี้

 

                กยูฮยอกกลั้นหายใจ เปล่งเสียงตะโกนถามขึ้น

 

                “ใครเหรอครับ”

 

                เสียงเคาะประตูหยุดลงชั่วครู่ ก่อนจะดังขึ้น

 

                “ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก…แกร่ก”

 

                เสียงเคาะสุดท้ายกลับดังเป็นเสียงเหมือนมีบางอย่างขูดประตูอยู่ กยูฮยอกเริ่มทำตัวไม่ถูก สายตาที่เริ่มจับภาพในความมืดได้เห็นเพียงเงาเลือน ของเฟอร์นิเจอร์รอบตัว ปกติแล้วหากยังไม่ปิดหน้าต่าง ในเมืองหลวงแบบนี้ แม้แต่ยามค่ำคืน แสงไฟจากถนนและคอนโดข้าง ๆ ก็มักจะสะท้อนเข้ามาที่ห้องของเขาเป็นประจำ บางทีไฟอาจจะดับจนทั่วย่านนี้หรือเปล่า หรืออีกฟากของประตูอาจเป็นแค่ผู้อาศัยห้องใกล้ ๆ มาเคาะเพื่อถามสถานการณ์กับเขาก็เป็นได้

 

                กยูฮยอกค่อย ๆ เขยิบเท้าย่างเข้าหาประตูโดยระวังไม่ให้ไปชนเฟอร์นิเจอร์ไหนหรือสะดุดพรมเข้า ในหัวพลางคิดว่าออโต้ล็อกไฟฟ้านั้นจะยังทำงานอยู่หรือเปล่ายามไฟดับ ถ้าเป็นแค่ลูกบ้านคนอื่นก็ดีไป แต่เขากลัวว่าจะเป็นมิจฉาชีพเข้าน่ะสิ เหมือนตอนที่เปิดทีวีทิ้งไว้สักวันหนึ่ง เขาจะเคยได้ยินข่าวเรื่องโจรที่ลอบเข้าไปสับคัทเอาท์ส่วนกลางของคอนโดแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะงัดห้องหอบเอาของมีค่าไปหลายห้อง แถมยังแทงรปภ.บาดเจ็บสาหัสไปอีก 1 คน

 

                เขาลองตะโกนถามอีกครั้ง

 

                “ขอโทษครับ ไม่ทราบว่านั่นใครเหรอครับ” 

 

                ไม่มีเสียงตอบรับอย่างที่คาด คราวนี้นอกจากเรื่องมิจฉาชีพ เขากลับหวนนึกไปถึงรายการสื่อวิญญาณที่เผลอดูอย่างไม่ใส่ใจเมื่อครู่ ไม่สิ เรื่องวิญญาณมันก็แค่ไร้สาระ เขาไม่ได้ห่วงเรื่องความปลอดภัยในทรัพย์สินที่แทบจะไม่ใช่ของเขานักหรอก แต่มือที่เริ่มสั่นเทาก็แสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณความกลัวของเขาที่ดูท่าจะยังมีอยู่  

 

                “ข้างนอกไฟดับเหมือนกันหรือเปล่าครับ”

 

                กยูฮยอกถามหยั่งเชิงดูกับความเงียบนั้น

 

                ในระยะอีกสักประมาณหนึ่งเมตรจะถึงประตู ตอนที่เขาคิดจะฉวยด้ามร่มจากถังใส่ที่วางอยู่ข้างประตูขึ้นมาเป็นอาวุธให้อุ่นใจ เสียงเหมือนของน้ำหนักเบาตกลงกระทบพื้นกลับดังมาจากด้านหลังของเขา ในทิศตรงข้ามกับประตู

 

                กยูฮยอกหันขวับกลับไป ขณะที่สายฟ้าแลบส่องแสงแปลบปลาบขึ้นพร้อมกับฝนที่ตกซู่ลงมาอย่างกะทันหัน ทั้งที่พยากรณ์อากาศประจำวันนี้เพียงแต่ย้ำเรื่องท้องฟ้าจะแจ่มใสไปอีก 2-3 วัน ไม่ได้มีวี่แววเมฆฝนหรือฝนฟ้าคะนองแม้แต่น้อย

 

                บนพื้นเขาเห็นสิ่งของรูปร่างสามเหลี่ยมแผ่นบาง ๆ มองดูคล้ายปิ๊กสำหรับดีดเครื่องสายอย่างกีตาร์หรือเบส

 

                ทว่าสิ่งที่ทำให้ใจของเขาตกลงตาตุ่มในทันใดกลับเป็นปลายเท้าซีดขาวที่ยืนนิ่งอยู่ถัดจากปิ๊กนั้นไปไม่กี่เซน

 

                มือที่สั่นอยู่ก่อนหน้าหนาววาบขึ้นมา แต่เขากลับเผลอกวาดสายตามองไล่ขึ้นไปตามท่อนขาซีดขาวนั้น

 

                ตรงริมหน้าต่าง มีเงาของร่างหนึ่งยืนนิ่งอยู่ เส้นผมยาวดำสยายระบ่า ตอนที่เขาจะส่งเสียงออกไป ศีรษะใต้เรือนผมนั้นกลับค่อยเอนคอหันกลับมาช้า ๆ จนเขาสบเข้ากับนัยน์ตาสีแดงก่ำที่ส่องสว่างวาบขึ้นในความมืด