“หมายความว่าฉันตายแล้วงั้นเหรอคะ...” หญิงสาวทำหน้าสลด มือกำผ้าปูเตียงสีขาวสะอาดจนเป็นรอยยับ

ชีวิตของเธอกำลังจะไปได้ด้วยดี

พรุ่งนี้เธอกำลังจะได้รับปริญญาหลังจากที่ทุ่มเทเรียนแพทย์อย่างหนักมาถึงเจ็ดปี และโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงกำลังจะรับเธอเข้าไปทำงาน

แต่มีไอ้หน้าหอกหักที่ไหนไม่รู้มาขับรถชนเธอจนเป็นเหตุให้มานั่งเสวนากับพระเจ้าแบบนี้

ชายแก่ที่เรียกตัวเองว่า ‘พระเจ้า’ พยักหน้าเป็นคำตอบให้กับเธอด้วยสีหน้าเศร้าสลดไม่แพ้กัน เขาสะบัดมือเล็กน้อยร่ายเวทมนตร์ทำให้เห็นภาพเคลื่อนไหวที่ลอยอยู่ข้างกายของเขา

ในนั้นเป็นภาพของอุบัติเหตุจราจรกลางเมืองใหญ่ คนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นพ่อแม่ของเธอกำลังนั่งร้องไห้มองร่างไร้วิญญาณของเธอด้วยความเจ็บปวด

เธอเห็นแบบนั้นก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน

“...แล้วทำไมฉันถึงได้มาอยู่ที่นี่เหรอคะ?” เธอถามเพราะว่าคนที่ตายด้วยสาเหตุแบบนี้น่าจะมีหลายล้านคน แต่มีเธอคนเดียวที่ได้รับสิทธิพิเศษ

ที่จะได้ไปเกิดใหม่พร้อมกับความทรงจำของชาติก่อน

“เพราะว่าแม่ของหนูน่ะสิ”

“คุณแม่...?” หญิงสาวเอียงหัวด้วยความสงสัย แม่เธอเกี่ยวอะไรด้วยกับการเกิดใหม่ของเธอ

“ดวงวิญญาณแม่ของหนู... เป็นเศษเสี้ยววิญญาณของท่านผู้สร้างโลก”

“!” เธอเบิกตาโพลงตกใจกับความจริงข้อนี้ แต่อากับกิริยามันดูเว่อร์เสียเหลือเกินจนพระเจ้าขำออกมาเบาๆ

“มันก็มีโอกาสไม่มากนักหรอกที่ท่านผู้สร้างจะเผลอทำเสี้ยววิญญาณของตัวเองตกลงไปที่โลกมนุษย์” ชายแก่พูดด้วยรอยยิ้ม “ก่อนที่จะถึงคราวแม่ของหนู คนล่าสุดก็เมื่อประมาณห้าพันปีก่อนนู่นแหนะ”

“คนนั้นคือใครเหรอคะ” เธอถามด้วยความอยากรู้ ดูเหมือนนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนของเธอกำเริบแล้วล่ะนะ

“อืม...รู้สึกจะชื่อว่ากิลเกอร์? กิลเม่ร์? กิล-”

“กิลกาเมซ”

“ใช่ๆ กิลกาเมซ” เขามองหญิงสาวด้วยสายตาทึ่ง ดูเหมือนว่าความรู้ของเด็กคนนี้จะครอบคลุมไปทุกศาสตร์ทุกแขนง

กิลกาเมซเป็นกษัตริย์แห่งเมืองอุรุกเมื่อยุคสมัยของเมโสโปเตเมีย ซึ่งยุคสมัยนั้นดำรงอยู่เมื่อประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งตอนเธอตายก็ ค.ศ. 2000 นิดๆ แล้ว

บวกกับชื่อกิลขึ้นมาแบบนี้ก็มีอยู่ในประวัติศาสตร์แค่คนเดียวที่มีชีวิตเมื่อ 5,000 ปีก่อน

“เคยมีนักวิชาการตีความไว้ว่าเขาอาจจะว่าเขาเป็นครึ่งเทพ” เธอกุมคางใช้ความคิด “แต่ไม่คิดว่าเขาจะเป็นเศษเสี้ยวของผู้สร้างโลก”

ชายแก่ลอบถอนหายใจหลังจากที่เห็นหญิงสาวหายทำหน้าเศร้า เขาบ่ายเบี่ยงไม่ให้เธอคิดมากได้สำเร็จ

“งั้นแม่ของฉันมีพลังแบบเขามั้ย?”

“ยุคสมัยของหนูสงบสุขเกินไปที่พลังในตัวแม่ของหนูจะตื่นขึ้นมา ผิดกับเมื่อห้าพันปีก่อนที่กิลกาเมซมีภัยรอบทิศที่พร้อมจะกำจัดเขา” เขาส่ายหน้าให้เธอ “แม่ของหนูไม่ต่างจากปุถุชนทั่วไปหรอก”

“อีกอย่างถ้าพลังในตัวแม่ของหนูตื่นขึ้นมาเดี๋ยวเบื้องบนก็ทำอะไรสักอย่างเองนั่นแหละนะ” เขาลุกจากเก้าอี้ข้างเตียงไปยืนกลางห้องพร้อมกับเสกวงเวทย์สีขาวขึ้นมา

“มายืนตรงนี้สิ” เธอพยักหน้าก่อนขะลุกขึ้นไปยืนอยู่กลางวงเวทย์ ชุดคลุมสีขาวลอยขึ้นมาเบาๆ เมื่อมีสายลมพัดผ่าน

แต่ทั้งคู่อยู่ในห้องปิด จะมีลมเข้ามาได้อย่างไร

“นั่นคือสายลมของโลกที่หนูกำลังจะลงไปเกิด มันกำลังตรวจสอบหนูอยู่” เขาพูดเหมือนรู้ความคิดของเธอ “เพื่อดูว่าวิญญาณของหนูเหมาะจะลงไปอยู่ที่นั่นหรือเปล่า”

จากที่พระเจ้าเล่า ดูเหมือนว่าทั้งสภาพแวดล้อมและการคงอยู่ของพลังวิญญาณในร่างกายของแต่ละโลกจะแตกต่างกันพอสมควร

“เศษเสี้ยววิญญาณในตัวหนู แม้มีเพียงน้อยนิดแต่มันก็มอบพลังมหาศาลให้แก่ตัวหนู” แสงสีขาวส่องสว่างไปทั่วห้อง เธอยกมือขึ้นมาปิดตาเนื่องจากมันสว่างเกินไป

แต่ที่พระเจ้าพูดเมื่อกี้แสดงว่าเศษวิญญาณของผู้สร้างสืบทอดผ่านสายเลือดได้สินะ

“เมื่อหนูลงไปแล้วขอให้ใช้พลังนั้นในทางที่ถูกต้อง ถ้าหนูออกนอกลู่นอกทางเมื่อไหร่ข้าจะดึงวิญญาณของหนูมาลงโทษด้วยตัวเอง” หญิงสาวมองใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาและดูจากสายตาของเขาแล้ว

เขาเอาจริงแน่

“ขอให้โชคดีกับชีวิตใหม่...แล้วข้- มอ- ของขวั-......” เสียงของชายแก่ขาดหายไปเมื่อแสงสว่างเริ่มปิดบังร่างของเขา

และรู้สึกตัวอีกทีเธอก็มานอนมองเพดานห้องแล้ว

 

 

“ดูจากงานอดิเรกของเจ้าหนูคนนั้น เดี๋ยวก็คงจะรู้ว่าของขวัญของข้าคือสิ่งใด” เขายืนมองภาพของโลกเบื้องล่างที่หน้าต่างด้วยรอยยิ้มเอ็นดู

“หวังว่าเจ้าจะทำให้โลกใบนั้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ” เขาพร่ำเพ้อพูดถึงโลกเบื้องล่างด้วยสีหน้าเศร้า ความรู้สึกผิดถ่าโถมเข้ามาในอก

เขาทิ้งภารกิจอันตรายไว้ให้เธอแล้วสิ