"บีม! ตอนนี้พระเอกเบียวมาก!!"

 

เสียงในสายดังขึ้นอย่างออกรส ทันทีที่กดรับโทรศัพท์  ทำเอาคุณนักเขียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

 

..ก็เดี๋ยวนี้ไม่มีเกริ่น ไม่ต้องเอ่ยทักทายเหมือนครั้งแรกๆ แล้ว

 

 

เห็นคนฟังยังเงียบเลยขยายความต่อ "ก็ในนิยายตอนที่บีมเพิ่งอัพไง ตอนที่พระเอกพูดกับนางเอกว่า 'ผมจะปกป้องคุณด้วยสองมือเปล่ากับหัวใจที่บริสุทธิ์ของผมเอง' อ่ะ" 

 

"อ๋ออออ..ฮ่าๆๆๆๆ" 

พอถึงบางอ้อเท่านั้น เจ้าของงานเขียนถึงกับหัวเราะร่วน ที่ได้ยินว่าตัวละครของเขาเบียว แต่ก็ประหลาดใจอยู่มากที่พี่ต้าร์รู้ศัพท์คำนี้ด้วย จนไม่วายต้องแซวออกไปอย่างอารมณ์ดี 

 

"พี่รู้จักคำว่าเบียวด้วยเหรอครับ?" 

 

"ก็..เคยได้ยินเจ้าเตยมันพูดๆ น่ะ ตอนนั้นสงสัยก็เลยถาม พอรู้ความหมายแล้วก็เลยอยากลองใช้ แต่..ไม่รู้ใช้ถูกเปล่า..?" มือเรียวยกขึ้นเกาแก้มด้วยความเขิน

 

พอยิ่งได้ฟังคำอธิบาย ยิ่งทำให้บีมหลุดขำออกมาน้อยๆ แต่ยิ้มจนแก้มแทบปริ 

 

"ก็..ประมาณนี้แหละครับ"

 

ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ที่ความซื่อ คำพูดคำจาที่เหมือนคนแก่ตามลูกหลานไม่ทัน ทำให้คนอายุน้อยกว่าถึงหนึ่งรอบเกิดความเอ็นดูขึ้นมา

 

 

ตอนนี้นักอ่านหนึ่งเดียวของบีม ควบตำแหน่งกำลังใจคนสำคัญ ไม่ค่อยได้พิมพ์คอมเมนต์ลงในหน้านิยายของบีมอีกแล้ว แต่เขาไม่ได้รู้สึกแย่ เพราะตั้งแต่ที่ได้คุยกันวันนั้นเป็นต้นมา คุณรี้ดคนนี้ก็สายตรงมาคอมเมนต์กับตัวเขาเองตลอดเลยยังไงล่ะ!

 

และ..ใช่ ยังคงไม่เกิน 15 นาทีหลังจากที่บีมอัพนิยาย ตอนนี้ลดเป็นไม่เกิน 10 นาทีด้วยซ้ำเพราะไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์

 

 

"พี่ต้าร์ครับ" เสียงเรียกที่เอ่ยขึ้นในประโยคต่อมาแฝงไปด้วยความจริงจังผสมความประหม่า "พี่จะว่าอะไรไหมครับ? ถ้าผมอยากจะขอเลี้ยงข้าวพี่เป็นการตอบแทนสักมื้อ" เขาพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว

 

จริงอยู่..อยากตอบแทนก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งถ้าว่ากันอย่างไม่อ้อมค้อมก็คืออยากเจอนั่นแหละ

 

ตั้งแต่วันที่บีมกระทำการอุกอาจด้วยการขอไลน์ไปแต่ดันได้เบอร์โทรกลับมา เขาก็ไม่ได้เอาเบอร์มาแอดไลน์ ไม่ได้เอาชื่อเอาตำแหน่งไปเซิร์ชหาเพิ่มเติมเพื่อจะได้เห็นหน้าค่าตา ไม่ได้ทำอะไรที่เกินกว่านั้น เกินกว่าที่อีกคนจะบอกหรืออนุญาต และบีมเองก็เคารพพื้นที่ส่วนตัวของพี่ต้าร์มากเช่นกัน 

 

แต่ตอนนี้ ก็แค่..อยากเจอตัวเป็นๆ บ้างหลังจากโทรคุยกันมาสักพักแล้วน่ะนะ 

 

"หืม..พี่จะให้เด็กเลี้ยงข้าวได้ไงกัน" ต้าร์ยังคงเป็นต้าร์ ที่มีความนึกคิดตามมาตรฐานของสังคมทั่วไป เขาเป็นผู้ใหญ่จะให้คนอายุน้อยกว่าเลี้ยงไม่ได้ มันไม่ดี 

 

"ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ผมไม่ถือ.."

 

"แต่..."

 

"พี่มีบุญคุณกับผม ผมอยากตอบแทน มันก็แค่นั้นเอง ไม่เห็นเกี่ยวกับอายุเลยครับ" 

 

"แต่...." เขาลังเล "..พี่ไม่เห็นทำอะไรให้บีมขนาดนั้นเลยนี่"

 

"พี่ทำครับ พี่ให้กำลังใจผมมาตลอด พี่อาจจะคิดว่าพี่เหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย แต่สิ่งนั้นมันต่อลมหายใจให้กับนักเขียนตัวเล็กๆ อย่างผม..

​​​​​ผมเคยคิดนะ..ว่าผมเป็นคนรักการเขียนนิยาย ถึงแม้งานเขียนของผมจะไม่มีใครเปิดอ่าน ไม่มีคนคอมเมนต์ ผมก็จะเขียนมันไปเรื่อยๆ ฝึกฝนมันไปเรื่อยๆ แต่ถึงจะบอกตัวเองแบบนั้น จริงๆ แล้วในใจมันเคว้งคว้างนะครับ เหมือนสิ่งที่เราตั้งใจเต็มที่ไม่มีใครเห็นมันเลย

ผมเกือบจะไม่ไหว เกือบจะหยุดและล้มเลิกได้ทุกเมื่อ ถ้าเพียงแต่พี่ไม่ได้ทักเข้ามาอย่างถูกจังหวะในวันนั้น..."  

 

ในตอนแรกต้าร์ก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาไปทำอะไรให้กัน เพราะชีวิตเขามันช่างห่างไกลกับโลกของนักเขียนเหลือเกิน แค่คำขอบคุณที่บีมพูดให้ฟังซ้ำๆ ทุกวัน เขาก็รู้สึกว่ามันมากเกินพอแล้ว แต่พอได้ฟังสิ่งที่บีมพูดในวันนี้ ทำให้เขายิ่งเข้าใจอะไรมากขึ้น เห็นถึงทั้งความพยายามและความท้อใจ ทำให้รู้ว่าภายใต้ความสนุกสนานร่าเริงคุยสนุกของเด็กคนนี้ แท้จริงแล้วแบกความกดดันไว้ในใจมากพอสมควร 

 

"โอเค พี่เข้าใจแล้ว พี่จะไป แต่ไม่ต้องเลี้ยงอะไรที่แพงหรอกนะ แค่ให้เด็กเลี้ยงก็น่าเกลียดจะแย่.." ประโยคสุดท้ายเบาลงเหมือนยังกระดากอายเหมือนทำอะไรผิด มือยกลูบท้ายทอย ลูบแขนไปทั่วอย่างมั่วซั่ว

 

บีมยิ้ม แอบส่ายหัวให้กับความคิดของคนที่อยู่ในกรอบ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหน ก่อนตอบให้ติดตลกเพื่อความสบายใจ..

"ไม่แพงหรอกครับ ถึงพี่อยากกินร้านแพงๆ ผมก็ไม่มีปัญญาหรอก ฮาๆๆ "

 

"อื้อ ดีแล้วล่ะ"

 

"ผมมีที่นึง อยากชวนพี่ไป สวนสาธารณะใกล้ๆ มหาลัยพี่ไงครับ ช่วงนี้ชมพูพันธุ์ทิพย์น่าจะกำลังบานพอดี ไปตอนนี้คงสวยมาก แล้วมันก็จะมีร้านอาหารเล็กๆ หลายร้าน ราคาไม่แพงด้วยครับ"

 

"ชมพูพันธุ์ทิพย์...คือ?" คนฟังทวนคำ กึ่งเป็นคำถามกึ่งใช้ความคิดไปด้วย

 

"ชมพูพันธุ์ทิพย์ก็คือ ต้นไม้มีดอกสีชมพูสวยเต็มต้นไงครับ ที่คนชอบเรียกกันว่าซากุระเมืองไทย พี่คงเคยได้ยิน แต่ผมไม่อยากเรียกแบบนั้น ไม่ว่าจะซากุระเมืองไทยเอย มัลดีฟเมืองไทยเอย ผมคิดว่าต้นไม้ทุกต้น ดอกไม้ทุกดอก สถานที่ทุกสถานที่ หรือแม้กระทั่งคน ย่อมมีคุณค่าในตัวเองเสมอโดยที่ไม่ต้องไปเหมือนหรือเปรียบเทียบกับอะไรทั้งนั้นครับ"  

 

"อือ ก็จริงเนอะ.." ถึงแม้จะอีกฝ่ายจะอายุน้อยกว่าเขา แต่ถ้ามีเหตุผลมากพอ ต้าร์ก็พร้อมรับฟังเสมอ "พอคนเรียกกันไปแบบนั้น บางทีก็ทำให้เราเผลอลืมชื่อจริงๆ ของมันไปเลย" 

 

"ใช่ครับ ทั้งที่ความสวยงาม มันก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันแท้ๆ" 

 

คนเป็นอาจารย์พยักหน้างึกๆ เป็นเชิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง ทั้งที่เป็นการคุยแบบไม่เห็นหน้า

 

"ตกลงเดี๋ยวเราไปเจอกันที่นั่นเนอะ"

 

"ครับ ถ้าวันพรุ่งนี้พี่สะดวกไหมครับ? ..หรือจะรอเสาร์อาทิตย์ดี"

 

"ไม่ต้องๆ พรุ่งนี้ได้เลย พรุ่งนี้พี่มีสอนถึงสามโมง แต่หลังจากนั้นว่างอยู่ เจอกันสักสี่โมงเย็นได้ไหม?" 

 

"ได้ครับ ถ้างั้นเราเจอตรงโซนที่ขายของกินนะครับ ตรงที่มีร้านรถเข็นจอดเรียงกันเยอะๆ มันมีม้านั่งสำหรับนั่งรอได้ด้วย"

 

"ตกลง แล้วเจอกันนะ"

 

.

.

​​​​

หลังจากวางสายในคืนนั้น วันต่อมา..ทั้งคู่รู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน อาการเดียวกันคือเหลือบมองนาฬิกากันทุกชั่วโมง รู้สึกว่าเวลาเดินช้า

คนเราเวลารออะไร อาการมันก็คงเป็นแบบนี้สินะ..

 

 

ในที่สุดเวลาที่รอก็มาถึง..

 

บีมออกมาจากหอพักด้วยชุดสบายๆ เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ขาสั้น รองเท้าผ้าใบ พร้อมกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กๆ สีดำสำหรับใส่สัมภาระ มานั่งรออยู่ก่อนที่ม้านั่งใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ฝั่งตรงข้ามเป็นบรรดารถเข็นขายอาหารที่กินง่ายๆ เรียงรายเป็นทิวแถว 

 

ตอนนี้ถึงเวลานัดแล้ว แต่อีกคนยังไม่มา บีมเลยถือโอกาสลุกไปเดินเล่นสำรวจของกินต่างๆ ไว้ให้ก่อน ตรงนี้มีตั้งแต่รถขายน้ำอัดลม น้ำส้มคั้นขวดๆ รถขายส้มตำ รถขายไก่ทอด รถขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง รถขายชีสบอลกับเฟรนช์ฟรายส์  แล้วก็อีกหลายอย่างเลย..

 

อยากกินของไม่แพงดีนัก กินแบบนี้ไปเลยแล้วกัน หุย...น่ากินทั้งนั้น น้ำลายจะหกแล้วเนี่ย!

 

หวังว่าพี่จะพอกินได้นะครับ..

 

กำลังเดินดูนั่นดูนี่เพลินๆ ไม่นานคนในความคิดก็โทรเข้ามา 

 

"บีม..บีมอยู่ไหนอ่ะ" เสียงติดหอบ ขาดๆ หายๆ เหมือนเพิ่งวิ่งมายังไงยังงั้น 

 

"ผมอยู่แถวๆ ที่ขายของกินครับ ตอนนี้ยืนอยู่หน้ารถน้ำส้ม เสื้อสีขาวๆ" 

 

"เอ้าา งั้น..ก็น่าจะใช่แล้วแหละ พี่อยู่ข้างหลังเรา หันมาสิ.." 

 

อะไรอ่า..ขี้โกง อยู่ดีๆ ก็มาบอกว่ายืนอยู่ข้างหลังแล้ว ไม่ให้เตรียมใจหน่อยเหรออออ ..

 

ความที่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้บีมรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

 

ใจเต้นตึก ตื่นเต้นจนอยากวิ่งหนี แต่ก็ค่อยๆ หมุนตัวกลับไปอย่างช้าๆ 

 

ตรงนั้นไม่มีใคร คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขามีคนเดียว แถมยืนยกโทรศัพท์ไว้แนบหู ไม่ผิดแน่ 

 

 

ไม่ได้มีจังหวะหันมาสบตากันแล้วตกตะลึงจนโลกพลันหยุดหมุนเหมือนในละครหลายๆ เรื่อง

 

"พี่ต้าร์ ส..สวัสดีครับ.."

 

สำหรับบีม พี่ต้าร์  ไม่ใช่คนหล่อ ไม่ใช่คนน่ารัก ไม่ใช่สักทาง ผิวก็ไม่ได้ขาวออร่าหรือสุขภาพดีอมชมพู  มองผ่านๆ ไม่มีจุดไหนเด่นสะดุดตา เป็นแค่ผู้ชายหน้าตาธรรมดาโทนผิวสีขาวเหลือง เรียกได้ว่าดูกลางๆ ไปหมด หรือออกจะจางๆ เลยด้วยซ้ำ

แต่สิ่งที่ผิดจากที่คิดไว้เล็กน้อย คือบีมคิดว่าเขาจะต้องได้เจอคนใส่แว่นหนาๆ ดูภูมิฐานแบบมีอายุหน่อย ตามภาพลักษณ์ของอาจารย์ที่ฝังหัว แต่พี่ต้าร์ไม่ใช่แบบนั้น ถึงใส่แว่นจริงแต่ไม่ใช่แบบเลนส์หนาเตอะ เป็นเพียงแว่นกรอบบางใส หน้าตาไม่ได้ดูแก่แบบคำพูดคำจาที่ชอบใช้ ดีหน่อยคงเป็นเรื่องส่วนสูง ประเมินคร่าวๆ แล้วสูงกว่าบีมเกินเกือบยี่สิบเซนเห็นจะได้เลย

..เพราะความที่เป็นหนุ่มแว่นและสูงโปร่งนี่แหละ ที่ทำให้พอดูๆ ไปแล้ว พี่ต้าร์ก็พอไปวัดไปวาได้บ้าง..

 

อืมมม..บีมคิดว่าแบบนั้น

 

 

"ขอโทษนะ พี่มาช้าไปเจ็ดนาทีห้าสิบแปดวินาที ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กว่าแท้ๆ พี่รู้จักที่นี่แต่ไม่เคยมา เลยไม่แน่ใจว่าโซนนี้พอเข้าประตูมาแล้วต้องมาทางซ้ายหรือขวา พี่ไปผิดทาง กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้เลยเลท" จนถึงตอนนี้ เสียงที่พูดก็ยังไม่หายหอบดี แต่ก็รีบอธิบายรัวๆ เหมือนว่าตัวเองทำผิดร้ายแรง 

 

"พี่ต้าร์.." เสียงที่ออกมายังปนขำ "กับผม ไม่ต้องเป๊ะขนาดนั้นก็ได้ครับ สบายๆ นี่ก็เดินดูนู่นนี่รอเพลินๆ ไม่เห็นนานเท่าไหร่เลยครับ" บีมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายคลายกังวล 

 

คนเป็นอาจารย์มาด้วยสภาพชุดที่ไปสอนหนังสือ เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กางเกงสแล็ก รองเท้าหนังสีดำ เสื้อยังเนี๊ยบทับอยู่ในกางเกงอย่างเรียบร้อย แต่บัดนี้มันเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เพราะรีบวิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบ ด้วยความที่เคยชินกับการเข้าสอน การประชุมสำคัญ เลยทำให้กังวลใจมากที่นัดกันแล้วตนมาสาย แต่พอได้เห็นอีกฝ่ายยิ้มมาให้ ก็ใจชื้น เลยส่งยิ้มกว้างๆ ตอบกลับไป

 

​​​​​​เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนเห็นใจกระตุก จนแทบจะลบคำปรามาสในหัวเมื่อสักครู่ลงทั้งหมด! 

 

ถอนคำพูดตอนนี้ทันไหมนะ...

 

พี่ต้าร์เป็นมนุษย์จางๆ ที่ยิ้มแล้วน่ารักที่สุดในโลกเลยว้อย!

 

 

"พี่เพิ่งมาเหนื่อยๆ นั่งรอตรงนี้ก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมไปซื้อหมูทอดกับไก่ปิ้งมาให้ พี่กินของพวกนี้ได้ใช่ไหมครับ?" 

 

"กินได้ แต่พี่ว่า..พี่เห็นแต่ป้ายร้านไก่ทอดกับหมูปิ้งนะ" 

 

"อ..อ่า ใช่ครับ นั่นแหละๆ" พอปล่อยไก่ตัวใหญ่ก็เขินจนต้องรีบหันหลังเดินออกไป

 

รอยยิ้มนั่นทำเสียทรงจนได้..บีมเอ๊ย!

 

ต้าร์ขำออกมาเบาๆ ก่อนทิ้งตัวพักเหนื่อยลงที่ม้านั่ง สายตามองตามหลังอีกฝ่ายไปต่อแถวซื้ออาหาร

 

บีมเป็นคนตัวเล็ก-เล็กกว่าที่คิดไว้มาก แต่ถึงยังงั้นก็ดูเป็นคนตัวเล็กที่แข็งแรงคล่องแคล่ว ผิวสีขาวเหลืองใกล้เคียงกับเขาเลย ดวงตาเรียวเล็กแต่ไม่ถึงกับเรียกได้ว่าตาตี่แบบหนุ่มตี๋ แต่ถึงอย่างนั้น..เวลายิ้มแบบเมื่อครู่ ก็ยิ้มจริงใจซะจนตากลายเป็นเส้นขีดๆ น่ารักดี ดูเป็นคนเป็นมิตรเข้าถึงง่าย อีกอย่างดูเด็กน้อยมากๆ ถ้าไม่บอกว่าเรียนจบแล้ว ต้าร์คงนึกว่าเรียนอยู่มัธยมที่ไหนสักแห่ง

 

แต่..ก็น่าจะแสบอยู่ไม่เบา..

 

เพราะคนเป็นอาจารย์แสกนปราดเดียวเห็นรอยแผลเป็นจากการเย็บที่หางคิ้ว!

 

 

รอไม่นาน คนตัวเล็กก็เดินกลับ​​​​​​มาพร้อมด้วยของกินเต็มไม้เต็มมือพะรุงพะรัง 

 

เห็นต้าร์ใช้มือหยิบน่องไก่ขึ้นมาแทะ บีมเลยแอบโล่งใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนง่ายๆ และเป็นกันเองกว่าที่คิด เลยไม่รีรอที่จะใช้มือจกข้าวเหนียวขึ้นมากินแบบที่ถนัดขึ้นบ้าง

 

"อ๊ะ ร้านไก่ทอดให้น้ำจิ้มแจ่วมาถุงเดียวเอง เดี๋ยวผมไปขอเพิ่มให้นะ"

 

"ไม่ต้อง"

 

"ไม่เป็นไรครับ ใกล้แค่นี้เอง"

 

"เปล่าๆ ปกติพี่ไม่ค่อยกินพวกน้ำจิ้มอะไรแบบนี้อยู่แล้ว กินเผ็ดไม่ได้ด้วยแหละ"

 

"เป็นคนจืดชืดนะเรา"

 

พอโดนแซวเข้า คนจืดชืดก็หลุดหัวเราะออกมาใหญ่ "ฮะๆๆๆ ยอมรับๆ"

 

 

"อยากกินชาไข่มุกอ่ะ พี่กินไหมครับ? ยังครอบคลุมอยู่ในมื้อที่ผมจะเลี้ยงนะ ฮ่าๆ"

 

"ไม่ดีกว่า ขอน้ำเปล่า"

 

"เชื่อแล้ว..เป็นคนจืดชืดจริงๆ ด้วย" 

 

พอคิดคำตอบโต้ไม่ทัน ได้แต่แกล้งทำหน้ามุ่ยใส่เหมือนเด็กๆ สุดท้ายก็กลายเป็นพากันหัวเราะไปอีกระลอก

 

การพูดคุยดำเนินไปอย่างเรื่อยเปื่อยและธรรมชาติ กำแพงของความแปลกหน้า ความขัดเขินของคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ค่อยๆ ลดลงจนหมดไป...

 

 

 

เมื่อเติมพลังกันจนเต็มที่แล้ว ได้เวลาเบิร์นออกกันบ้างล่ะ ที่นี่มีกิจกรรมให้ทำเพียบ บีมลิสต์ไว้แล้ว! 

 

"พี่ต้าร์..เดี๋ยวเราไปถีบเรือเป็ดตรงนั้นกัน" มือเล็กดึงทิชชู่เปียกที่เตรียมมาส่งให้อีกคนเช็ดมือ จากนั้นก็เช็ดมือของตัวเองไปด้วย

 

"หึ..ไม่เอาอ่ะ" ต้าร์ส่ายหน้า 

 

"อ่าว ทำไมอ่ะครับ?"

 

"พี่ถีบไม่เป็น" 

 

"ก็ผมไง เดี๋ยวผมเป็นตัวหลัก พี่ก็แค่เอาขาวาง ถีบๆๆๆ ตามไป แค่นั้นก็ได้ครับ" 

 

"ไม่เอาดีกว่า พี่ว่ายน้ำไม่เป็น เลยค่อนข้างกลัวเวลาต้องลงน้ำ ... ขอโทษทีนะ" 

 

"ไม่เป็นไรครับ ผมมีเพื่อนที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน ผมเข้าใจ ถ้างั้นเราเปลี่ยนเป็นไปปั่นจักรยานกันดีไหม?" เสียงร่าเริง ถามขึ้นมาแบบมีความหวัง

 

"จักรยาน..พี่ก็..ไม่เป็น"

 

พอปฏิเสธกิจกรรมเป็นครั้งที่สองต้าร์ก็รู้สึกแย่ สีหน้าหม่นลงอย่างคนรู้สึกผิด

 

"เบื่อพี่ไหม?..ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างเลย บีมหมดสนุกแน่ๆ "

 

คนตัวเล็กยิ้มจนตาเหลือเป็นขีด ส่ายหน้า ไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะเลือกดึงชายเสื้ออีกคนแทนการสัมผัส แล้ววิ่งนำออกหน้าอย่างรวดเร็วจนคนตัวสูงต้องก้าวไวๆ ตามอย่างเสียไม่ได้ เพราะถ้าไม่ตามกลัวว่าจะพากันล้มลงไปทั้งคู่

 

ชายเสื้อเชิ้ตที่หลุดออกมานอกกางเกง เส้นผมที่เสียทรงจากการเซ็ตลู่ตกลงมาปรกหน้าผาก เปลี่ยนให้ลุคส์ของอาจารย์หนุ่มดูผ่อนคลายลงมามาก

 

 

ในที่สุด.. บีมก็พาต้าร์มาอยู่ที่หน้าร้านเช่ารถจักรยาน ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็ไปแอบจ่ายเงิน แลกบัตรประชาชน เลือกคันที่ชอบ แล้วกระโดดขึ้นไปอยู่ด้านหน้าเรียบร้อย 

 

"พี่ต้าร์! ขึ้นมาสิ!" ตำแหน่งคนปั่นเรียกด้วยเสียงที่ฮึกเหิมพร้อมลุย แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่ง

 

"พี่ต้าร์! เร็ว! ...คิดไรอยู่ครับ?"

 

"จะดีเหรอ? ... ให้บีมเป็นคนปั่น แล้วพี่นั่งซ้อน ให้เอาเปรียบเด็กเนี่ยนะ? แล้วอีกอย่างบีมก็ตัวเล็กกว่าพี่ตั้งเยอะ..."

 

"พี่ต้าร์.....อะไรคือเอาเปรียบ" เสียงที่เคยสดใสเปลี่ยนเป็นกดต่ำลงอย่างจริงจัง "เอาอีกแล้วนะ ชอบคิดแบบนี้อีกแล้ว ทำไม..อายุมากอายุน้อยแล้วยังไงครับ? คนอายุมากกว่าต้องเป็นฝ่ายเสียสละตลอดเลยเหรอครับ?" 

 

"ก็..." พอถูกตั้งคำถาม กลับไปไม่เป็น เขาไม่เคยนึกถึงประเด็นนี้จริงจัง รู้เพียงแค่ว่าปกติบริบทในสังคมเรามันก็มักจะเป็นแบบนั้น

 

"อ่ะ ถ้าอาจารย์อธิบายกฎข้อนี้ได้ผมจะยอมฟัง" สายตาจ้องอย่างไม่ยอมแพ้ คำที่ใช้เรียกและน้ำเสียงก็เผลอติดประชดเล็กน้อย แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น

 

บีมเป็นเด็กที่มีความคิดแบบนอกกรอบ เวลาเจอคนที่มีความคิดยึดติด มักจะหัวเสียอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ใช่กับชายตรงหน้า วันนี้บีมควบคุมอารมณ์ได้ค่อนข้างดี เพราะรู้ว่าต้าร์เป็นคนแบบไหน ที่เป็นแบบนี้เพราะอะไร..

 

เออยอมรับ ..จะว่าลำเอียงที่เป็นคนนี้ก็ได้แหละ...

 

 

เมื่ออีกคนยังไม่ตอบโต้ เขาจึงพยายามใจเย็นลองพูดอีกมุมมองให้ฟัง

 

"มันจะดีกว่าไหมครับ? ถ้าสังคมของเราไม่เอาอะไรก็ตามมาตั้งล้อมกรอบเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว ไม่ว่าจะ.. เพศ อายุ รูปร่าง ไม่ว่าใคร จะอ้วน-ผอม สูง-ต่ำ ดำ-ขาว รวย-จน ทุกคนมีสิทธิ์ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด ทุกคนแสดงน้ำใจต่อกันในเวลาที่สมควร ผมพูดแบบนี้ พี่อาจจะรู้สึกว่าผมจริงจังไปรึเปล่า.. แต่ผมแค่อยากพูดกว้างๆ ให้พี่ลองนึกมุมมองอื่นๆ บ้างน่ะครับ วันนี้ผมแค่ปั่นจักรยานให้พี่นั่งเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย วันข้างหน้าผมก็อาจจะต้องไปรบกวนพี่ก็ได้ ถ้าเป็นเรื่องวิชาการหรืออะไรตามที่พี่ถนัด.." 

 

คนอายุมากกว่าอึ้งไปเล็กน้อย แม้จะไม่เคยมีใครมาสาธยายเรื่องแบบนี้ให้เขาฟังมาก่อน แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาเปิดใจแล้วคิดตาม ก็รู้สึกเห็นด้วย จึงพยักหน้าตอบรับ

 

"ยิ่งกับผม พี่ไม่ต้องยึดติดอะไรทั้งนั้น ลองวางทุกอย่างลงดูครับ แล้วจะรู้สึกว่าชีวิตเบาสบายขึ้น" น้ำเสียงเริ่มกลับมาอ่อนโยนลงแล้ว "...อีกอย่างเมื่อกี้บอกว่าผมตัวเล็ก บูลลี่กันเหรอ.. ผมงอนนะ! ตัวเล็กแล้วไง! ได้...พี่ก็ระวังคนตัวเล็กแบบผมไว้ดีๆ แล้วกัน! ฮึ่ย!!" ถึงจะพูดแบบนั้น แต่คนพูดก็ยังยิ้มกว้างให้ดูรู้ว่าแค่แซวเล่น ที่จริงบีมอยากลดความตึงเครียดเท่านั้นเอง

 

 

"พี่..พี่ขอโทษนะ" 

 

"ไม่เป็นไรเลยครับ ผมแซวเล่น รีบขึ้นเร็ว เดี๋ยวมืดก่อนแล้วจะปั่นวนได้ไม่ทั่วสวน"

 

"อื้อ!" ถึงจะยังรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ก็ยอมขึ้นไปอยู่ตำแหน่งท้ายจักรยานอย่างว่าง่าย

 

 

สองล้อจักรยานค่อยๆ หมุนไป สายลมยามเย็นพัดผ่านกระทบใบหน้าทำให้รู้สึกสบาย บีมแอบชำเลืองคนด้านหลัง สีหน้าใต้กรอบแว่นใสเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้ หรือว่าพี่ต้าร์จะยังคิดมากเรื่องที่เขาพูดอยู่

 

"พี่ต้าร์ครับ"

 

"หืมมม?"

 

"พี่กำลังคิดอะไรอยู่ครับ? โกรธผมเรื่องที่พูดอยู่รึเปล่า?" 

 

"ป..เปล่านี่" 

​​​​​​

"แล้วทำไมหน้าพี่ดูเครียดจัง"

 

"อ๋อ ตอนผ่านโค้งเมื่อกี้ พี่กำลังลองคำนวนค่าสัมประสิทธิ์ของความเสียดทานระหว่างพื้นถนนกับล้อจักรยานเล่นๆ น่ะ" 

 

เอาเป็นว่าถ้ากินน้ำอยู่ต้องได้มีสำลัก โชคดีของบีมที่ไม่เป็นแบบนั้น แต่ก็เล่นเอาขำจนตัวสั่นไปหมด 

 

"จารย์ค๊าบบบบ ผมอุตส่าห์เลือกให้เรามาเจอกันที่นี่ เพราะอยากให้พี่เปลี่ยนบรรยากาศจากห้องสี่เหลี่ยม เอาตัวออกมาจากเรื่องในตำราบ้าง บอกว่าให้ปล่อยวางทุกอย่างไงเล่า.."

 

คนที่ถูกเรียก'จารย์'ก็พลอยขำแบบเขินๆ "ขอโทษที จริงๆ ก็ไม่ได้เครียดขนาดนั้น สมองมันชอบไปเอง แบบคิดเล่นๆ เพลินๆ " 

 

เอ่อ.. คิดเล่นๆ เพลินๆ เนี่ยนะ! อาจารย์หนออาจารย์... 

 

 

"เดี๋ยวข้างหน้าจะเป็นอุทยานผีเสื้อนะครับ ตอนนี้เขาปิดแล้วแหละ แต่เราไปวนๆ ดูรอบนอกได้"

 

"...ที่นี่เขามีไว้เป็นห้องเรียนธรรมชาติ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเด็กหรือประชาชนที่สนใจ รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับผีเสื้อ อีกทั้งยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่สวยงามด้วยครับ" คำบรรยายเจื้อยแจ้วถูกพูดออกมาอย่างคล่องปาก บีมเสมือนรับบทเป็นไกด์พาเที่ยว เมื่อสองล้อกำลังเคลื่อนผ่านรอบตัวโรงเรือนใสขนาดใหญ่ที่มองทะลุเข้าไปได้ ภายในมีต้นไม้ ผีเสือ และแมลงนานาพันธุ์ 

 

"บีมเก่งจัง สงสัยพี่จะอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมจริงๆ มีสถานที่สวยๆ อยู่ใกล้ที่ทำงานแค่นี้ กลับไม่เคยมาเลย" 

 

"ความจริงคือ..ผมมีเพื่อนเรียนอยู่ที่มหาลัยพี่น่ะครับ เลยได้มาที่นี่บ้าง เดินเล่นบ้าง หาของกินกันบ้าง บางทีพวกนั้นลงสมัครรายการวิ่งกัน ก็มาซ้อมกันที่นี่แหละ แต่ผมไม่ได้ค่อยชอบวิ่งแบบพวกมันหรอก เลยหนีไปเช่าจักรยานมาปั่นเล่น ปั่นไล่แกล้งพวกมันมากกว่า มากี่ทีก็ไม่เบื่อเลย.."

 

 

 

 

"อ..โอ๊ยยยยย!!!" 

 

เพราะมัวแต่เล่าแล้วใจก็พาลไปนึกถึงหน้าเพื่อนเก่าๆ ที่เคยมาเล่นสนุกด้วยกันขึ้นมา ตอนนี้ได้งานทำกันหมดแล้ว เหลือแต่เขาคนเดียวที่เป็นคนว่างงาน..

 

พอใจลอยแล้วตาก็ลืมมองทาง ไม่ทันสังเกตว่าบางช่วงถนนมีรากของต้นไม้ใหญ่ที่มันปูดแทรกขึ้นมาเหนือพื้น ลดความเร็วไม่ทันก็เลยกระแทกจนสะเทือนตับไตไส้พุงกันไป

 

"ขอโทษครับพี่ต้าร์ เป็นไรไหมครับ?"

 

"ไม่เป็นไรๆ พี่ก็ขอโทษเหมือนกันนะ" พูดไปมือใหญ่ก็ลูบไปที่ไหล่คนข้างหน้าเบาๆ เหมือนปลอบประโลม "เจ็บไหมเนี่ย?" 

 

ที่เป็นแบบนี้เพราะเมื่อสักครู่ตอนที่ล้อกระแทกรากไม้จนตัวลอย เขาตกใจจนเผลอบีบไหล่ของคนตัวเล็กเข้าอย่างเต็มแรง

 

"ไม่เจ็บครับ" จริงๆ บีมอยากบอกว่าตรงไหล่น่ะ แทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บเลย เพราะความเจ็บจุกทั้งหมดมันไปรวมอยู่ที่ช่วงล่างหมดแล้ว--- "

 

 

 

"เอาใหม่นะ ผมจะตั้งใจกว่าเดิม"

 

หลังจากที่เจ็บตัวกันไปเล็กน้อยจนต้องหยุดพัก บีมคร่อมจักรยานอยู่ ขาสองข้างยันพื้นเอาไว้ยังไม่ออกตัว หันมาหาคนข้างหลังเช็คความเรียบร้อย แล้วก็ถือวิสาสะจับแขนยาวๆ ทั้งสองข้างมาคล้องไว้ที่เอวของตัวเองแบบหลวมๆ 

 

"เกาะไว้แบบนี้ก็ได้ครับ ถ้ากลัวตก" 

 

"...."

อีกคนไม่ตอบรับอะไร ไม่ปฏิเสธ และ แน่นอน ไม่เอามือออก 

 

จักรยานค่อยๆ เคลื่อนออกตัวอีกรอบ ตอนนี้แดดไม่แรงแล้ว ท้องฟ้ายามเย็นเริ่มมีสีแดงส้มไล่เฉดลงมาอ่อนๆ ทำให้บรรยากาศดี 

 

"พี่ขออนุญาตซบตรงนี้ได้ไหมครับ?" 

 

...เพราะเสียงลมดังหวือๆ ที่สวนเข้ามาทำให้บีมได้ยินเสียงคนข้างหลังไม่ชัด 

 

"ว่าไงนะครับ? ให้หยุดตรงนี้?"

 

"พี่ขออนุญาตซบตรงนี้ได้ไหมครับ?" ครั้งนี้ทั้งพูดช้าและพูดชัด เหลือมือกอดเอวไว้เพียงข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่ช่วงกลางหลังของคนข้างหน้าเบาๆ 

 

'ขออนุญาต' บีมแอบยิ้มกับการขออย่างเป็นทางการ ก่อนตอบ "อื้ม..ได้ครับ"

 

อาจารย์หนุ่มโยนเรื่องหนักๆ ที่เคยแบกไว้ทั้งหมดทิ้งไปตามคำแนะนำ หลับตา ค่อยๆ วางใบหน้าช่วงแก้มแนบลงไปกับแผ่นหลัง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากทำแบบนั้น แค่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะลองทำตามใจ ถึงเวลาที่จะปล่อยให้หัวใจทำงานมากกว่าสมองแล้ว..

 

บีมรู้สึกถึงสัมผัสของอ้อมแขนที่กระชับขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับรัดแน่น และน้ำหนักของศีรษะคนด้านหลังที่วางซบลงมา

 

ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่ แต่ตราบใดที่สัมผัสนั้นที่ไม่ได้มากเกินไปจนทำให้รู้สึกอึดอัด เขาก็จะปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้น

กลับกัน..ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดันรู้สึกดีด้วยซ้ำ      

 ...เป็นห่วงก็แต่ว่าคนที่ซ้อนอยู่จะร่วงหล่น จึงใช้แขนข้างที่ถนัดกว่าประคองแฮนด์จักรยานไว้ อีกข้างลดลงมาวางซ้อนทับเพื่อล็อคแขนทั้งสองข้างที่กอดเอวเขาอยู่ให้รู้สึกมั่นคงขึ้น ตั้งใจมองทางกว่าเก่าเพื่อความปลอดภัย ชะลอความเร็วในการปั่นลงเหมือนว่าอยากให้มันผ่านไปช้าๆ

 

จากที่ตั้งใจว่าจะปั่นพาพี่ต้าร์ไปชมให้รอบสวน ตอนนี้มันวนทั่วไปนานแล้ว แต่บีมก็ยังปั่นไปอยู่แบบนั้น

รอบแล้ว..รอบเล่า... 

 

 

ไม่มีคำพูดอะไรให้กันเลยระหว่างนั้น แต่น่าแปลกที่ความสบายใจนั้นโรยอยู่รอบตัว จนแทบอยากจะหยุดเวลานี้เอาไว้...

 

 

ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์กำลังออกดอกสีชมพูสะพรั่งไปทั่วสองข้างทางและทั่วบริเวณสวน บางส่วนลอยละลิ่วปลิวไปตามลมแต้มสีชมพูอยู่ในอากาศ บางส่วนร่วงหล่นมากองอยู่บนยอดหญ้ารับกันดีกับสีเขียวชะอุ่ม 

 

 

และถึงแม้ว่าบรรยากาศในตอนนี้จะสวยงามมากแค่ไหน เชื่อเถอะว่า..ดอกไม้ที่กำลังค่อยๆ ผลิบานในใจของพวกเขาทั้งคู่ มันสวยงามกว่านั้น...