5 ตอน บทเรียนที่5 : ชัดเจน
โดย CherrieZz
ถ้าในระหว่างคนอย่างอาจารย์ต้าร์และเด็กชายบีมจะมีเรื่องที่เป็นความแตกต่างกันทั้งหมดสักเก้าสิบห้าเรื่องจากหนึ่งร้อยเรื่อง นี่คงเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ทั้งคู่จะมีความคิดเห็นที่ตรงกัน
นั่นก็คือ..ไม่การชอบไปสถานที่ที่ผู้คนแออัดเบียดเสียด
หลังจากที่ได้นัดเจอกันมาหลายครั้ง พากันไปเปิดหูเปิดตา แลกเปลี่ยนสถานที่ที่อยากไปและสิ่งอยากทำกันมาจนเกือบครบแล้ว คราวนี้จึงมีความคิดเห็นที่ตรงกันว่าอยากกลับไปสวนสาธารณะที่พวกเขาได้เจอกันเป็นครั้งแรก
รอบนี้คนเป็นอาจารย์เสนอวันเสาร์ที่เป็นวันหยุดเพื่อที่จะได้เลื่อนเวลานัดให้ขึ้นมาเร็วขึ้น มีเวลาอยู่ด้วยกันนานขึ้น และจะได้ทันเข้าชมอุทยานผีเสื้อที่คุณไกด์บีมโปรยคำบรรยายไว้ในครั้งก่อน
วันนี้ต้าร์ไม่อิดออดที่จะกระโดดขึ้นไปนั่งยังตำแหน่งท้ายจักรยาน เพราะมีเด็กคนหนึ่งเคยบอกให้ตัวเขาลองปล่อยวางและเลิกยึดติดกับสิ่งต่างๆ เขาเข้าใจแล้วว่ามันมีความสุขและสบายใจอย่างที่ว่าจริงๆ แถมครั้งนี้นอกจากจะได้นั่งสบายๆ ไม่ต้องออกแรงแล้ว ยังสามารถกอดเอวคนตัวเล็กข้างหน้าได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องตะขิดตะขวงใจ ความสุขเพิ่มขึ้นทวีคูณอีกหลายสิบเท่าเชียวแหละ
ส่วนคนที่รับตำแหน่งพลปั่น(?)เองก็มีความสุขในแบบของตัวเขาเช่นกัน พลังงานที่มีอยู่อย่างล้นเหลือ ทำให้บีมเหมือนคนที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย ปั่นจักรยานไปด้วยชี้ชวนดูนู่นดูนี่พร้อมคำบรรยายเสียงเจื่อยแจ้วสดใสตลอดทาง
เมื่อเสร็จจากอุทยานผีเสื้อแล้ว ทั้งสองก็พากันมานั่งพักรับลมยามเย็นพร้อมนั่งดูฝูงปลาที่ศาลาที่ยืนลงไปในน้ำหลังเดิม
ทุกอย่างคล้ายรีรันเหตุการณ์เดิมซ้ำ มีเพียงแต่ความสัมพันธ์ของคนสองคนที่พัฒนาขึ้นจากวันแรก เท่านั้นก็ส่งผลให้ให้บรรยากาศเดิมๆ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
วันนี้เจ้าตัวแสบแอบมีแผนร้ายคือจะลากพี่ต้าร์ไปร่วมวงแอโรบิคให้ได้ หนึ่งกิจกรรมสนุกในโลกของเขาที่อยากให้คนพี่ได้ลิ้มลอง
นั่งฉีกขนมปังโยนให้ปลาไป สายตาเจ้าเล่ห์ก็แอบเหลือบมองไปที่ลานกว้าง เห็นกลุ่มคุณลุงผู้ชายเริ่มมาก่อน คงเป็นคนที่รับหน้าที่ติดตั้งเครื่องเสียง
บีมรอเวลา...
คอยดูนะ... เพลงดังเมื่อไรจะดึงอีกคนไปร่วมวงแบบไม่ให้เขาปฏิเสธได้
แค่จินตนาการภาพคนตัวสูงไปยืนเต้นเก้ๆ กังๆ อยู่ในหัวก็เผลออมยิ้มนำไปก่อนแล้ว
แต่....เพลงแรกยังไม่ทันจะเริ่มต้น
"บีม..เป็นแฟนกับพี่นะครับ"
เหวอ!?
บีมช็อค! หน้าตาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้จะแสดงสีหน้าแบบไหนในเวลาแบบนี้
หนึ่ง... อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
สอง... นี่เราไม่ได้เป็นแฟนกันอยู่แล้วเหรอ?
ประเด็นหลังนี่แหละที่ทำให้บีมรู้สึกนอยด์มากเป็นพิเศษ กลายเป็นว่าที่ผ่านมาทั้งหมดคือสิ่งเขาเพ้อเจ้อไปเองฝ่ายเดียวหรอกหรือ...
"ผมคิดว่า..เรา เอ่อ..เป็นแฟนกันอยู่แล้วซะอีก คิดว่าเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ตรงกัน ที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาโดยไม่ต้องมีคำพูด..." ร่างเล็กนั่งก้มหน้า น่าอายเหลือเกินที่ต้องพูดอะไรแบบนี้ แต่ก็พูดออกมาโดยไม่ปิดบัง เพราะมันอึดอัดจนเกินกว่าจะเก็บไว้ในใจ "ผมขอโทษนะครับ ที่คิดไปเอง..."
"หยุดเลย..พอเลย.." เสียงต่ำๆ รีบเอ่ยท้วง ฝ่ามือใหญ่วางแปะบนศีรษะคนตัวเล็กกว่า ย่อตัวลงเล็กน้อยให้สายตาอยู่ระดับเดียวกัน แม้อีกคนจะหลบสายตาอยู่ แต่ก็ต้องรีบอธิบายก่อนเด็กน้อยจะเข้าใจผิดกันไปมากกว่านี้
"ใครว่า..บีมคิดไปเอง ฮึ! พี่ก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันครับ"
"อะ..อ่าว" คนก้มหน้ายอมเงยขึ้นมาสบตากันด้วยความแปลกใจ
"จริงๆ ระหว่างเรามันก็แบบนั้นแหละ ความจริง..พี่น่ะชอบบีมมากๆ ชอบตั้งแต่วันแรกเลยด้วยซ้ำ..รู้ตัวไหม?"
ประโยคที่เอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยนบวกกับแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังทำเอาคนฟังถึงกับใจสั่น
"..แต่พี่ก็เพิ่งมาคิดได้ไม่นานนี้เอง ว่าเราไม่เคยพูดถึงคำว่า'แฟน'กันเลย พี่เลยอยากทำให้มันชัดเจนขึ้นครับ จะได้ไม่ต้องมากังวลว่าเราอยู่ในสถานะไหน ไม่ต้องมาสรรหาคำสวยหรู อย่างเช่น คนคุย ศึกษากันอยู่ หรือคำเรียกกั๊กๆ อะไรแบบนั้น แล้วอีกอย่างพี่ก็อยากได้ความมั่นใจด้วย...
ถ้าบีมตอบตกลง พี่จะได้บอกใครต่อใครได้ว่า..พี่มีแฟนแล้ว และ..บีมเป็นแฟนพี่"
คำอธิบายอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาและรัวเร็วเป็นชุดอย่างไม่เปิดโอกาสให้ใครได้พูดแทรก
คนที่นั่งฟังอยู่นอกจากจะใจสั่นขึ้นเรื่อยๆ ก็ตอบโต้อะไรไม่ถูก ริมฝีปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวเม้มเป็นเส้นตรงเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น อีกฝ่ายก็สำทับเพิ่มมาให้ด้วยอีกหนึ่งเหตุผลใหญ่ๆ
"...แล้วพี่จะพาบีมไปหาพ่อกับแม่พี่ด้วย"
...แล้วพี่จะพาบีมไปหาพ่อกับแม่พี่ด้วย
...แล้วพี่จะพาบีมไปหาพ่อกับแม่พี่ด้วย
...แล้วพี่จะพาบีมไปหาพ่อกับแม่พี่ด้วย
เหมือนเสียงสะท้อนก้องกังวาลดังวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในหู ดวงตาเล็กๆ เผลอเบิกกว้างจนถึงขีดสุดโดยไม่รู้ตัวด้วยความประหลาดใจ ตอนแรกบีมก็ดีใจมากแล้วที่พี่ต้าร์เป็นคนชัดเจน แต่บอกตรงๆ ว่าคาดไม่ถึงว่าจะชัดเจนมากขนาดจะพาไปเจอครอบครัว ทั้งที่จริงแล้วถ้านับตามเวลา เราก็เพิ่งรู้จักกันในระยะเวลาที่ถือว่ายังสั้น
ไม่ใช่..บีมไม่เคยมีแฟนมาก่อน แต่ผ่านที่มาเขามักจะต้องแฝงตัวอยู่ในมุมมืด เสมือนโดนใบสั่งให้ปิดสถานะตัวเองมาตลอด ให้บอกว่าเป็นเพื่อนบ้าง ให้ทำตัวปกติต่อหน้าคนอื่นบ้าง ในสังคมของประเทศล้าหลังนี้ยังมีคนที่มีชุดความคิดแบบเก่าอยู่มากมายที่ไม่เปิดใจยอมรับในเรื่องความหลากหลายทางเพศ ใครที่ต่างจากตนคือแปลกแยก ใครต่างจากตนคือฝ่ายผิดเสมอ บีมรู้ บีมเข้าใจคนกลุ่มนั้นประมาณหนึ่ง แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้อยู่ดี...
ทำไม..คนที่เป็นแบบเราต้องเป็นฝ่ายที่ปรับตัวและชินกับการโดนกดไปเองเสมอทั้งที่ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด
ความรู้สึกแบบนั้น ทำให้บีมกลายเป็นคนไม่กล้าคาดหวังในเรื่องความรัก และถึงยังกล้ามีความรักก็ไม่ได้คาดหวังเรียกร้องกับการเปิดเผย
จนกระทั่งถึงความรักครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ที่อายุมากกว่าเขาถึงหนึ่งรอบ ซึ่งเรียกได้ว่าอยู่คนละเจนกันเลย รู้ดีอยู่เต็มอกด้วยว่าโตมาคนละยุคและถูกปลูกฝังด้วยความคิดคนละแบบ แต่ความน่ารักใจดีบวกกับความขี้ตามใจเก่งมากของพี่ต้าร์ที่พร้อมเปิดใจรับฟังบีมอยู่เสมอ ทำให้เรายังไปด้วยกันได้ดีไม่มีปัญหา แต่ถึงอย่างนั้นบีมก็ไม่กล้าคิดไปถึงขั้นการพาไปเปิดตัวกับครอบครัว
สิ่งที่ออกจากปากพี่ต้าร์ทั้งหมดเมื่อครู่ทำบีมทั้งตกใจและตื้นตันใจอยู่ไม่น้อย แต่ความหวาดกลัวก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในใจไปด้วยพร้อมๆ กัน
ไม่นานแววตาเปลี่ยนเป็นฉายความกังวลขึ้นมาให้เห็น..
"..แล้วครอบครัวของพี่ เขาจะ..." บีมไม่ได้ต่อประโยค แต่สีหน้าที่แสดงออกมาก็พอทำให้อีกฝ่ายเข้าใจได้
บีมจำได้ที่พี่ต้าร์เคยเล่าให้ฟัง ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวข้าราชการหัวเก่า เคร่งครัดในกฎระเบียบแบบแผน ขีดเส้นล้อมกรอบวางแผนแทบจะทุกอย่างในชีวิตแทนลูก สิ่งเหล่านั้นล้วนหลอมรวมให้พี่ต้าร์โตขึ้นมาเป็นอย่างทุกวันนี้ เป็นคนที่เก่งในโลกของวิชาการแต่ไม่ทันโลกของชีวิตจริงในบางครั้ง..
ต่างกับครอบครัวบีมอย่างสุดขั้ว ที่ค่อนข้างหัวสมัย พ่อกับแม่คุยกับบีมได้ทุกเรื่องเหมือนเป็นเพื่อนกัน เข้าใจและยอมรับในทุกอย่างที่ลูกเป็น
ครอบครัวพี่ต้าร์จะรังเกียจเราไหม?
หรือจะโกรธว่าเราทำให้พี่ต้าร์เป็นแบบนี้หรือเปล่า...
"บีม.." เสียงของต้าร์ ดึงสติรับรู้ของบีมกลับคืนมาอีกครั้ง "พี่รู้..ว่าบีมกำลังกังวลเรื่องอะไรนะครับ"
"พี่น่ะตั้งแต่เล็กจนโตก็ทำทุกอย่างให้ตามที่พ่อกับแม่วางไว้มาตลอด ตั้งแต่ประถมสอบก็ต้องได้ที่1เท่านั้น พอขึ้นมัธยมเกรดเฉลี่ยห้ามต่ำกว่า3.75 ตอน ม.6 พี่ได้ทุนโครงการ พสวท.สาขาฟิสิกส์มาเรียนที่มหาลัย จบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับ1 รวมทั้งสอบได้ทุนเรียนต่อป.โท ป.เอก แม้แต่อาชีพอาจารย์ก็ยังความฝันของพวกเขา ไม่ใช่ของพี่ ทั้งชีวิตพี่ไม่เคยทำให้พวกเขาเสียใจ ชีวิตแทบไม่มีจุดไหนผิดพลาด..."
..ยิ่งฟังก็ยิ่งเศร้า บีมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรดีเลย เป็นเด็กธรรมดาทุกอย่างกลางๆ ที่ค่อนไปทางล่างเลยมั้ง?
..เราจะเป็นจุดด่างพร้อยของพี่ต้าร์หรือเปล่านะ?
คิดแล้วหัวใจห่อเหี่ยวเฉยเลยแฮะ..
"อ่าว..ไม่เอาสิ ทำหน้าเศร้ากว่าเดิมเฉยเลย" ฝ่ามือใหญ่ขยุมกลุ่มผมบนศีรษะเล่นเหมือนแกล้งเด็กน้อย "ที่พี่เล่าทั้งหมด ไม่ได้จะมาอวดตัวอะไร พี่แค่อยากเล่าให้บีมฟังว่า พี่ทำตามความต้องการของพ่อกับแม่มาทั้งชีวิตแล้วครับ ทำทุกอย่างตามที่เขาขีดเส้นกำหนดให้มาตลอด ที่ผ่านมาพี่เหนื่อยมากเลย ตอนนี้พี่ควรมีชีวิตเป็นของตัวเองได้หรือยังครับ?"
ทั้งสองสบตากันนิ่ง ครั้งนี้บีมไม่ได้หลบตา แต่แววตาเต็มไปด้วยความวูบไหว หยดน้ำใสๆ อุ่นๆ เริ่มมาเกาะขอบตาที่ร้อนผ่าว แม้กระทั่งเสียงที่เอ่ยประโยคต่อมาก็ยังแผ่วและสั่น
"ผมจะเป็นจุดผิดพลาดแรกในชีวิตพี่รึเปล่าครับ?"
แปลก... ถึงแม้บีมจะคิดว่าเราเป็นแฟนกันไปตั้งนานแล้ว เพียงแค่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้น
แปลก... ทั้งๆ ที่ผ่านมาบีมโหยหายความชัดเจนในเรื่องของความรักมาตลอด
แต่พออีกคนตั้งใจมอบความชัดเชนให้ ทำไมมันถึงกลับยาก แล้วก็เกิดความกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น..
"เด็กโง่เอ๊ย.." มือที่วางลูบบนศีรษะเปลี่ยนมาแกล้งดีดหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อเตือนสติ "คิดได้ไงเนี่ย.. บีมเป็นคนแรกทำให้พี่รู้จักกับคำว่า'ความสุข'นะครับ คำที่พี่ไม่เคยแม้แต่จะเฉียดเข้าไปใกล้ บีมไม่ได้เป็นจุดผิดพลาด แต่บีมเป็นส่วนที่เข้ามาเติมเต็มในชีวิตพี่นะครับ..
ถ้าในช่วงแรกพ่อกับแม่ยังไม่เข้าใจเรา ขอให้บีมอดทนสักนิด พี่จะอธิบาย พี่จะทำทุกอย่างจนกว่าพวกเขาจะเข้าใจ พี่ไม่ยอมให้บีมไปไหนแน่ ขอแค่บีมไม่ทิ้งพี่ ยังอยู่ข้างๆ พี่ เราจะสู้ไปด้วยกัน...โอเคไหมครับ?"
ทันทีที่จบประโยค น้ำตาก็ไหลร่วงลงมาอย่างไม่สามารถทานทัดไหวอีกต่อไป บีมนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ แทนคำตอบ
ฝ่ามือใหญ่ถูกวางลงบนใบหน้าเล็ก ใช้ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยคราบน้ำตาออกให้ เข้าใจและไม่แปลกใจเลยถ้าอีกฝ่ายจะเกิดความกลัว แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวแสบก็ส่งรอยยิ้มบางๆ กลับมาให้คนมองอย่างต้าร์ได้ใจชื้น
"ไม่ร้องแล้วนะ มา..ขอรับกำลังใจหน่อยครับ ไอ้คนเก่งของพี่" คนอายุมากกว่าอ้าแขนกว้างเพื่อขอกอด
คนตัวเล็กยอมเข้ากอดแบบไม่ลังเล ใบหน้าวางเกยอยู่ที่ไหล่กว้าง น้ำตายังไม่หยุดไหลดี สองแขนของต้าร์กระชับบีมเข้าหา มือก็ลูบที่หลังไปด้วยเบาๆ อย่างอ่อนโยน เสียงแผ่วๆ คอยกระซิบบอกซ้ำๆ "ไม่ต้องกังวลนะ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน"
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน..ทั้งที่พี่ต้าร์ของบีม เป็นแค่ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งคนนึง แต่ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นได้เสมอ ยิ่งในเวลาที่ได้อยู่ในอ้อมกอดกันและกันแบบนี้ ยิ่งทำให้บีมมั่นใจมากกว่า หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาในอนาคต เราก็จะไม่ทิ้งกัน และพร้อมจะจับมือกันแน่นๆ ก้าวข้ามทุกสิ่งทุกอย่างไปด้วยกัน
หลังจากปล่อยให้สัมผัสอบอุ่นเติมเต็มความรู้สึกในหัวใจกันและกันอยู่สักระยะ คนอายุมากกว่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้กระหัน
"เอ้อ! พี่เกือบลืม!" สองมือจับไหล่คนตัวเล็กเบาๆ เพื่อผละกอดออกมา เพราะอยากพูดต่อแบบต้องการเห็นหน้า
"ที่พี่อยากให้เรื่องของเรามันชัดเจน เพราะว่าพี่มีอีกเรื่องอยากบอกบีม พี่อยากให้มันถูกต้องตามขั้นตอนครับ.."
บีมเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ..
อะไรกันเรื่องเซอร์ไพรส์ยังไม่หมดอีกเหรอ? ยังมีขั้นตอนอะไรอีกกก..
หือออ?... หรือว่าจะขอแต่งงาน?
เป็นแฟนปุ๊บ แต่งงานปั๊บ! .....เลยเหรอ??
"อย่าบอกนะว่าพี่จะ..."
ไม่อยากให้เด็กบ๊องจินตนาการไปสุ่มสี่สุ่มห้า คนพี่เลยต้องรีบแทรกขัดขึ้นมาเสียก่อน
"พี่จะชวนบีมย้ายไปอยู่ด้วยกัน"
ฮู่ววว...แอบลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ตกใจแทบแย่ นึกว่าพี่ต้าร์จะใจร้อนขอเขาแต่งงานซะแล้ว แค่ชวนไปอยู่ด้วยกันเอง..
ห้ะ!!..อยู่ด้วยกัน!!!
หลังจากรูม่านตาขยายไปสองถึงสามเท่า บีมก็รีบส่ายหัวริกๆ ปฏิเสธทันควัน ให้เหตุผลไปส่งๆ ว่าเพราะความเกรงใจ แต่ต้าร์ตอบกลับโดยใช้ตรรกะและหลักการเข้าสู้ ว่าการที่ห้องจะเพิ่มผู้อาศัยอีกหนึ่งคนไม่ได้เป็นภาระค่าใช้จ่ายอะไรเลย เตียงก็กว้างพอนอนอยู่แล้ว ไม่ได้ต้องหาซื้อข้าวของอะไรเพิ่ม ค่าไฟก็ไม่ได้เปลืองมากขึ้น จะอยู่คนเดียวหรือว่าสองคนยังไงก็ต้องเปิดแอร์เปิดไฟเท่าเดิม อธิบายร่ายแม่น้ำทั้งห้าทั้งหกทั้งเจ็ด จนแทบจะวาดแผนวงจรไฟฟ้าและคำนวนค่าไฟประกอบ ไม่มีเหตุผลอะไรที่บีมจะต้องไปเสียเงินจ่ายค่าเช่าหอพักเดิมต่อเลยสักนิด
ความจริง..ที่บอกว่าเกรงใจเรื่องค่าใช้จ่ายก็ใช่แหละส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่ง...ส่วนสำคัญ
บีมมีความคิดหนึ่งในใจมาตลอดว่าคนเรารักกันเป็นแฟนกัน ควรมีระยะห่างให้กันบ้าง มันก็คงจะทำให้ความรักเป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าต้องมาอยู่ด้วยกัน เจอกันตลอดเวลา จากคนที่เติบโตมาจากพื้นฐานครอบครัวและใช้ชีวิตที่ต่างกันอย่างสุดขั้วขนาดนี้ เขากลัวว่ามันจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดชุดความคิดที่ไม่ตรงกัน เกิดความขัดแย้ง นำไปสู่การทะเลาะหรือหมดรักกันได้ง่ายๆ
แล้วยิ่งบีมเป็นคนหัวดื้อ ใช้ชีวิตไม่เป็นระเบียบ อย่างเช่น ตื่นมาก็พับผ้าห่มบ้างไม่พับบ้าง กินข้าวเสร็จขี้เกียจล้างจานชาม กองไว้รอเยอะๆ ก่อนแล้วค่อยล้าง ชอบเอาขนมไปกินบนเตียง นอนดึกชนิดที่บางทีก็เกือบสว่าง เพราะชอบเขียนนิยาย ติดเกม ติดซีรีส์ ตื่นก็สายโด่ง บางทีบีมอาจจะนอนกรนด้วยรึเปล่า? ไม่แน่ใจเพราะนอนคนเดียวมาตลอด แล้ว..ถ้าเลวร้ายขนาดนอนดิ้นจนถีบพี่ต้าร์ตกเตียงล่ะ?
โอ้ย..นิสัยเสียๆ สารพัดสิ่ง ที่นึกขึ้นมาเองยังสยองเอง บรึ๋ยยย...
...ถ้าได้เห็นตัวตนของเราทุกด้านแล้ว พี่ต้าร์จะยังรู้สึกกับเราเหมือนเดิมอยู่ไหมนะ?
"...ไม่ว่าบีมจะเป็นแบบไหน..พี่ก็รับได้ครับ"
คนเป็นอาจารย์อ่านความคิดบีมขาดเหมือนมานั่งอยู่ในใจ อาจจะเป็นเพราะความกังวลมากจนปรากฏออกชัดทางสีหน้า
"พี่ชอบตัวเองตอนที่ได้อยู่กับบีมนะ พี่มีความสุขมาก บีมจะใจร้ายปล่อยให้พี่อยู่คนเดียวเหงาๆ เหมือนเดิมต่อไปเหรอครับ"
โอโหววว...อธิบายแบบใช้หลักการร่ายยาวเรื่องค่าฟงค่าไฟอะไร บีมก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเพราะคิดตามไม่ทัน มาลูกอ้อนประโยคนี้และสายตาแบบนี้เข้าไป บีมรู้สึกอยากกลับไปเก็บของตอนนี้เลยฮะ
ไม่ไหว...
ใจละลายแล้ว.....
แม่เบญค๊าบบบ~ บีมขออนุญาตหนีตามผู้ชายนะค๊าบบบ~
จริงๆ แล้ว บีมติดอีกฝ่ายจะตายไป อยากเห็นหน้า อยากเจอทุกวัน อยากอยู่ใกล้ๆ อยากวอแว อยากสกินชิพ อยากทำตัวแบบเด็กๆ ใส่ แต่หลายครั้งก็ต้องเบรคตัวเองเอาไว้เพราะกลัวจะมากไปจนไปกระทบหน้าที่การงานหรือสร้างความรำคาญให้คนเป็นพี่ด้วยซ้ำ
แต่พี่ต้าร์กลับ...
"พี่น่ะอยากตื่นขึ้นมาเห็นหน้าบีมเป็นคนแรกในทุกๆ เช้า ทำงานเหนื่อยๆ กลับมาก็จะได้เจอหน้าบีม อยากทำกับข้าว ดูหนัง ดูซีรีส์ ให้บีมสอนเล่นเกม อ่านนิยาย ช่วยบีมเขียนนิยาย แล้วก็ทำทุกอย่างไปด้วยกัน..." เพราะเห็นคนตัวเล็กยังนิ่งไม่ยอมตอบ เลยสารภาพความในใจซึ่งเป็นภาพความสุขที่ต้าร์ชอบจินตนาการไว้ในหัวออกมาจนหมดเปลือก แถมยังถือโอกาสดึงมือของอีกฝ่ายเข้ามากุมไว้ด้วยสองมือระหว่างรอคำตอบ
..โดยหารู้ไม่ว่าอีกคนที่ดูเหมือนนิ่ง ที่จริงแล้วใจอ่อนยวบไปถึงไหนต่อไหน ภายนอกที่เห็นก็แค่การละครที่วางฟอร์มเก็บอาการก็เท่านั้น
"คลั่งรักเหมือนกันนะเราน่ะ" คนเงียบมานานบ่นงุบงิบ
"หืม? 'คลั่งรัก' แปลว่าอะไร..?"
"เนี่ย..ความแก่ คลั่งรักก็คือแบบที่พี่กำลังเป็นนั่นแหละ!" เด็กปากแจ๋วทำทีลอยหน้าลอยตาแซวไปเรื่อย เพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่ว่าตัวเองกำลังเขินอย่างหนัก หน้าขึ้นสีเลือดฝาดแดงแปร๊ดไปถึงไหนต่อไหน
"เดี๋ยวจะโดน! มันเขี้ยวจริงๆ เลย ฮึ่ยยย!" พูดจบก็ใช้มือแกล้งบีบปากเด็กขี้แซวเบาๆ
"ไง...แล้วสรุปว่า..."
"ไปครับ!!!" เสียงบีมสวนเข้ามาแบบไม่รอให้ถามจนจบประโยค
"เยสสสสสส!!!!~" คนรอคำตอบ ตะโกนเสียงดังพร้อมกระโดดดีใจจนตัวลอย อย่างไม่เหลือมาดความเป็นอาจารย์ใดๆ
โอ๊ะ~
อยู่ดีๆ ต้าร์ก็รวบบีมเข้าไปกอดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เอนเนอร์จี้มาเต็มกว่าเดิม เขากอดคนตัวเล็กพร้อมทั้งโยกตัวไปมาด้วยท่าทางดีใจเหมือนเด็ก ปากก็พร่ำเอ่ยคำขอบคุณไม่หยุด
"ขอบคุณนะบีม ขอบคุณๆๆๆๆ"
'พ..พี่ต้าร์ พี่ต้าร์ครับ ข ขอบคุณพอแล้วครับ เอ่อ..คนมองกัน..หมดแล้วเนี่ย" เสียงพูดติดๆ ขัดๆ เพราะกอดที่แนบแน่นทำให้ใบหน้าเล็กไปแนบติดอยู่ที่แผ่นอก
ที่ลานแอโรบิค ป้าๆ เริ่มเต้นกันไปแล้ว เสียงเพลงเปิดอยู่ดังประมานหนึ่งเลย แต่เสียงของคนมีความรักที่กระโดดโลดเต้นตะโกนร้องเมื่อสักครู่มันกลับดังกว่าเสียงเพลงที่ออกมาจากลำโพง จนดึงความสนใจจากสายตาหลายสิบคู่ให้หันมามองที่จุดเดียวกันได้ทั้งหมด
"ช่างแม่ง!"
หืมมม..ช่างแม่ง! คำว่า 'ช่างแม่ง' ออกพี่ต้าร์เนี่ยนะ!?
..ตั้งแต่รู้จักกันมา บีมก็เพิ่งได้ยินนี่แหละ
เออ..ช่างแม่งก็ช่างแม่งวะ ถ้าขนาดคนอย่างอาจารย์ต้าร์ยังช่างแม่ง แล้วไอ้บีมเด็กหน้าหนาคนนี้จะต้องแคร์อะไรอีกล่ะ..
ใครจะเหม็นความรักของเราจนรับไม่ได้ ก็ช่างแม่งมันปะไร..
พอคิดได้แบบนั้น บีมก็ขำในใจให้กับเจ้าความคิดบ้าบอของตัวเอง แล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมากอดอีกคนกลับไป
"พี่รักบีมนะ" คนตัวสูงก้มลงมานิดหน่อยเพื่อกระซิบบอกเบาๆ ที่ข้างหู
รัก...
ปกติอย่างมากทั้งคู่มักจะใช้แค่คำว่า'ชอบ' หยอดกันไปหยอดกันมา ไม่แน่ใจในเหตุผลเหมือนกันที่ไม่ได้ใช้คำว่า'รัก' ความรู้สึกที่เหมือนมันยังไปไม่สุด มันมีอะไรมาขวางกั้นอยู่สำหรับคำนี้
ตอนนี้บีมเข้าใจแล้วว่าอาจเป็นเพราะความคลุมเครือของสถานะในช่วงที่ผ่านมานั่นเอง...
เมื่อความคิดตกตะกอนดีแล้ว บีมจึงเอ่ยตอบอีกคนกลับไปด้วยคำเดียวกัน กลั่นออกมาจากใจและความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน
"ผมก็รักพี่ต้าร์ครับ"
ถึงแม้จะพูดเพียงเบาๆ แต่ชัดเจนในใจคนฟังเสมอ
จากนั้นร่างเล็กก็ผละตัวให้หลุดออกมาจากอ้อมกอดเพียงเล็กน้อย เขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อฝากสัมผัสบางเบาจากริมฝีปากตนลงที่หน้าผากของคนตัวสูงกว่า
"รางวัลสำหรับคนชัดเจนครับ" พูดจบก็ส่งรอยยิ้มหวานเจี๊ยบจนตากลายเป็นขีดๆ
คนได้รับรางวัลกลับทำตาโต สีหน้าดูช็อค ตัวแข็งทื่อ จนบีมหลุดขำออกมา
"ฮ่าๆ..เป็นอะไรไปครับ?"
"ป..เปล่า"
"แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น.."
"มันตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัวเฉยๆ"
"ครั้งแรก..?"
"ก็ครั้งแรกสิ คนไม่เคยมีแฟนหนิ..."
ประโยคที่ตอบกับสีหน้างุ้ยๆ แบบเด็กๆ ที่นานๆ จะได้เห็นทำบีมแอบอมยิ้ม
"แล้ว..รู้สึกยังไงบ้างครับ"
"ก็..ดีนะ อืม..แล้วก็จำไม่ได้ละ"
ในขณะที่เจ้าแสบกำลังแกล้งแสดงบทหน้าคว่ำ อีกฝ่ายก็พูดต่อ..
"ก็พี่ไม่ทันตั้งตัวนี่นา เอางี้ดีไหม..ขอแบบเมื่อกี้อีกทีนึง แล้วพี่จะตั้งใจเก็บรายละเอียดเลยว่ารู้สึกอะไรยังไงบ้าง" ว่าแล้วก็หลับตาพริ้ม ยื่นหน้าเข้าหาในระยะประชิด
..พี่ต้าร์ร้ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ?
ใบหน้าเล็กขยับเข้าไปใกล้ คนหลับตาอยู่ใช้ประสาทสัมผัสที่เหลือรับรู้ถึงลมหายอุ่นๆ มากระทบที่บริเวณหน้าผาก ไล่ละมาจนถึงข้างแก้ม ก่อนจะได้ยินเสียงเบาๆ ที่ข้างหู
"เสียใจด้วยนะครับ"
คนรอเก้อลืมตาขึ้นมาพร้อมหน้ามุ่ยๆ เห็นเจ้าตัวเล็กยิ้มแป้นอย่างทะเล้น ก็อยากอัดสักทีสองที โทษฐานให้ความหวังคนแก่แล้วจากไป
..แต่ก็เก่งได้แค่ในห้วงความคิดเท่านั้นแหละ
"นะ..." เสียงอ้อนๆ สายตาเว้าวอนส่งออกมาสะกด หวังให้อีกคนใจอ่อน
แต่คนขี้แกล้งยังไงก็ขี้แกล้งอยู่วันยังค่ำ
บีมส่ายหัวปฏิเสธดุ๊กดิ๊กใบหน้าก็ยังยิ้มกวน "ไม่ครับ จนกว่าพี่ต้าร์จะทำตัวน่ารักกับผมอีกรอบ"
"ทำตัวน่ารัก เช่น..อะไรล่ะ?"
"ก็..อย่างเช่น ไปเต้นแอโรบิคกับผมตอนนี้เลย!"
"ม่ายยยยยยยยยยยยยยย"
***
//จะเป็นแฟนกับลูกแม่เบญ ต้องเต้นแอโรบิคให้เก่งนะพี่ต้าร์ อย่าให้เสียชื่อดาวแดนซ์โลตัสปราน55555
อ่านแล้วเป็นไงบ้าง บอกกันได้เสมอเลยนะคะ ส่วนตัวตอนเขียนค่อนข้างชอบตอนนี้เลย เพราะได้เขียนให้พี่ต้าร์เล่าเรื่องอดีตบ้าง ได้เห็นชีวิตในมุมมองฝั่งของพี่ต้าร์บ้าง หลังจากปล่อยเจ้าเด็กบีมให้ฉอดๆๆๆ อยู่แสนนาน555 ตอนหน้าก็จะเป็นตอนจบแล้ว มาติดตามกันค่าว่าคู่นี้จะลงเอยยังไง~
Comments (0)