... 

 

หลังจากปั่นจักรยานกันมาได้พักใหญ่ ทั้งคู่ก็มานั่งพักกันบนศาลาที่สร้างยื่นลงไปกลางน้ำ ช่วยกันฉีกขนมปังนุ่มนิ่มก้อนโตสำหรับเลี้ยงปลา โยนลงไปตรงนู้นที..ตรงนี้ที มองดูฝูงปลาน้อยใหญ่มารุมกินอาหารอย่างเพลิดเพลินตา

 

..แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เสียงเพลงจังหวะสนุกสนานที่ดังขึ้นมาจะแย่งซีนเจ้าพวกปลาน่ารักเหล่านี้ซะแล้ว

 

หันมองตามเสียงไปทางลานกว้าง เจอบรรดาคุณป้า คุณน้า คุณอา ที่รักสุขภาพ บ้างก็กำลังช่วยกันทดสอบเครื่องเสียง บ้างกำลังยืดเส้นยืดสายสะบัดแข้งสะบัดขา บ้างก็กำลังจัดระยะห่างของตัวเองกับแถวเพื่อเตรียมตัวเต้นแอโรบิค

 

บีมที่มองตามสายตาของต้าร์ไป เห็นอีกคนดูสนใจ จึงเกิดความคิดสนุกๆ

 

"พี่มองแบบนั้นอยากไปเต้นด้วยเหรอครับ? ป่ะ!" มือเล็กกำข้อมืออีกฝ่ายหลวมๆ ออกแรงดึงเบาๆ ให้ลุกขึ้นมา แต่เจ้าตัวรีบส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน 

 

"สายแดนซ์เหรอเราอ่ะ?..ทำมาชวนเต้น"

 

"ให้มันรู้ซะบ้างว่านี่ใคร?" คนตัวเล็กลุกขึ้นยืดทำท่ายืดอกอย่างภาคภูมิใจ "นี่บีมไง..บีมลูกแม่เบญดาวเต้นตัวท็อปประจำโลตัสสาขาปราณ!"

 

ต้าร์มองหน้าเด็กขี้คุยแล้วก็หลุดขำออกมา

 

"แต่ก่อนผมอยู่ปราณ เป็นคนปราณบุรีน่ะครับ เพิ่งเข้ากรุงเทพได้ตอนเรียนมหาลัยเอง แต่ก่อนแม่ชอบให้แว๊นมอ'ไซด์ไปส่งเต้นแอโรบิคที่หน้าโลตัส ไอ้เราก็เรารอไปรอมาเซ็งๆ ไปเต้นด้วยซะเลย บอกเลยนะ..ทุกท่าในวงการแอโรบิคผมได้หมด! ผมเนี่ยขวัญใจป้าๆ หน้าโลตัสเลยแหละ" คนขี้โม้เล่าฉอดๆ ไม่หยุด ยกไม้ยกมือประกอบอย่างเล่นใหญ่

 

เห็นแบบนั้น อีกคนก็อมยิ้มเอ็นดู ก่อนพูดคล้ายรำพึงรำพันแค่กับตัวเอง "ดีจังเลยเนอะ ชีวิตบีมดูมีอะไรสนุกๆ เยอะเลย"

 

"ใช่แล้ว! แล้วพี่ล่ะครับ มีอะไรสนุกๆ บ้าง"

 

"อืม..ชีวิตพี่สนุกที่สุดก็คงตอนทำโจทย์ฟิสิกส์ล่ะมั้ง ที่บ้านกดดันให้เรียนอย่างเดียว พี่เลยโตมาแบบที่ไม่ได้ลองทำอะไรหลากหลาย"

 

ถ้าบีมไม่ได้ตาฝาด แววตาพี่ต้าร์ดูเศร้ามากตอนที่พูดมันออกมา

 

"...กลายเป็นว่าพี่เรียนเก่งก็จริง แต่ก็แค่นั้น..ประสบการณ์รอบตัวแทบจะศูนย์เลยอย่างที่เห็น แล้วการที่เรามาที่นี่กันวันนี้ สำหรับบีม..สำหรับคนทั่วไปมันอาจจะเป็นแค่การเที่ยวเล่นการใช้ชีวิตธรรมดา แต่สำหรับพี่วันนี้มันดีมากนะ เหมือนได้ลาออกจากการเป็นตัวเองคนเดิมๆ พี่รู้สึกผ่อนคลายแล้วก็มีความสุขมาก"

 

ทั้งน้ำเสียง ทั้งสายตา ทำให้รู้สึกปวดร้าวจนบีมอยากจะโอบกอดคนตรงหน้าไว้แน่นๆ แต่ก็รู้ดีว่ามันยังไม่ถึงเวลา

 

สิ่งที่ทำได้ มีเพียง..

 

"ไม่ต้องห่วงนะครับ พี่รู้จักกับผมแล้ว รับรอง..โลกของผมมีเรื่องสนุกให้พี่ทำอีกเยอะแน่นอน" ยังคงเล่นใหญ่ น้ำเสียงแสดงความกระตือรือร้น มือตบหน้าอกตัวเองดัง..ป้าบๆ รอยยิ้มสดใสส่งออกไป หวังว่าจะเป็นกำลังใจและสร้างเสียงหัวเราะให้อีกฝ่ายได้บ้าง

 

หลังประโยคนั้นจบลง คนอายุมากกว่าเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนพูดนิ่งค้าง สีหน้าจริงจังจ้องอยู่นาน จนบีมหายใจติดขัดว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป..

 

 

"ยังพอมีที่ว่างเหลือไหม?"

 

...หรือเพราะเสียงเพลงจากลานแอโรบิคที่มันดังเกินไป ทำให้บีมได้ยินไม่ชัด จนพาให้ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ 

 

"ย..ยังไงนะครับ?" 

 

"พี่หมายถึง..โลกของบีมน่ะ ยังพอมีที่ว่างเหลือไหม? พาพี่เข้าไปอยู่ในนั้นด้วยคนได้ไหมครับ?"

 

"........."

 

จากก่อนหน้าที่แค่หายใจติดขัด ตอนนี้บีมเหมือนคนหยุดหายใจไปแล้ว

 

..ทำไมพวกนักวิชาการชอบพูดอะไรที่เข้าใจยากนัก ประโยคนี้แปลง่ายๆ มันคือการขอเป็นแฟนหรือเปล่านะ? 

เอ๊ะ หรือ..ไม่ใช่  แต่ถึงไม่ใช่ มันก็เหมือนขอศึกษาดูใจ ขอเรียนรู้กันไป อะไรแนวๆ นั้นอยู่ดี..  

 

ใช่ไหมนะ...?

 

ความจริงแล้ว ถ้าว่ากันแบบตามตรง บีมเองน่ะ ชอบพี่ต้าร์มากๆ ชอบตั้งแต่ที่ได้เริ่มคุยกันแล้ว แต่เขาไม่แน่ใจตัวเองว่ามันคือการชอบแบบไหน ชอบในเชิงที่อยากพัฒนาความสัมพันธ์ต่อ หรือชอบเพียงเพราะพี่ต้าร์เป็นคนใจดี ชอบที่พี่ต้าร์คอยให้กำลังใจทุกวัน ชอบที่พี่ต้าร์มีมุมเด๋อๆ ที่ทำให้ยิ้มได้เสมอ มันอาจจะเป็นแค่ความชอบเพราะรู้สึกดีในมุมของการเป็นผู้รับเท่านั้นก็ได้

 

บางทีคำจำกัดความของการชอบแต่ละแบบ มันก็คงมีแค่เส้นบางๆ คั่นอยู่

 

บีมสับสนตัวเอง นอนคิดมาหลายคืนจนหัวจวนเจียนระเบิดก็ยังตอบตัวเองไม่ได้

 

จวบจนกระทั่งการได้พบกันในวันนี้..

 

เมื่อใดที่เราเลิกใช้สมองหาคำตอบ เมื่อนั้นเราจะได้คำตอบ บีมคิดว่ามันคงแบบนั้น

 

วินาทีที่พี่ต้าร์ส่งรอยยิ้มกว้างๆ มาให้กันวินาทีนั้นทำให้คำถามที่ค้างในใจมานานได้หมดลง...

 

เมื่อเข้าใจความรู้สึกของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว บีมตระหนักได้ทันทีเลยว่า ครั้งนี้..เขาเจองานหนัก!

 

บีมยอมรับชะตากรรมและเตรียมใจไว้นิดๆ กับการที่ตัวเองมาตกหลุมชอบมนุษย์แบบพี่ต้าร์ คนที่ชีวิตถูกล้อมไว้ด้วยกฏระเบียบแบบแผนอะไรมากมายไปหมด เรื่องแบบนี้คงต้องใช้เวลานานพอดู แต่ก็ไม่เป็นไร บีมไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนทั้งนั้น

 

ระหว่างปั่นจักรยานสบายๆ หัวสมองปลอดโปร่ง เขาได้เริ่มวางแผนร้ายกาจขึ้นมาในใจว่าจะค่อยๆ เริ่มต้นจีบแบบตีเนียนแทรกซึมไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ไก่ตื่น พาตัวเองไปให้พี่ต้าร์เจอหน้าบ่อยๆ แซวบ้าง หยอดบ้าง วันละเล็กละน้อย ตามทฤษฎีน้ำหยดลงหิน ทุกวันหวังว่าหินของเขาจะไม่รำคาญและยอมใจอ่อนให้เด็กคนนี้สักวัน

 

ช็อคไป..ไม่นิด 

 

ก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า..คนที่บีมวางให้เป็นหินจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนเสียเอง...

 

 

 

ทางด้านของคนอายุมากกว่า ต้าร์รู้สึกว่าบีมคือคนที่ทำให้เขารู้สึกพิเศษ ไม่ว่าจะตั้งแต่ตอนได้คุยกันครั้งแรก หรือที่มาเจอกันในวันนี้ อธิบายค่อนข้างยากว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร  จะเรียกว่าถูกชะตามันก็มากกว่านั้น และที่แน่ๆ เขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน 

 

บีมเป็นเด็กที่ชอบสร้างความประหลาดใจให้เขาอยู่บ่อยๆ เป็นคนกล้าคิดกล้าพูด และมักมีมุมมองใหม่ๆ แลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เขายึดติด ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกใหม่ เขาไม่เคยโกรธและตื่นเต้นที่จะได้ฟังเสมอ กลับกัน..ออกจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ประทับใจด้วยซ้ำ 

 

ต้าร์ชอบตัวเองเวลาที่อยู่กับบีม เพราะเขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ตามต้องการ อะไรไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ อะไรไม่เป็นก็บอกว่าไม่เป็น ไม่ต้องสวมหัวโขน ไม่ต้องทำตัวเป็นอาจารย์ที่ดูภูมิฐานหรือวางมาดเป็นนักวิชาการผู้ทรงความรู้ตลอดเวลา 

 

อีกอย่างความร่าเริงสดใสของบีม แผ่ขยายส่งพลังบวกมายังเขาเสมอ แค่รอยยิ้มจริงใจที่ยิ้มจนตากลายเป็นขีดนั่น แค่เห็นก็พลอยยิ้มตามจนลืมเรื่องที่เครียดมาทั้งวันได้แล้ว

 

​​​​​​ต้าร์อยากเห็นรอยยิ้มสดใสแบบนี้ไปนานๆ...

 

ปกติอาจารย์หนุ่มมักจะเป็นคนคิดเยอะจนบางทีก็เกินคำว่ารอบคอบไปไกล ครั้งนี้ออกจะวู่วามจนผิดนิสัย เพราะต้าร์รู้สึกว่ามันเหลือเวลาไม่มากแล้ว เขาไม่อยากให้เรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นต้องจบลงไปหลังจากแยกย้ายกันในวันนี้ แล้วระหว่างเรากลับไปเป็นแค่คุณนักเขียนกับคนอ่านเหมือนก่อนหน้า

 

เขายังอยากเจอบีม เขายังอยากมีเด็กชื่อบีมอยู่ในชีวิต..

 

แค่รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ..

 

ประสบการณ์รอบตัวที่เกือบจะศูนย์ แต่ประสบการความรักก็คือศูนย์สนิท ต้าร์ไม่เคยมีคนรักมาก่อน จะพูดจะสารภาพก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน 

แต่แล้วด้วยบทสนทนาที่พาไป ทำให้เขาเอ่ยปากไปแบบนั้น 

 

ไม่ได้เผลอ ไม่ได้พลาด..

ที่พูดแบบนั้น เพราะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ 

 

 

"....โลกของบีมน่ะ ยังพอมีที่ว่างเหลือไหม? พาพี่เข้าไปอยู่ในนั้นด้วยคนได้ไหมครับ?"

 

 

ตอนนี้คนตัวเล็กมองดูคล้ายรูปปั้นมนุษย์ที่แข็งทื่อ ต่างออกไปที่รูปปั้นนี้มีใบหน้าที่ขึ้นสีแดงจัดได้ และมีหัวใจที่เต้นแรงจนแทบทะลุออกมา

 

..ที่จริงบีมก็ไม่ได้ติดอะไรหรอกนะ ออกจะดีใจมากเลยด้วย แต่ความที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ก็เล่นเขาเอาไปไม่เป็น

 

ดวงตาใต้กรอบแว่นใสจ้องไปที่ดวงตาเล็กๆ บีมอีกครั้งเป็นนัยว่ากำลังรอคำตอบ

 

​​​​​"ไม่ได้เหรอครับ.." น้ำเสียงที่ฟังดูเศร้าสร้อยและสายตาอ้อนวอนที่ส่งมา ทำคนที่เห็นใจบางยิ่งกว่ากระดาษทิชชู่เปียกน้ำ ...ถ้าปฏิเสธได้ก็เก่งเกินไปแล้ว

 

อ่ะ ไม่พอ..ยังแบมือมาวางรออยู่ตรงหน้า

 

อาจารย์คนเด๋อ มีมุมแบบนี้กับเขาด้วยเหรอเนี่ย...

 

 

"จริงๆ โลกของผมพื้นที่เกือบเต็มแล้วแหละครับ แต่มันก็เหลือที่ว่างอีกแค่นิด..นึง น่าจะพอสำหรับให้พี่เข้าไปอยู่ได้อีกคนพอดี.." ทำวางฟอร์มตอบด้วยเสียงราบเรียบเหมือนไม่ยินดียินร้าย แต่มือเล็กค่อยๆ ขยับไปวางทาบทับบนฝ่ามือของอีกฝ่ายที่วางอยู่ก่อนหน้าโดยไม่สบตา สายตาเฉไปมองฝูงปลาที่แหวกว่ายในน้ำ

 

...ให้ตายเหอะ เขินว่ะ...บ้าบอ! 

 

 

"ขอบคุณนะ"

 

นี่คงเป็นประโยคที่เรียบง่ายและดีที่สุด ที่ต้าร์พอคิดได้ในเวลานี้

 

​​​​​​มือใหญ่กระชับและประสานนิ้วมือทั้งห้าของพวกเขาเข้าไว้ด้วยกัน ความอบอุ่นก่อตัวขึ้นในใจของทั้งสองฝ่าย..

 

อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือตอนนี้พวกเขามีใจที่ตรงกัน พร้อมจะเปิดใจและเรียนรู้ไปด้วยกัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว...

 

.

.

.

 

หลังจากเหตุการณ์ที่สวนสาธารณะในวันนั้น ต้าร์นึกขอบคุณในการตัดสินของตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะทำให้เรื่องราวระหว่างพวกเขาไม่จบลงแค่ตรงนั้น แต่มันยังค่อยๆ งอกงามและเติบโต

 

ต่อมาพวกเขาได้นัดเจอกันอีกเป็นครั้งที่สอง สาม สี่ ห้า หก ตามมาเรื่อยๆ จนเริ่มนับไม่ถ้วน..

 

สถานที่ก็แสนธรรมดา แบบที่คนทั่วไปใช้ชีวิตกัน แต่...ไม่ใช่ชีวิตของคนแบบต้าร์ 

 

บีมรับหน้าที่พาอีกฝ่ายไปเดินห้าง ดูหนัง ไปหาของกินอร่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นหมูกระทะ ชาบู ตลาดนัด รวมถึงแนวคาเฟ่น่ารักๆ  พาไปโซนเกมเซนเตอร์ที่บีมเคยเล่าถึงว่าสมัยเด็กๆ ชอบหนีพ่อแม่มาเล่น พาเล่นกันไปเรื่อยตั้งแต่เกมตู้ต่างๆ เกมชู้ตบาส ไปยันการคีบตุ๊กตา ไปทุกที่เท่าที่คนอย่างบีมจะนึกออก ทั้งหมดเพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปในชีวิตของต้าร์

 

.

.

 

ไม่เว้นแม้กระทั่ง..แนวนี้

 

'พี่ต้าร์..เราไปทำบุญเสริมดวงปีเกิดกันเถอะ เราเกิดปีเดียวกันเลยเตรียมของสบายมาก เขาว่าคนเกิดปีเถาะปีนี้ให้ปล่อยปลาสามสิบหกตัว...'

 

'พี่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องนั้นหรอก มันพิสูจน์ไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์...'

 

เสียง..จิ๊! หลุดออกมาพร้อมด้วยใบหน้ายู่ๆ หันมาจ้องอย่างเอาเรื่อง

 

'เดี๋ยวสิ..วัยรุ่น! ฟังให้จบก่อนนน พี่จะบอกว่าพี่ไม่ค่อยเชื่อ แต่ถ้าบีมเชื่อ..พี่ก็จะเชื่อ ถ้าบีมบอกให้ไปไหน..พี่ก็จะไป แค่ได้ไปกับบีมพี่ก็มีความสุขแล้ว โอเคไหมครับ? หื้มมม?'

 

'เหอะ..' ทำเป็นแค่นเสียงไปงั้น จริงๆ แอบข่มความเขินไว้อยู่ ก่อนเปลี่ยนมาบ่นพึมพำ 'เอาใจเก่งนัก'

 

'แน่น๊อน~' คนพี่ทำท่ายักไหล่ เดี๋ยวนี้เริ่มยียวนเก่งขึ้นบ้างแล้ว หลังจากรู้จักกับเด็กคนนี้

 

'เย้~ งั้นเรารีบไปกันเถอะ ไปซื้อปลาเจ็ดสิบสองตัวไปเลยยย~' 

 

อารมณ์ที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ พอโกรธก็ลืมตัวเผลอแสดงออกทางสีหน้า พอง้อนิดก็หายเป็นปลิดทิ้งกลับมาเริงร่าอย่างเด็กน้อย ทำเอาต้าร์อดจะยิ้มตามไม่ได้ เพราะเหตุนี้แหละทำให้เขากลายเป็นคนขี้ตามใจไปโดยปริยาย

 

.

.

 

..และอีกครั้งที่ได้เจอกัน ครั้งนั้นบีมให้ต้าร์เป็นฝ่ายเลือกสถานที่บ้าง คนอายุมากกว่าขอให้บีมพาไปเลือกเสื้อผ้าใหม่ให้ จนบีมเกิดความสงสัย เพราะบีมเองเป็นคนยังไงก็ได้ ไม่เคยมีปัญหา ไม่เคยดูถูกสไตล์หรือรสนิยมใคร  

 

'พี่ต้าร์ เป็นอะไร ไปฟังอะไรใครมารึเปล่าครับ? พี่เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไง..'

 

'เปล่า คือพี่..เอ่อ.. พี่ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเราเป็น..พ่อลูกกัน' 

 

'พี่..คิดมาก' ตอนนั้นบีมหลุดขำปนเอ็นดู

 

'นะ..' แต่อีกฝ่ายยังขอร้องด้วยเสียงจริงจัง 

 

จริงๆ ใครจะมองจะพูดยังไงบีมไม่เคยแคร์ทั้งนั้น แต่ถ้ามันจะทำให้พี่ต้าร์ของเขาสบายใจ บีมก็จะยอมตามนั้น  

 

'ก็ได้ครับ เปลี่ยนลุคส์แค่เสื้อผ้าพอนะ ไม่ต้องเลิกใส่แว่นมาใส่คอนแทคเลนส์'

 

'ทำไม?'

 

'ผมชอบ' 

 

'ชอบคนใส่แว่น?'

 

'หึ..ชอบพี่"

 

'.....'

 

ทำเอาคนฟังถึงกับเขินม้วนไปยกใหญ่ วันนั้นบีมเลยได้ใจเพราะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะคืนมาด้วยการทำให้พี่ต้าร์เสียอาการได้บ้างแล้ว  

 

.

.

 

และมาถึงวันนี้ก็เช่นกัน เป็นอีกวันที่ทั้งคู่นัดกันมากินข้าวสุดแสนเรียบง่าย เพราะอาจารย์หนุ่มมีงานกองโตต้องรีบเคลียร์ต่อ แต่ก็ไม่วายอยากเจอหน้าอีกฝ่าย บีมจึงเสนอผัดไทยร้านที่อยู่ในซอยเล็กๆ ตรงข้ามมหาวิทยาลัยปัณฑ์ธรนี่เอง 

 

"ร้านนี้เด็ด! ผมว่าอร่อยกว่าเจ้าดังที่เขาไปต่อคิวซื้อกันอีกนะ" บีมพูดขึ้นมาเมื่อทั้งสองได้ลิ้มรสของอาหารจานตรงหน้า 

 

"อื้อ..อร่อยอ่ะ อยู่ใกล้แค่นี้เอง พี่กลับไม่รู้เรื่องเลย"

 

"แรร์ไอเทม ฮิๆ ผมรู้ร้านเด็ดแถวนี้อีกหลายร้านเลย ไว้เราทยอยไปกินกันนะครับ"

 

"รู้เรื่องอะไรแถวนี้เยอะจังเลยนะ มีคนรู้ใจเรียนอยู่ที่นี่เหรอไง?' คนอายุมากกว่าเบะปากน้อยๆ 

 

อ่ะ..พูดเอง ทำหน้าเศร้าเอง คุยกันอยู่ดีๆ แท้ๆ อารมณ์ไหนเนี่ย..พี่ต้าร์ดึงดร่ามาเฉย น่าสงสารอยู่หรอก แต่ขอแกล้งก่อนแล้วกัน

 

"ใช่ครับ ผมเคยมีคนรู้ใจเรียนอยู่ที่ปัณฑ์ธร"

 

อ่า..ชัดเลย วางตะเกียบใส่แล้วหันหน้าไปอีกทาง ไม่ยอมมองหน้ากันเลยทีนี้

 

"ทำไม..พี่จะหึงย้อนหลังเหรอครับ?" เจ้าตัวแสบยังเย้าอีกฝ่ายไม่เลิก

 

คนที่เบือนหน้าไปหันกลับมา น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยขึ้น "ได้ไหมล่ะ?..พี่มีสิทธิ์ไหม?" 

 

"ได้สิครับ" บีมยังยิ้มทะเล้น รู้อยู่หรอกว่าไม่ใช่เวลามาดีใจ แต่ดีใจจัง นานๆ พี่ต้าร์จะมีอาการแบบนี้ใส่เขา ก่อนจะรีบเฉลย "แต่ผมล้อเล่นนะ คนรู้ใจที่ว่าหมายถึงเพื่อนสนิทครับ เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ม.ต้นเลย พวกมันเรียนอยู่ที่นี่กันตั้งหลายคน ที่เคยเล่าให้พี่ฟังไง ไม่ใช่..คนรู้ใจแบบที่พี่คิดสักหน่อย...'

 

คนพูดหยุดหนึ่งจังหวะก่อนเอ่ยต่อ "แต่ถ้าคนแบบนั้น ถ้าให้พูดแบบไม่โกหกก็ต้องยอมรับว่าเคยมีครับ.." พูดไปก็กังวลเล็กน้อย ลอบชำเลืองดูอาการเป็นระยะ "ผมอนุญาตให้พี่หึงก็ได้..สามวิพอนะครับ เพราะมันนานมากแล้ว"

 

ที่บีมกล้าพูดเพราะคิดว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งยังเป็นอดีต อดีตก็คืออดีต พี่ต้าร์ผู้ใหญ่แล้วและเป็นคนมีเหตุผลมากพอ..

 

 

เหรอ?

 

บีมคิดผิด...

พี่ต้าร์ก็ยังคงหน้านิ่งมาก...แง้ 

 

"ผมพูดจริงนะครับ มันเป็นอดีตไปหมดแล้ว คนสุดท้ายก็ตั้งแต่สมัยม.ปลายนู่นแหน่ะ" 

 

"แก่แดด" 

 

โดนต่อว่าแท้ๆ แต่เพราะอีกฝ่ายดันใช้นี้ คำศัพท์ที่บีมไม่ค่อยได้ยินใครใช้มานานแล้ว รอยยิ้มจึงเกิดขึ้นที่มุมปาก พยายามจะกลั้นไว้ไม่ให้ขำออกมา กลัวคนพี่จะยิ่งเคืองไปกันใหญ่

 

"ก็ได้..ก็ได้ แก่แดดก็แก่แดดยอมรับ วัยว้าวุ่นน่ะครับ พี่เข้าใจไหม?" ประโยคถัดมา เขาลดเสียงลงเล็กน้อย เขินเหมือนกันนะ ที่ต้องมาพูดอะไรแบบนี้ในร้านผัดไทย แต่ก็ต้องพูดแหละ ง้อครับง้อ..

 

"ส่วนปัจจุบัน..ผมมีแค่พี่นะ"

 

คำพูดเอาใจนี้เรียกรอยยิ้มจางๆ กลับมาปรากฏบนใบหน้าอาจารย์หนุ่ม แต่แววตาที่ฉายแววคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่างยังคงอยู่

 

"พี่ยังคิดมากอยู่เหรอครับ?"

 

"ไม่หรอก.." เขาปฏิเสธทั้งที่ยังมีความรู้สึกบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ จะบอกว่ารู้สึกหวงหรือหึงอีกคนกับเรื่องราวในอดีต ก็คงเป็นคนที่ดูงี่เง่าเกินไป แต่ความจริงเขากำลังรู้สึกแบบนั้นแหละ ตลกชะมัด.. 

 

"พี่ก็แค่คิดว่า..ถ้าเราเจอเร็วกว่านี้ก็คงดี.."

 

บีมยิ้มน้อยๆ ก่อนพูดขึ้นมา...

 

"พี่ต้าร์ครับ..ที่เราเจอกันตอนนี้เหมือนเป็นสิ่งโชคชะตากำหนดไว้แล้ว ผมเชื่อว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด ไม่งั้นคนที่เลือกเดินคนละเส้นทางอย่างเราจะโคจรมาเจอกันได้ยังไง..

พี่ต้าร์สัญญากับผมได้ไหม? ..ว่าจะไม่คิดถึงเรื่องในอดีตอีก อย่าไปเสียดายกับเวลาที่ผ่านมา ในเมื่อตอนนี้เราก็มาอยู่ด้วยกันตรงนี้แล้ว ทำปัจจุบันของเราต่อจากนี้ให้ดีที่สุดก็พอ...โอเคไหมครับ?"

 

เป็นอีกครั้งและอีกครั้ง ที่คนอายุมากกว่ายอมนิ่งฟัง ก่อนจะพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น

 

"อื้ม..สัญญา" 

 

 

บีมรู้สึกว่าเราคุยเรื่องเครียดกันมานานเกินไปแล้ว เดี๋ยวตีนกาจะขึ้นกันซะก่อน ต้องรีบเปลี่ยนสถานการณ์ให้ไว แถมผัดไทยในจานที่วางอยู่ตรงหน้าก็ยังตั้งค้างอวดเส้นสีสวย กุ้งตัวใหญ่ดูสดเด้งดึ๋ง ถั่วลิสงผ่านการคั่วใหม่ดูกรุบกรอบ ยังรอให้พวกเราตักเข้าปากอีกครั้ง

 

มือเล็กจับตะเกียบในจานของคนที่นั่งตรงข้าม คีบเส้นผัดไทยขึ้นมา "กินเร็วครับ เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน ผมป้อนนะ อ่ะ..อ้ำาา"

​​​​​​

บีมทำตัวน่ารักเอาใจเป็นการง้อ ครั้งนี้เขาติดเล่นเกินไปหน่อยเลยทำให้ทุกอย่างบานปลาย ถ้าอะไรที่จะมันทำให้ชายตรงหน้าหายคิดมากแล้วกลับมายิ้มให้กันได้แล้วล่ะก็.. น้องบีมคนนี้ยินดีเสมอ

 

"พอแล้วๆ คนหันมามองกันหมดแล้ว ไม่อายบ้างเหรอ?

 

"ไม่อายหรอกครับ ถ้ามันจะทำให้พี่ยิ้มได้" ว่าจบก็ยิ้มแฉ่งออกมาให้อีกฝ่ายก่อน

 

มือใหญ่เอื้อมไปขยี้ศีรษะเด็กที่นั่งฝั่งตรงข้าม ร้อยยิ้มกว้างกลับมาประดับบนใบหน้าที่วันนี้มันนิ่งมานาน "ไอ้ตูดเอ๊ย.."

 

รอยยิ้มของทั้งคู่ ยังเป็นสิ่งที่เติมเต็มความรู้สึกให้กันและกันได้เสมอ...

 

 

 

หลังจากที่แยกย้ายกันแล้ว เมื่อต้าร์กลับมาถึงคอนโดก็ทิ้งตัวลงโซฟาตัวกว้างอย่างเหนื่อยอ่อน ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในร้านอาหาร รู้สึกว่าทำตัวไม่ดีกับบีมเอามากๆ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่เขากลับแสดงความงี่เง่าออกมาเป็นเด็กๆ อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

 

เกิดอะไรกับชีวิตเราเนี่ย..

 

จากคนปกติจะใช้ชีวิตไปตามตรรกะ มีความเป็นเหตุเป็นผลสูงมาก ในหัวสมองมีแต่เรื่องงานเรื่องเนื้อหาที่จะสอน ว่างจากงานก็มักจะค้นคว้าหาความรู้ในด้านวิชาการต่างๆ ไม่เคยสนใจโลก และไม่ค่อยสนใจสิ่งอื่นรอบตัว 

 

นอกจากบีมจะทำให้เขาได้สัมผัสกับคำว่าความสุขแล้ว เขายังค้นพบความหมายของคำว่าน้อยใจ งอน หึง และหวง ซึ่งไม่เคยมีในพจนานุกรมของเขามาก่อน 

 

ความรู้สึกดีใจจนแทบอยากจะวิ่งเข้าไปกอดทุกครั้งที่ได้เจอหน้า ความรู้สึกเจ็บจี๊ดข้างในหัวใจ แค่เพียงนึกไปว่า..เมื่อก่อนบีมเคยมีความสุขกับใคร หรือความรู้สึกเหมือนหัวใจแตกสลายจนอยากจะร้องไห้ออกมา เพียงแค่จินตนาการเลวร้ายเลยเถิดไปว่า..ถ้าเขาทำอะไรผิดพลาดไปจนเราจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก ..

..กับคนๆ นี้ แค่เรื่องเล็กน้อยก็มีอิทธิพลต่อหัวใจไปซะทุกอย่าง...

 

ทั้งหมดนี่ คงเป็นสิ่งที่เรียกว่า 'ความรัก' สินะ

 

เด็กคนนี้ทำให้เขาค้นพบโลกอีกด้านของความเป็นมนุษย์  มนุษย์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก มนุษย์ที่เพิ่งค้นพบว่าตัวเองก็มีหัวใจ 

 

ต้าร์..ยืนยันกับตัวเองอีกครั้ง

เขาจะไม่ทำตัวแย่ๆ แบบวันนี้อีก จะทำทุกวันต่อจากนี้ให้ดีที่สุดและเต็มที่สุด ตามที่ได้สัญญากับเจ้าตัวเล็กของเขาไว้..

 

 

จริงสิ! มีบางอย่างที่เขายังไม่ได้ทำ และต้องรีบทำ! 

 

ถึงแม้ตั้งแต่รู้จักกับบีมมา ทำให้อาจารย์หนุ่มใช้ชีวิตแบบผ่อนคลายลงมามากก็จริง แต่นิสัยความเป็นระเบียบการทำงานเป็นขั้นเป็นตอนยังคงอยู่

 

ทันทีที่นึกได้ มือก็คว้าสมุดจดงานขึ้นมาเขียนอะไรขยุกขยิกบางอย่าง ภารกิจที่ตัวเองต้องทำในวันที่จะได้เจอบีมครั้งต่อไป..

 

​​​​​***

 

//พี่ต้าร์จะย้อนเวลาไปหวงน้องในอดีตไม่ได้มั้ยยย?55555 เขียนเองยังเอ็นดูเอง ??

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกหัวใจ ทุกการเก็บเข้าชั้นนะคะ ขอบคุณแอคซัพทุกแอคด้วยที่สร้างแท็ก สร้างพื้นที่ให้ได้ไปลงงาน แล้วก็ช่วยรีทวิตโปรโมตงานให้นะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ ?❤️❤️❤️

ฝากเป็นกำลังใจให้พิต้าร์กับน้อนบีม แล้วก็เราด้วย แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่าาา~