2 ตอน 1st Bond : First Impression
โดย Xeiji
1st Bond : First Impression
อากาศในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศติดเพดาน แต่บรรยากาศกลับร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ ตามเสียงเสื้อผ้าที่เสียดสีกันขณะออกหมัดออกเท้า และเสียงฝีเท้าที่สไลด์ไปตามแผ่นยางสีน้ำเงินซึ่งปูเกือบเต็มพื้นที่ห้อง
ฝ่ายที่สวมเกราะสีแดงสืบเท้าไปข้างหน้าก่อนตวัดเตะซ้ายอย่างรวดเร็ว แต่อีกฝ่ายในเกราะสีน้ำเงินกลับฉากหลบได้ทันและวาดขาขวาไปที่เกราะส่วนหน้าของคู่ต่อสู้ทันที ลูกเตะถัดไปตามติดอย่างรวดเร็ว เพราะคาดเดาว่าฝ่ายตรงข้ามน่าจะหลบได้ทัน
วืด...
เป็นดังคาด คนเกราะน้ำเงินจึงบิดตัวกลับหลังและถีบดักทางอย่างคล่องแคล่ว
ปึ้ก!
ฝ่าเท้าจากลูกเตะหลังปะทะกลางลำตัวพอดีเสียจนคนในเกราะแดงเซไปข้างหลัง เสียคะแนนไปสามแต้มในชั่วพริบตา เขารีบตั้งหลัก ใบหน้าใต้เฮดการ์ดจ้องเขม็งไปที่คู่ต่อสู้ เช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายตั้งท่าพร้อมรับการจู่โจมเช่นกัน
แล้วทั้งสองก็เริ่มขยับกายช้า ๆ ยืดย่อตัวสลับกันอย่างดูเชิงจนบรรยากาศเริ่มตึงเครียด โดยเฉพาะผู้ชมรอบสนามที่ดูเหมือนจะลุ้นระทึกและตื่นเต้นกว่าคนแข่งเสียอีก
รอยยิ้มของคนในเกราะสีแดงกระตุกยิ้มด้วยความสนุก ในฐานะประธานชมรมเทควันโดแล้ว น้อยคนนักที่จะทำให้เขาอยากสู้ด้วยจริง ๆ จัง ๆ และคนตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทก็เป็นหนึ่งในนั้น ร่างสูงเริ่มขยับสลับขาพร้อมกับเคลื่อนเข้าใกล้คู่ต่อสู้มากขึ้น
คนในเกราะสีน้ำเงินเองก็เหยียดยิ้มเช่นกัน ดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย เพราะพอคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร ชายหนุ่มจึงรุดถอยหลังเมื่ออีกฝ่ายรุกเข้าใกล้ แกล้งสลับการ์ดไปมา ก่อนสบโอกาสที่คู่ต่อสู้เข้ามาใกล้จนได้ระยะ เขาเหวี่ยงขาขวาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ลูกเตะถูกบล็อกเอาไว้ได้ชะงัด และในจังหวะเดียวกันนั้น คนเกราะแดงก็ยกขาขึ้นสูง และวาดขาลงมาอย่างรวดเร็ว หมายจะตอกส้นเท้าใส่ศีรษะของอีกฝ่ายให้มึนไปชั่วครู่พร้อมกับเก็บคะแนนไปด้วย
แต่ลูกเตะกลับพลาดเป้า เพราะคนเกราะน้ำเงินเอนตัวหลบก่อนกระโดดถอยหลังจนพ้นระยะ เมื่อหลบพ้นเขาก็ไม่ปล่อยให้เท้าของคู่ต่อสู้มีโอกาสตกลงพื้น เขาสไลด์ตัวเตะเข้าที่ลำตัวของประธานชมรมหนุ่ม และต่อด้วยหมุนตัวเตะโดนเฮดการ์ดอย่างจัง!
ประธานชมรมถึงกับเซ เขาเกือบล้มลงไปกองกับพื้นแล้วถ้าไม่ติดว่าเห็นสายตาของสมาชิกชมรม เพราะหากว่ากันตามจริงแล้ว เขาเองก็ไม่อยากจะเสียฟอร์มไปมากกว่านี้หรอก ลูกเตะเข้าศีรษะเมื่อครู่นี้ก็เสียไปอีกห้าแต้ม โดนไล่ต้อนจนคะแนนทิ้งห่างเช่นนี้มันช่างน่าเจ็บใจ
โค้ชผู้รับหน้าที่เป็นกรรมการเหลือบมองเวลาที่นาฬิกาติดผนังก่อนก้าวเข้าไปขวางพร้อมวาดมือคั่นกลาง “หมดเวลา! ฝ่ายน้ำเงินชนะด้วยคะแนน 8 ต่อ 0!!” เขาประกาศเสียงดัง ทำให้เอาสมาชิกชมรมที่เพิ่งเข้ามาใหม่ทำตาโตด้วยความตกตะลึง ในขณะที่สมาชิกเก่าที่เคยเห็นการเข้าคู่ซ้อมระหว่างทั้งสองคนมาก่อนแล้วนั้นไม่ถึงขั้นประหลาดใจนัก พวกเขาส่งเสียงโห่ร้องพร้อมปรบมือด้วยความชื่นชมเหมือนเช่นทุกครั้ง
ทั้งสองฝ่ายถอดเฮดการ์ดออกก่อนที่จะเดินเข้ามาหากัน “แพ้อีกแล้วว่ะ” ประธานชมรมบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์นักขณะจับมือกับเพื่อนรักตามมารยาทหลังการแข่ง “เก่งแบบนี้ทำไมแกไม่เข้าชมรมนี้ไปเลยวะ โค้ชก็อยากให้แกมาเป็นนักกีฬาลงแข่งกีฬาระหว่างมหาลัยฯ อยู่”
ชายหนุ่มในเกราะน้ำเงินยิ้มรับคำชม “ฉันอยากอยู่เงียบ ๆ มากกว่า” เขาตอบทีเล่นทีจริง มือขยี้เส้นผมสีบลอนด์ของตัวเองที่เปียกลู่อย่างนึกรำคาญ “อีกอย่าง ถึงไม่ได้เป็นสมาชิกชมรม แต่แกก็ลากฉันมาเป็นคู่ซ้อมตลอดอยู่ดีไหม?”
“เออจริง” ประธานชมรมหัวเราะลั่นก่อนมองไปรอบห้องซ้อมที่ตอนนี้เต็มไปด้วยสมาชิกชมรมทั้ง ๆ ที่ตอนแรกเขากะว่าจะแอบมาฝึกมือเงียบ ๆ กับเพื่อนสนิทคนนี้ก่อนถึงเวลาของการเข้าชมรมแท้ ๆ “แม่ง ปกติไม่เห็นมาเร็วกันขนาดนี้”
“ไม่ร้องนะ”
“เออ!”
“เซดริก ฉันว่ามีคนโทรหานายนะ มือถือสั่นมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” ตอนนั้นเองที่เสียงหวานจากหนึ่งในสมาชิกของชมรมตะโกนบอกจากนอกสนาม
เจ้าของชื่อยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์โอเคก่อนโยนเฮดการ์ดให้เพื่อนสนิทที่คว้าไว้ได้ทัน โดนถลึงตาใส่เล็กน้อยแต่เขาก็แค่ยักคิ้วกลับอย่างกวนอารมณ์ เขาเดินออกจากสนามไปยังมุมห้องที่วางข้าวของของตัวเองไว้ “ขอบใจที่บอกนะ” เซดริกระบายยิ้มจางให้สมาชิกชมรมสาวทีหนึ่งก่อนคว้ามือถือที่ซุกอยู่ใต้กระเป๋าสะพายหลังออกมาดู
บนหน้าจอมือถือปรากฏชื่อของคนที่คุ้นเคยดีจึงกดรับสายอย่างไม่ลังเล “ครับอาจารย์” เขาเอ่ย คิ้วเรียวขยับยกขึ้นเล็กน้อยก่อนเหลือบมองนาฬิกาติดผนัง “ได้ครับ ตอนนี้ผมอยู่ห้องชมรมเทควันโด เดี๋ยวผมไปหา”
“เซดริก”
เซดริกหันไปทางคนเรียกอีกครั้งในจังหวะที่กดวางสายพอดี พร้อมกันนั้นก็ยกมือขึ้นรับผ้าขนหนูที่ประธานชมรมโยนมาให้อย่างแม่นยำ “ขอบใจ” เขาตอบก่อนวางผ้าไว้บนศีรษะตัวเอง เพราะต้องถอดเกราะสีแดงออกจากตัว “ฉันคงต้องไปก่อนล่ะเควิน อาจารย์เอ็มม่าเรียกให้ไปหาหน่อย”
“เออ ๆ ไปเถอะพ่อเด็กหัวกะทิ” ประธานชมรมเทควันโดเอ่ยไล่ด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แต่อีกฝ่ายรู้ว่าก็แค่หยอกเล่นตามประสาเพื่อนสนิท “ไว้เจอกันที่เดิมตามที่นัดไว้แล้วกัน”
“ได้ แล้วเจอกัน”
หลังจากเก็บเกราะลำตัวเข้าที่แล้ว ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งสมส่วนก็คว้ากระเป๋าสะพายหลังและเดินออกจากห้องชมรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสปอร์ตคอมเพล็กซ์ เวลานี้เป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว ดังนั้นรอบกายจึงค่อนข้างเสียงดัง มีทั้งเสียงพื้นรองเท้าเสียดสีกับพื้นไม้ เสียงลูกบอลตกกระทบพื้น และเสียงตะโกนคุยกันตามประสาวัยรุ่น
เป็นความคึกคักที่เขาเคยชินเสียแล้ว เซดริกกระชับสายกระเป๋าที่พาดอยู่บนไหล่ขณะเดินไปตามทางที่เชื่อมระหว่างสนามกีฬาไปยังโซนอาคารเรียนซึ่งเรียกได้ว่าตกแต่งอย่างหรูหราจนไม่น่าเชื่อว่าที่นี่คือ ‘มหาวิทยาลัย’
หากพูดถึงมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด และชื่อดังที่สุดในมหานครลอนดอน คงไม่มีใครไม่นึกถึงมหาวิทยาลัย J เพราะเป็นสถานศึกษาซึ่งผลิตบัณฑิตหัวกะทิมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสาขานิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ บริหาร ศิลปะ หรือด้านกีฬาก็ตามที
ไม่เพียงแต่ความเป็นลิศทางวิชาการ สถาปัตยกรรมก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เซดริกตื่นตาตื่นใจทุกครั้งแม้เขากำลังจะจบการศึกษาชั้นปริญญาตรีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว
เมื่อมาถึงโซนอาคารเรียน มองไปทางขวาเห็นลานหินโค้งที่มีน้ำพุที่เลียนแบบสถาปัตยกรรมอันเลื่องชื่อจากอิตาลี น้ำใสสะอาดพุ่งออกมาจากน้ำพุทุก ๆ สิบห้านาที เมื่อมองไปทางซ้ายก็อาคารเรียนซึ่งได้แรงบันดาลใจจากโบสถ์ในสมัยวิกตอเรียน
แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นมาพร้อมกับค่าเทอมที่แพงลิบลิ่ว เพราะฉะนั้นมหาวิทยาลัย J แห่งนี้จึงมีเพียงแต่ลูกหลานตระกูลเก่าแก่ และผู้มีฐานะเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เข้าเรียนที่นี่
เซดริกไม่ใช่ลูกหลานตระกูลร่ำรวย หรือมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงแต่อย่างใด เขาเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่อาศัยความรู้และความขยันจนได้ทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัย J จนจบชั้นปริญญาตรีในคณะมนุษย์ศาสตร์ เอกการแปลที่ใฝ่ฝัน
ในที่สุดขายาวก็พาเขามาถึงอาคารภาควิชามนุษย์ศาสตร์ ประตูอัตโนมัติผลักตัวเองให้เปิดออก เผยให้เห็นทางเดินซึ่งปูพื้นด้วยพรมขนสั้นสีกรมท่า ทั้งทางซ้ายและขวามือคือประตูห้องพักอาจารย์ประจำภาควิชา ทุกบานปิดสนิทและไม่มีแสงไฟลอดจากกระจกสี่เหลี่ยมสีขาวขุ่นที่บานประตู เห็นได้ชัดว่าถึงเวลาเลิกงานแล้ว
เซดริกเดินเลี้ยวขวาและตรงไปยังสุดทางเดิน จนกระทั่งมาถึงประตูสุดท้ายทางขวามือ ป้ายชื่ออาจารย์ติดไว้เด่นชัดที่ใต้หน้าต่างซึ่งมีแสงไฟสีขาวนวลลอดออกมา เขายกยิ้มเล็กน้อยก่อนเคาะประตูสองสามครั้ง
“เข้ามาได้เลย” เสียงหนึ่งลอดออกมา แม้มีประตูขวางกั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความระโหยโรยแรง
เมื่อได้รับคำอนุญาต เซดริกก็ผลักประตูเข้าไปช้า ๆ อย่างเงียบกริบ ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ อิงลิชแพร์แอนด์ฟรีเซียที่คุ้นเคยจากดิฟฟิวเซอร์เป็นอย่างแรก ดวงตาสีฟ้ากวาดมองห้องพักอาจารย์ที่เขาเคารพเร็ว ๆ รอบหนึ่งก่อนก้าวเข้าไปเต็มตัว
ห้องพักอาจารย์เอ็มม่า เวสฟิลด์ ยังคงเต็มไปด้วยหนังสือมากมาย ริมห้องฝั่งตรงข้ามกับประตูมีตู้ไม้สามตู้วางเรียงกันติดผนัง ทุกตู้และทุกชั้นอัดแน่นไปด้วยหนังสือ ทั้งเล่มหนา เล่มบาง ปกแข็งและปกอ่อน ถัดไปนั้นเป็นชั้นวางประกาศนียบัตรในกรอบสีทองอร่ามวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
ส่วนเจ้าของห้องนั้นก็แทบจะจมหายไปกับกองหนังสือเช่นกัน ซ้ำยังจมจ่อมอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าเสียจนไม่รู้ตัวว่าแขกที่เธอเพิ่งเชื้อเชิญนั้นยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานแล้ว
เซดริกกะพริบตาปริบ ๆ และเอียงคอเล็กน้อย รอให้อีกฝ่ายรู้ตัวเสียที...
จนกระทั่งอีกฝ่ายละจากหน้าจอและหันมาทางเขาเมื่อเวลาผ่านไปหลายนาที “เซดริก!” เอ็มม่าตะโกนลั่นด้วยความตกใจ ดวงตาสีเทาใต้เลนส์แว่นหนาเบิกกว้างแม้เห็นว่าเป็นลูกศิษย์ที่เธอเรียกตัวมาเองก็ตามที “เธอทำฉันหัวใจจะวาย!”
เซดริกหัวเราะเบา ๆ ด้วยความขบขัน “แต่เมื่อกี้อาจารย์อนุญาตให้ผมเข้ามาเองนะ” เขาว่ายิ้ม ๆ
“อ้อ จริงด้วย...” อาจารย์สาวผู้ย่างเข้าวัยกลางคนร้องอ้อในลำคอ “...นั่งก่อนสิ”
“ขอบคุณครับ” เขาตอบรับก่อนทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน “ว่าแต่อาจารย์มีอะไรเหรอครับ?”
อาจารย์เอ็มม่าถอนหายใจก่อนถอดแว่น และนวดคลึงเปลือกตาตัวเองช้า ๆ “ฉันอยากให้เธอช่วยแปลเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งน่ะ” เธอตอบพร้อมกับชี้ไปที่ซองสีน้ำตาลขนาดเอสี่ซึ่งวางอยู่บนกองหนังสือที่ใกล้ถล่มลงมาอยู่รอมร่อ “ขอสารภาพ ตอนนี้ฉันทำงานไม่ทันแล้วจริง ๆ”
“แล้วไม่ปฏิเสธงานบ้างล่ะครับ?” เซดริกถามพลางหยิบซองเอกสารนั้นมา “ขืนรับทำทุกงานอาจารย์จะไม่ไหวเอานะครับ”
อาจารย์ผู้สูงวัยกว่าถอยหายใจยาว “ปฏิเสธไปแล้ว แต่เขาบอกว่าหาคนช่วยแปลแทนก็ได้ ฉันก็เลยนึกถึงเธอ" เธอตอบ “ส่วนเรื่องค่าแปลเธอก็รับไปเต็ม ๆ เลย”
ดวงตาสีฟ้าเหลือบขึ้นมอง ลอบสังเกตสีหน้าของอาจารย์ประจำภาควิชาการแปลที่มีอาชีพนอกเหนือจากการเป็นผู้ให้ความรู้แล้ว ยังเป็นนักแปลหนังสือหลากหลายภาษาอีกด้วย ใบหน้าของอีกฝ่ายอ่อนล้าราวกับอดหลับอดนอนมาหลายวัน ทำให้ชายหนุ่มอดใจอ่อนไม่ได้
“ได้ครับอาจารย์ ผมช่วยเอง” ในที่สุดก็ต้องตกลงรับปากช่วยจนได้ขณะหยิบหนังสือขนาด B6 ออกมาจากซอง กะด้วยสายตาแล้วความหนาประมาณร้อยกว่าหน้า เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อเรื่องบนหน้าปกหนังสือ “เกี่ยวกับแวมไพร์เหรอครับ?”
เอ็มม่ายิ้มหน้าบานทันทีเมื่อรู้ว่าลูกศิษย์คนนี้ตอบตกลง “ใช่ จากภาษาเยอรมันเป็นภาษาอังกฤษ แต่นักเขียนใส่สำนวนภาษาละตินมาค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจากในห้องสมุดกับพวกเอกสารออนไลน์ดูนะ”
“อาจารย์ต้องการงานวันไหนครับ?” เซดริกถาม และเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์สาววัยกลางคนที่ปรายตามองปฏิทินข้างคอมพิวเตอร์
เอ็มม่าหลุดสีหน้าลำบากใจออกมา “วันสุดท้ายของเดือน...” เธอตอบกลับ “...ทันไหม?”
ใบหน้าคมคายเผยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นับจากวันนี้ก็อีกประมาณสิบกว่าวันเท่านั้น เขาลองนึกทบทวนว่ายังเหลือบทเรียนที่ต้องอ่านล่วงหน้าอีกกี่บท ทั้งแบบฝึกหัดการแปล และรายงานหน้าชั้นเรียน... “น่าจะแบบเฉียดฉิวเลยครับ” เขาตอบพร้อมคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นว่าใบหน้าคู่สนทนาหมองลง “ไม่ต้องห่วงครับอาจารย์ ผมทำเสร็จทันแน่นอน หัวข้อจบก็ผ่านแล้วด้วย”
“ขอบใจมากนะเซดริก ถ้าฉันไม่ได้เธอช่วยต้องลำบากแน่ ๆ” เอ็มม่ายิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง เธอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ แล้วดวงตาใต้กรอบแว่นก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ตายล่ะ! บก.สำนักพิมพ์นัดฉันไว้ ต้องไปแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับอาจารย์” ชายหนุ่มระบายยิ้มเล็กน้อยก่อนคว้าเอายาดมที่เกือบกลิ้งลงพื้น และยื่นให้อีกฝ่ายที่กวาดเอาข้าวของส่วนตัวเข้ากระเป๋าถืออย่างร้อนรน
“โอ๊ะ ขอบใจมาก แล้วก็เธอจะใช้ห้องสมุดนานเท่าไรก็ได้นะ บอกบรรณารักษ์ได้เลยว่าเธอทำงานให้ฉัน”
“ได้ครับ” เขาพูดพร้อมกับเดินตามอาจารย์สาวออกไปจากห้องเพื่อที่เธอจะได้ล็อคห้องได้ เขาได้รับกำลังใจเป็นการตบบ่าเบา ๆ สองสามทีก่อนอีกฝ่ายจะผละจากไปอย่างเร่งรีบ
เซดริกส่ายหน้าอย่างระอาใจพลางถอนหายใจยาว สายตาหลุบมองหนังสือเล่มเล็กในมือที่กลายมาเป็นงานชิ้นใหม่ของเขา “เอาละ มาลองกันสักตั้ง” เขาให้กำลังใจตัวเองก่อนเก็บมันเข้ากระเป๋าสะพายหลัง และเดินตรงไปยังห้องสมุดซึ่งเป็นตึกถัดจากอาคารของภาควิชามนุษย์ศาสตร์
ห้องสมุดหลังเลิกเรียนหมาด ๆ ค่อนข้างคลาคล่ำด้วยนักศึกษาจากหลากหลายภาควิชา แต่โชคดีที่ชั้นบนสุดซึ่งเป็นชั้นสำหรับหนังสือหมวดภาษาศาสตร์ไม่ค่อยมีใครจับจองนัก ทำให้การหาโต๊ะว่างเป็นเรื่องไม่ยาก อีกทั้งบรรยากาศก็เงียบกริบสมกับเป็นห้องสมุด
เซดริกเลือกโต๊ะยาวที่มีพื้นที่กว้างพอให้เขาวางหนังสือได้หลายเล่ม เขาหยิบหนังสือที่รับมอบหมายออกมาจากกระเป๋า ดวงตาสีฟ้ากวาดมองชื่อเรื่องที่พิมพ์ด้วยหมึกสีดำและเปิดดูคำนำที่หน้าแรก แล้วก็ต้องเบ้หน้า เพราะเป็นอย่างที่อาจารย์เอ็มม่าว่า เจอภาษาละตินตั้งแต่คำนำเรื่อง....
ช่างสรรหานิยายเก่า ๆ มาแปลเสียเหลือเกิน เขาบ่นในใจ แต่ถึงจะบ่น เซดริกก็ไม่ยอมแพ้เพราะรับปากไว้แล้ว เขาลุกขึ้น และตรงไปยังคอมพิวเตอร์ของห้องสมุดเพื่อให้ระบบช่วยหาหนังสือหรือบทความที่พอจะใช้การได้บ้าง โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับภาษาละติน
รายการหนังสือปรากฏเป็นแถวยาว มีทั้งที่เป็นหนังสือออนไลน์ และหนังสือรูปเล่มซึ่งมีปริมาณมากกว่า “เยอะเหมือนกันแฮะ...” เขาพึมพำกับตัวเองขณะจดรหัสหนังสือที่น่าจะช่วยได้ใส่กระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ ไปพร้อมกัน โชคดีที่เขาชอบอ่านหนังสือและสนใจด้านภาษาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงไม่คิดว่าเป็นเรื่องยากหรือน่าเบื่อ
แล้วหนังสือเล่มหนาสามสี่เล่มก็วางอยู่บนโต๊ะ ในขณะเดียวกันในแล็ปท็อปส่วนตัวก็สว่างวาบเมื่อเจ้าของเปิดการใช้งาน โปรแกรมพิมพ์เอกสารเริ่มต้นการทำงาน จากนั้นก็ได้ยินเสียงหน้ากระดาษถูกพลิกเปิดสลับกับเสียงพรมนิ้วบนคีย์บอร์ดท่ามกลางความเงียบงันของบรรยากาศห้องสมุด
จากครึ่งชั่วโมง เป็นสองชั่วโมง และสามชั่วโมง...
จนกระทั่งท้องฟ้านอกหน้าต่างกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มและแต่งแต้มด้วยแสงกะพริบของดวงดาว
ร่างสูงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางนวดเบ้าตาที่อ่อนล้า เพราะจ้องหนังสือนานราวห้าชั่วโมงแล้ว ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือก่อนต้องอุทานลั่นด้วยความตกใจ “ฉิบหาย! สามทุ่มแล้วเหรอเนี่ย!”
เขาลืมนัดกับเควินไปซะสนิท!
โทรศัพท์สั่นอย่างรุนแรงราวกับรู้จังหวะทำเอาเซดริกสะดุ้งโหยง เขารีบคว้ามันออกจากกระเป๋ากางเกง และมองชื่อที่หน้าจอ เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ต้องกลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงคอ
[เซดริก เอเลนอฟ!! นี่แกอยู่ไหนวะ? ฉันรอแกมาเป็นชาติแล้วนะเว้ย!!] เสียงตวาดตามสายที่คุ้นเคยทำให้เซดริกทำให้หน้ามุ่ย เพราะเสียงที่หมอนี่ใช้มันเบาเสียเมื่อไร โชคดีแค่ไหนแล้วที่ชั้นนี้ไม่มีคนใช้งาน ไม่อย่างนั้นคงโดนเอ็ดจนหูชา
“พอดีติดทำงานให้อาจารย์เอ็มม่าน่ะ” เขาตอบอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษทีที่ไม่ได้โทรไปบอก”
เสียงพ่นลมหายใจด้วยความไม่พอใจดังลอดโทรศัพท์ออกมาทำให้เขา รู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังระงับอารมณ์เป็นแน่ [เออ งั้นพรุ่งนี้แกต้องเลี้ยงข้าวฉันเป็นการไถ่โทษ]
“ครับ ๆ ไถกันตลอด” เซดริกพูดกลั้วหัวเราะขณะเก็บหนังสือเล่มหนาลงถุงกระดาษก้นหนาที่ขอยืมมาจากบรรณารักษ์สาว
[ไม่ได้เรียกไถ เขาเรียกว่ารู้จักประหยัดต่างหาก] เควินแก้ตัวไปเรื่อย แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะจากคู่สนทนาได้ [ว่าแต่นี่แกกลับบ้านยังวะ?]
“ยัง แต่กำลังจะกลับ” ชายหนุ่มผมบลอนด์ตอบก่อนจะเปลี่ยนมือถือโทรศัพท์ และหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นบ่า “แค่นี้ก่อนนะ ของเยอะ”
[อืม เจอกันพรุ่งนี้] ว่าแล้วอีกฝ่ายก็ตัดสายไป ส่วนเซดริกก็เก็บเครื่องมือสื่อสารเข้ากระเป๋ากางเกงตามเดิม และหยิบถุงสองถุงที่อัดแน่นด้วยหนังสือเล่มหนามาถือไว้ในมือทั้งสองข้าง เขาเบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อน้ำหนักของหนังสือทั้งในถุงและในกระเป๋าเป้ทำเอาแทบทรุด
“หนักเป็นบ้า” เขาบ่นกระปอดกระแปดขณะก้มมองสัมภาระอย่างลังเล “เรียกแท็กซี่ก็แล้วกัน” แม้ต้องเสียเงินเพิ่มบ้างจากการเรียกแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน แต่ค่าจ้างแปลรอบนี้ก็ไม่ใช่น้อยจึงช่วยให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
เซดริกลากสังขารออกจากห้องสมุด บอกลาบรรณารักษ์ชราที่ส่งยิ้มใจดีให้ เดินผ่านทางเดินที่มีแสงไฟสลัวจากโคมไฟหรูริมทาง จนกระทั่งผ่านรั้วมหาวิทยาลัยมาอย่างทุลักทุเล ใบหน้าคมคายรื้นไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบแม้อากาศเริ่มเย็นแล้วก็ตามที แขนทั้งสองข้างเริ่มล้าจนแทบอยากจะปล่อยของลงจากมือให้รู้แล้วรู้รอด
โชคดีที่เวลานี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านแล้ว ไม่เช่นนั้นไอ้บ้าหอบฟางเช่นเขาคงได้ตกเป็นเป้าสายตาเป็นแน่
ร่างสูงเดินไปที่ป้ายรถประจำทางหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อจะกดเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน แต่เพราะแสงสลัวรอบตัว กอปรกับข้าวของพะรุงพะรังทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตทางเดินที่ไม่เสมอกัน เท้าข้างหนึ่งจึงเผลอไปสะดุดจนเสียหลัก
“เฮ้ย!” ชายหนุ่มอุทานด้วยความตกใจ ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างเมื่อรู้ตัวว่ากำลังเสียหลัก และคงได้ล้มจูบกับพื้นซีเมนต์เย็น ๆ แน่ ๆ
วืด!
ทว่า คอเสื้อกลับถูกคว้าไว้ได้อย่างทันท่วงที ก่อนแรงนั้นจะดึงเขาไม่ให้หน้าคะมำ แต่ไม่ใช่กับถุงกระดาษที่หลุดออกจากมือ หนังสือจึงหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น เซดริกกะพริบตาปริบอย่างงุนงง ใจยังเต้นรัวเมื่อเหตุการณ์ฉุกละหุกมากเสียจนลืมหายใจ
ตอนนั้นเองที่เพิ่งรู้สึกตัวว่า คอเสื้อของตนถูกปล่อยแล้ว ร่างสูงที่ได้สติรีบหมุนตัวกลับไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณมากครับ” เขาเอ่ยทันทีโดยอัตโนมัติกับคนที่ช่วยเหลือไว้
เป็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่บรรยากาศรอบกายชวนให้เผลอชะงักลมหายใจ อาจเป็นเพราะใบหน้าคมคายราวรูปสลักที่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีดำยาวสลวยนั้นมองกลับมาอย่างเรียบเฉย อีกทั้งเจ้าตัวไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบกลับจนน่าระแวง
แต่เซดริกกลับรู้สึกว่า ดวงตาสีดำคมกริบคู่นั้นทำเอาขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้
ไหนจะความสูงชะลูดนั่นอีก เขาคิดว่าตัวเองค่อนข้างสูงแล้ว แต่คน ๆ นี้กลับสูงกว่าเขาจนต้องเงยหน้าขึ้นมองยามสนทนาด้วย
“เอ่อ...ขอโทษครับ” เซดริกไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมต้องขอโทษ...อาจเป็นเพราะรู้สึกเหมือนดวงตาสีดำดุดันที่จ้องมองมานั้นกำลังจะเชือดเฉือนเขาให้ขาดใจได้ภายในพริบตา
น่ากลัวชะมัด
แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ ยิ่งทำให้เขายิ่งใจเสีย “ขอบคุณที่ช่วยนะครับ” เขาจึงเอ่ยซ้ำอีกครั้งหวังให้บรรยากาศคลี่คลายลง
น่าเสียดายที่ไม่เป็นผล เพราะชายหนุ่มผมดำก็ยังไม่เอ่ยอะไรนอกจากนี้คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น และหยิบหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่งที่หล่นอยู่บนพื้นเข้าถุงกระดาษใกล้ตัวถุงหนึ่ง ทำเอาเจ้าของแทบย่อตัวลงมาช่วยไม่ทัน
“ไม่เป็นไรครับ ผมเก็บเองได้” เซดริกเอ่ยอย่างเกรงใจขณะหยิบหนังสือเล่มอื่น ๆ ขึ้นมา และจัดการเก็บใส่ถุงตามเดิมอย่างรวดเร็ว
ทว่า ชายแปลกหน้าก็ยังนิ่งเงียบและจ้องหน้าปกหนังสือเล่มเดิมในมือ “แดร็กคิวล่า?” เสียงห้าวเอ่ยออกมาเป็นครั้งแรก เรียกให้อีกฝ่ายหันขวับมาด้วยความแปลกใจ
“ครับ?” แล้วก็ชะโงกหน้าไปดูหนังสือที่ชายผมดำถืออยู่ “อ๋อ เป็นวรรณกรรมเรื่องหนึ่งที่โด่งดังมากเลยน่ะครับ ผมกำลังจะแปลเรื่องสั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ ก็เลยคิดว่าน่าจะพอมีประโยชน์อะไรบ้าง”
“ไร้สาระ” ร่างสูงพึมพำเบา ๆ ก่อนจะส่งคืนให้คนตัวเล็กกว่าที่ทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย
“เคยอ่านแล้วเหรอครับ?” เซดริกอดถามไม่ได้ขณะเก็บหนังสือเล่มนั้นเข้าถุงอีกใบ
“ไม่เชิง...” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบก่อนจะลุกขึ้น นักศึกษาหนุ่มจึงรีบลุกตามถึงแม้จะรู้สึกตงิด ๆ กับคำตอบก็ตามที
เหมือนจะเคยอ่าน แต่ถามอย่างกับว่าไม่เคยอ่าน
“ขอบคุณมากเลยครับ” เซดริกเอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง
“ถ้าจะขึ้นรถก็รีบไป” แต่ชายผมดำกลับตอบไปคนละเรื่อง ดวงตาสีดำเสมองไปข้างหลังของคู่สนทนา
เซดริกหันไปมองตาม จึงได้เห็นแท็กซี่คันหนึ่งกำลังวิ่งเข้าใกล้ป้ายรถประจำทาง “จริงด้วย ขอบ...อ้าว?” ว่าจะขอบคุณอีกสักครั้ง...แต่เมื่อหันกลับมา ร่างของชายปริศนาคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว พื้นที่ตรงหน้านั้นว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีใครเคยปรากฏอยู่มาก่อน คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความแปลกใจ
ไปไหนซะแล้วล่ะ?
แล้วเขาก็ต้องสลัดความคิดนั้นทิ้งไปเมื่อได้ยินเสียงรถจอด ร่างสูงรีบก้าวยาว ๆ ไปหาแท็กซี่ก่อนจะมีใครมาตัดหน้าไปเสียก่อน ไม่นานนัก ล้อทั้งสี่ก็เริ่มหมุนและพาพาหนะโดยสารไปตามถนนคอนกรีตที่มืดสลัว
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ผู้โดยสารหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเอี้ยวหน้ากลับไปมองผ่านกระจกหลัง สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ใครยืนอยู่ตรงนั้น
ไม่เห็นแม้แต่เงา
“แปลก” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนกลับมานั่งดี ๆ ตามเดิม
คนเราจะหายตัวไปได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?
###
ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มและกางเกงขายาวสีดำยืนนิ่งอยู่เหนือดาดฟ้าของตึกสูงฝั่งตรงข้ามกับรั้วมหาวิทยาลัยชื่อดัง เส้นผมสีดำสนิทซึ่งปลิวตามแรงลมน้อย ๆ ยามค่ำคืนยิ่งช่วยขับใบหน้าคมคายและนิ่งขรึมนั้นให้งดงามราวกับรูปสลัก ดวงตาสีดำจับจ้องไปที่รถยนต์สี่ล้อที่เพิ่งออกตัวจากป้ายรถโดยสาร
ดวงตาสีฟ้าใส เรือนผมสีบลอนด์ และรอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนวัยนั่นยังคงติดตา ที่สำคัญ...กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่มีแต่พวกเขาเท่านั้นสามารถรับรู้ได้ยังคงติดจมูกไม่หาย
เป็นเพราะกลิ่นหอมหวานนั่นฉุดเขาให้เข้าหา และช่วยไม่ให้อีกฝ่ายล้มคะมำ
แปลก
เขาไม่เคยได้กลิ่นเช่นนี้มาก่อน
กลิ่นของโชคชะตา?
ใบหน้าคมคายส่ายหน้าเบา ๆ เพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป เพราะแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเชื่อเรื่องพรรค์นี้
พลัน ความคิดหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของมวลอากาศเบื้องหลัง “มีอะไร?” เขาถามเสียงเบากับใครคนหนึ่งที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า
“ท่านทั้งหลายตามหานายท่านอยู่ขอรับ” เสียงแหบของชายชราในชุดพ่อบ้านเต็มยศตอบอย่างนอบน้อมแม้ว่าอีกฝ่ายจะอายุน้อยกว่าก็ตามที
“เดี๋ยวข้าตามไป” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“ขอรับ” ว่าแล้วร่างนั้นก็หายไปอีกครั้ง เหลือเพียงชายหนุ่มร่างสูงคนเดียวเช่นเดิม นัยน์ตาสีดำหรี่เล็กลงก่อนที่แววตาจะค่อย ๆ เปลี่ยนสี จากดำ เริ่มมีริ้วสีแดงเข้ามาเจือปน จนกระทั่งกลืนกินพื้นที่สีดำจนสิ้น กลายเป็นสีแดงสดราวกับเลือด
วินาทีนั้น บรรยากาศที่ผ่อนคลายและเย็นสบายกลับเย็นยะเยือก และไร้สายลมใดพัดผ่าน
ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างหวาดกลัวที่จะย่างกรายเข้าใกล้...
และเพียงแค่พริบตา ร่างสูงนั้นก็หายวับไปกับความมืดยามราตรีกาล ไร้ซึ่งร่องรอยใดว่าเคยมีใครปรากฏตรงนั้น ทิ้งไว้เพียงความเย็นเยียบ และความสงบนิ่งของสายลม
To Be Continued
Comments (0)