... แต่ว่าวันนี้ ผมทำงานใช้สายตามาเยอะมาก แล้วก็เพิ่งอ่านฟิคของคุณนักเขียนจบไปอีก ตอนนี้กำลังปวดตา ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้คุณนักเขียนเปลี่ยนเป็นการโทรมาแทนนะครับ ที่เบอร์นี้  08192785XX"

 

ห..ห๊าาา อะไรกัน! ทิ้งเบอร์แบบนี้เลยเหรอ?

 

กำลังอ่อยกันอยู่ป่ะเนี่ย!? ..คุณรี้ด!

 

เดี๋ยวก่อน!! ไอ้บีม! ไอ้บ๊อง! ไอ้จ้าดง่าว! ใจเย็นนะ..! แกน่ะไปขอไลน์เขาก่อนเอง คนเขาบอกปวดตาที่จะพิมพ์คุยก็ยังใจดีให้เบอร์มา ยังจะมีหน้ามาหลงตัว

 

อีกอย่าง..ภาษาที่ใช้ก็ยังสุภาพมาก ไม่ได้สื่อไปทางนั้นเลยสักนิด..

 

เปลือกตากระพริบขึ้นลงถี่ๆ อย่างไม่รู้ตัว และไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ผลลัพธ์ที่ออกมามันเกินคาดการณ์ไปหน่อย แต่ในเมื่อบีมเป็นคนเริ่มต้นทุกอย่างเอง จะปล่อยทิ้งไว้ครึ่งๆ กลางๆ ก็คงไม่ดี มีแต่ต้องเผชิญหน้าเท่านั้น 

 

คว้าเศษกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ มาลิสต์หัวข้อเรื่องที่อยากถามไว้อย่างคร่าวๆ ด้วยกลัวว่าความประหม่าที่ต้องคุยกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจะทำให้ลืมเรื่องที่อยากพูดไปเสียหมด

 

ถึงแม้ว่าจะมีสคริปและซักซ้อมไว้ประมานหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่รอคนปลายทางกดรับสาย ก็ยังเกิดความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นเหมาะสมหรือไม่..

 

สัญญาณรอสายดำเนินไปพร้อมกับอาการสั่น หายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกปอดแหกชักอยากกดวางสายขึ้นมาซะแล้ว

 

ไม่สามารถทำได้อย่างใจคิด..

 

"สวัสดีครับ" เสียงปลายสายดังขึ้นก่อน เรียกสติรับรู้ของบีมคืนมา เป็นไงเป็นกัน ถอยไม่ได้แล้ว!

 

คนเป็นนักเขียนพยายามเลือกช่องเสียงที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดและดูสุภาพที่สุด ก่อนจะกรอกเสียงลงไป 

 

"สวัสดีครับ ผมนักเขียนนะครับ ที่ใช้นามปากกาว่า บี-บีม ที่เมื่อสักครู่ได้ขอ เอ่อ..ไลน์คุณไว้น่ะครับ" 

 

ใช่ บีมเองยังรู้สึกกระดากเองเลย เมื่อพูดถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกแย่

 

"อ๋อ..ครับ ผมรู้แล้วแหละ ปกติเวลาแบบนี้ไม่มีคนโทรหาผมหรอก" อีกฝ่ายตอบรับด้วยน้ำเสียงสบายๆ กลับมา 

 

"ขอโทษที่รบกวนนะครับ"

 

"ไม่ครับ ไม่รบกวนเลย คุณนักเขียนมีอะไรว่ามาเลยครับ"

 

"เอ่อ..ต้องขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อ 'บีม' ครับ" ด้วยความพยายามจะทำเสียงสุภาพผิดจากวิสัยที่ตัวเองเป็น ตอนนี้บีมรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว

"เอ่อ..อืม..ที่ผมอยากจะคุยกับคุณเพราะรู้สึกอยากขอบคุณจากจริงใจ ที่คุณคอยให้กำลังใจแล้วก็ชี้แนะจุดบกพร่องต่างๆ ในงานเขียนของผมครับ

ผมเป็นแค่นักเขียนสมัครเล่น ปกติก็ไม่ค่อยจะมีคนมาอ่าน ไม่เคยได้รับคอมเมนต์ คุณให้เกียรติมาเมนต์เป็นคนแรกของผมเลย จริงๆ ก็เป็นคนเดียวด้วยครับ แหะๆ ยังไงต้องขอบคุณมากๆ นะครับ"

พอได้เริ่มพูดความในใจที่อัดอั้น ความรู้สึกเกร็งก็ค่อยๆ เริ่มผ่อนคลายลง คล้ายทยอยยกภูเขาลูกแรกจากในบรรดาหลายสิบลูกออกจากอกไปก่อน

 

"ไม่ต้องขอบคุณกันขนาดนั้นหรอกครับคุณบีม ที่ผมบอกแบบนั้น เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ นิยายของคุณน่ะ..สนุกจะตาย"

 

คนฟังอยู่เผลอทำตาโตโดยไม่ตั้งใจ.. 

 

สนุกเหรอ? เป็นคนแรกที่พูดเลยนะ ได้ยินแล้วน้ำตาจะไหล.. 

 

"จริงเหรอครับ คุณ....." 

 

พออีกคนได้ยินคุณนักเขียนลากเสียงยาวแบบไปต่อไม่ถูก เลยเพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าลืมแนะนำตัวไป

 

"เอ้อ ลืมแนะนำตัวไป ผมชื่อ 'ต้าร์' นะครับ"

 

"คุณต้าร์" บีมพูดเบาๆ เหมือนทวนความถูกต้อง

 

"อื้ม..ต้าร์ถูกแล้ว แต่คุณบีมจะถือสาอะไรไหมครับ ถ้าผมจะบอกว่าเรียกธรรมดาๆ เลยก็ได้"

 

"ได้ครับๆ" 

 

ดีวุ้ย! บีมคิดในใจ ความสุภาพชนเนี่ยมันช่างห่างไกลจากตัวเราอยู่แล้วล่ะ

 

"ในฐานะที่ผมเป็นคนเสียมารยาทเอง ผมแอบบอกอายุผมก่อนได้นะ ผมสามสิบสี่ จะสามสิบห้าปีนี้แล้วครับ คุณบีมไม่จำเป็นต้องบอกอายุกับผมก็ได้นะ ลองเทียบดูแล้วจะเรียกพี่ เรียกต้าร์ หรือเรียกน้องก็ตามสะดวก แต่ไม่น่าจะน้องแล้วล่ะอายุปูนนี้ ฮ่าๆ" คนแนะนำตัววกมาแซวตัวเองทิ้งท้าย

 

สามสิบสี่ เข้าสามสิบห้า งั้นในไอดีก็เป็นเลขพ.ศ.เกิดจริงด้วย

 

รอยยิ้มน้อยๆ เกิดขึ้นที่มุมปาก

 

"พี่ต้าร์.." เสียงลอยๆ ฝุ้งๆ เปล่งออกไป คล้ายจะลองเรียกให้คุ้นปากดู ทำเอาคนฟังที่เป็นเจ้าของชื่อนั้นมาตั้งแต่เกิดกลับรู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมาเฉยๆ 

 

ต้าร์เป็นลูกเล็กของครอบครัวที่มีลูกชายสองคน ด้วยความที่มีแต่พี่ชาย เลยไม่มีคนมาเรียกเขาว่าพี่ ยิ่งสังคมที่ทำงานยิ่งแล้วใหญ่ หน้าที่การทำงานที่เขาแบกรับอยู่ ทำให้เขามักจะได้รับคำเรียกเป็นอย่างอื่นนำหน้าชื่อเสมอ

 

คำว่า 'พี่' ได้ยินล่าสุดก็สมัยเรียนมหาลัยล่ะมั้ง? ที่พวกรุ่นน้องมันเรียก กี่ปีมาแล้วนะ? ประมานสิบสองสิบสามปีเห็นจะได้ 

 

ต้าร์ลองคำนวนในใจเล่นๆ 

 

​​​​​มาได้ยินแบบนี้อีกครั้ง รู้สึกแปลกๆ เขินๆ แต่ดันรู้สึกดีบอกไม่ถูก..

 

 

"พี่ต้าร์ ผมอายุยี่สิบสองครับ ผมบอกได้หมดแหละไม่ซีเรียสเลย ผมเรียบจบมาสักพักแล้วครับ แต่..ยังหางานทำไม่ได้ ฮะๆ เลยเอาเวลาว่างช่วงนี้มาเขียนนิยายน่ะครับ แต่ก็อย่างที่เห็น..มันกระท่อนกระแท่นมากเลย ทั้งช่องโหว่ทั้งหลุมเต็มเรื่องไปหมด เฮ้อ..ฮ่าๆ" ทุกอย่างจะดูซอฟต์ลง ถ้าลงท้ายด้วยเสียงหัวเราะ บีมคิดว่าแบบนั้น ไม่อยากเล่าเรื่องตัวเองให้ดูดราม่ายิ่งกับคนที่เพิ่งรู้จักด้วยแล้ว

 

"ไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย" คนฟังอยู่รีบสวนด้วยเสียงนุ่มๆ "เอ้อ ตะกี้เราคุยกันถึงตรงนี้นี่เนอะ พี่กำลังจะบอกว่านิยายของบีมสนุกดีออกนะ สนุกที่สุดเท่าที่พี่เคยอ่านแล้ว" 

 

หาาา! บีมอ้าปากค้าง หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันด้วยความงง ฟังจากเสียงแล้ว อีกฝ่ายท่าทางจะเป็นผู้ใหญ่ใจดี แต่ไม่จำเป็นต้องใจดีจนอวยเขามากขนาดนี้ก็ได้นะ นิยายเขากาก เขารับความจริงนั้นได้อยู่ 

 

"ไม่จริงหรอกครับ.." เสียงแสดงออกถึงความไม่ค่อยอยากเชื่อ สุดท้ายก็เบี่ยงประเด็นโดยการยิงคำถามแทน "แล้วปกติพี่ต้าร์อ่านนิยายเยอะไหมครับ? ชอบอ่านแนวไหน?" 

 

"พี่..พี่ไม่เคยอ่านนิยายเลย ของบีมเรื่องแรก" 

 

ห๊าาาาา! ปากคนฟังอ้าค้างอีกครั้ง งั้นที่บอกว่าสนุกที่สุดที่เคยอ่านมา ก็คือสนุกที่สุดจากหนึ่งเรื่องถ้วนที่เคยอ่าน 

 

โอ้ย..ไอ้บีมจะกรี๊ดดดด

 

"พี่ไม่เคยอ่านนิยายเลยจริงๆ เหรอครับ?" ทั้งที่เริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนแปลกนิดๆ แต่ก็ยังพยายามรักษาความสุภาพเอาไว้ "แต่พี่เมนต์นิยายผมดูเหมือนคนผ่านการอ่านมาเยอะเลยนะครับ ทักแต่ละจุด โช๊ะๆ จนผมอยากรู้จักพี่เลยแหละ" ประโยคสุดท้ายดันหลุดออกมาอย่างลืมตัว

 

"ไม่เคยอ่านเลยครับ ที่ทักแต่ละจุดส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลักฟิสิกส์หรือพวกวิทยาศาสตร์พื้นฐานแค่นั้นแหละ อันไหนรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลก็เลยลองถามดู หวังว่าที่ผ่านมาบีมคงไม่โกรธนะครับ" 

 

"ม..ไม่เลยครับ" 

 

เอ้อออ..บีมไม่ทันสังเกตุ พอมาลองนึกๆ ย้อนกลับไป เขาถูกทักว่าผิดกฎโน่นกฎนี่จริงๆ ด้วย เพิ่งรู้ว่ามันคือหลักฟิสิกส์ บีมไม่ได้เรียนสายวิทย์มา แยกไม่ออกหรอกนะอะไรคือฟิสิกส์ เคมี ชีวะ แค่วิชาเลขที่ต้องเรียนก็แทบจะไม่ไหว อะไรที่เขียนๆ ไปในนิยายก็จินตนาการมั่วซั่วเองทั้งนั้น 

 

"เอ้อ พี่ลืมบอกไปเลย พี่เป็นอาจารย์ครับ สอนวิชาฟิสิกส์อยู่ที่มหาวิทยาลัยปัณฑ์ธร"

 

โอ้วววววว...​​​​​​.!!  บีมเป็นทึ่ง เผลอทำปากเป็นรูปตัวโอ มองดูคล้ายอิโมจิว้าว ถ้ามีคนมาเห็นเข้าตอนนี้คงตลกน่าดู โชคดีที่เขาอยู่คนเดียว

 

'มหาวิทยาลัยปัณฑ์ธร ' บีมรู้จักดีเลยแหละ! มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศ ซึ่งเป็นที่ใฝ่ฝันของเด็กมัธยมปลายหลายคน บีมเองก็เคยอยากเข้าไปเรียนสาขาการตลาดของที่นี่ แต่จนแล้วจนรอดก็เข้าไม่ได้ เพื่อนสนิทและเพื่อนห้องเดียวกับบีมที่เรียนเก่งๆ ก็ได้เข้าเรียนที่นี่หลายคนแตกต่างคณะกันออกไป เขาเองยังเคยแวะไปหาเพื่อนๆ อยู่บ่อยๆ ด้วย 

 

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น บีมรู้สึกว่าคงออกทะเลเกินไปที่จะเล่า แต่เรื่องที่สงสัยคือ..

 

มีเหตุผลอะไรให้อาจารย์ฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังผู้ไม่เคยอ่านนิยาย มาอ่านนิยายติ๊งต๊องของเราได้วะฮะ?! 

 

พยายามหาคำตอบจนเกาหัวแกรกๆ คิดจนหัวแทบแตก แต่ก็ไม่มีคำตอบไหนที่จะดูสมเหตุสมผล จำต้องยอมถามออกไปแบบไม่อ้อมค้อม 

 

"ผมขอเสียมารยาทถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?"

 

 ได้ยินอีกคนตอบ "อื้อ" เป็นการอนุญาตจึงกล้าพูดต่อ

 

"..แล้วทำไมพี่ถึงมาอ่านนิยายของผมได้ล่ะครับ เอ่อ..ผมรู้สึกว่า มัน.. เอ่อ..ดู..."

 

"ดูไม่น่าเป็นไปได้ใช่ไหม?" คนเป็นอาจารย์ต่อประโยคให้ น้ำเสียงติดขำ

 

"ค..ครับ ขอโทษนะครับ ที่ต้องถามแบบนี้"

 

"ฮะๆ ไม่เป็นไรๆ" ยังไม่ทันตอบอะไร ก็หัวเราะเขิน เพียงแค่นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น "ตอบได้ๆ สัญญาก่อนว่าเล่าให้ฟังแล้วห้ามขำกันนะ" 

 

"อือ เอ้ย..ครับ สัญญาครับ" 

 

"ก็เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เจ้าเตย อืม..หลานสาว ลูกพี่ชายพี่น่ะนะ มันทำโทรศัพท์มือถือตกน้ำ มันเลยเอามาซ่อมที่ห้างใกล้ๆ คอนโดพี่ ระหว่างรอมันก็มานั่งเล่นอยู่ในห้อง เห็นเรากำลังตรวจงานนักศึกษา แล้วมือถือวางอยู่บนโต๊ะเฉยๆ

มันก็เลยบอก.. 'อาๆ หนูขอยืมโทรศัพท์โหลดแอปอ่านนิยายเล่นนะ แอปรี้ดอะไรท์อ่ะ'

พี่ทำงานอยู่ฟังไม่ได้ศัพท์ ก็งงนะ แอปอะไรชื่อแปลกดี รีดอะไร แต่ก็.. เออๆ จะโหลดจะรีดอะไร ก็ตามใจเหอะ อย่าเสียงดังแล้วกัน..."

 

ฟังถึงแค่ตรงนี้ บีมก็เกือบหลุดขำ รีบเอามือมาตะครุบปากตัวเองจนปากบู้บี้ กลั้นยิ้มจนหน้าเบี้ยวไปหมด พี่ต้าร์เหมือนคนแก่ๆ ที่ตามลูกหลานไม่ทัน 

 

"พอได้เวลา มันก็กลับไปเอามือถือที่ซ่อมไว้ อีกพักใหญ่ๆ พี่ก็ทำงานเสร็จเลยมานอนพัก หยิบโทรศัพท์มาไถๆ เล่น ตั้งใจจะสำรวจแอปแปลกปลอมที่เจ้าหลานตัวดีงอกมาให้ซะหน่อย กำลังกดเข้าไปแล้วเชียว สงสัยวันนั้นทำงานเยอะจนเพลียมั้ง..." เพลียจนพลาดทำโทรศัพท์ตกใส่หน้าตัวเอง แต่มันน่าอายเกินกว่าที่จะเล่า เจ้าตัวเลยข้ามจุดนั้นไป "...เลยทำมือถือร่วงเฉยเลย แถมกระเด็นเข้าไปใต้เตียงลึกมาก เอื้อมมือเข้าไปแบบสะเปะสะปะกว่าเอาออกมาได้ ยกขึ้นมาดูอีกที มันก็เปิดหน้านั้นขึ้นมาแล้ว หน้าที่เป็นนิยายของบีม

 

สายตากรอกไปมาตั้งใจฟังคนอายุมากกว่าเล่าทุกคำพูดแล้วคิดตามไปด้วย เมื่อประมาณสองอาทิตย์ก่อน น่าจะเป็นช่วงที่เขาอัพนิยายเรื่องนี้ตอนที่สามพอดี แอปน่าจัดให้อยู่ตรงหมวด อัปเดต ไม่ใช่หมวด มาใหม่ ด้วยซ้ำ!

 

อมก..!! ก็ยังมาเจอจนได้!! เป๊ะเว่อร์..!!!!!!!

 

​​​​​​"...แล้วพี่ก็เลยอ่านมันเหรอครับ?" 

 

"อื้อ..ใช่ อย่างที่บอกว่าวันนั้นเพิ่งทำงานเสร็จ ว่างๆ อยู่ไม่มีอะไรทำด้วย ใช้แอปนี้ก็ไม่ค่อยเป็น ไหนๆ ก็ขึ้นหน้านี้มาพอดี เลยลองอ่านสักหน่อย" 

 

..ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริงในโลก! 

 

"พี่ว่ามันสนุกดีอ่ะ วันนั้นรู้สึกว่าจะลงตอนที่สามมั้ง พี่อ่านครั้งแรกก็งงๆ เนื้อหา ไปๆ มาๆ ถึงรู้ว่ามันไม่ใช่ต้นเรื่อง จนลองพยายามกดนู่นกดนี่มั่วๆ ถึงได้ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรกได้ สนุกจนพี่อ่านทีเดียวสามตอนรวดเลย..." 

 

คนฟัง ฟังเพลิน แถมยังแอบยิ้มไม่รู้ตัว

 

"..เอ้อ วันนั้นพี่ก็เลยได้ลองพิมพ์คอมเมนต์ด้วย เพราะอยากทักทายคุณนักเขียนไป เพิ่งเคยทำครั้งแรก อยากถามเหมือนกันว่าพี่ทำอะไรพลาดไปบ้างไหม?"

 

พี่ไม่ได้ทำอะไรพลาดหรอกครับ แต่พี่ทักมาเป็นทางการมากจนผมเหงื่อตกเลยแหละ

 

เหมือนโดนดึงกลับไปเหตุการณ์วันนั้นอีกรอบ วันที่บีมมีความสุขมาก ทั้งดีใจ แปลกใจ แล้วก็ประหลาดใจ 

 

​​​​​​​​​​​​คิดถึงวันนั้นแล้วบีมก็ขำ รอยยิ้มระบายขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะเป็นฝ่ายพูดบ้าง..

 

"พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยครับ วันนั้นผมดีใจมากที่ได้คอมเมนต์แรกในชีวิต ขอบคุณนะครับ ผมนี่ดีใจจนวิ่งตะโกนร้องไปรอบๆ ห้อง โดนคนห้องข้างๆ ด่ากลับมาด้วย ฮ่าๆๆๆ" 

 

คนเล่าขำไม่หยุด คนฟังก็พลอยยิ้มตามไปด้วย เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าสิ่งที่เขาทดลองทำโดยไม่รู้ว่าผิดหรือถูกในวันนั้น จะส่งผลทำให้เด็กคนนึงดีใจได้มากขนาดนี้ 

 

"เออ..ใช่" อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมาเหมือนนึกอะไรออก แว๊บมา ณ วินาทีนั้น "ตอนกำลังอ่านอยู่ มันมีข้อความเด้งขึ้นมาถามด้วยแหละ พี่ก็จำได้ไม่เป๊ะนะ ประมาณว่าจะเพิ่มนิยายเรื่องนี้เข้าชั้นไหม? พี่ไม่ค่อยเข้าใจ แต่คิดว่าเราอ่านของเขาก็ต้องเอาเข้าชั้นสิ ไม่งั้นมันจะผิดกฎไหม? เหมือนคนแอบอ่านของคนอื่นแบบลับๆ ล่อๆ ยังไงไม่รู้ ไม่น่าจะดี พี่ก็เลยกดคำว่า'ต้องการ'ไป"  

 

อ๋าา..นี่สินะ สาเหตุที่มียอดการเก็บเข้าชั้นหนึ่งเดียวของเรา 

 

บีมเผลอหัวเราะออกมาน้อยๆ ว่าจะไม่ขำแล้วเชียว แต่ความเด๋อด๋าที่น่าเอ็นดูของคนอายุมากกว่าทำให้เขาอดไม่ได้

 

"จริงๆ เราจะเพิ่มเข้าชั้นหรือไม่เพิ่มก็ได้ครับ มันเป็นสิทธิ์ของเราไม่ได้ผิดกฎอะไร แต่ว่าการเก็บเข้าชั้น มันก็จะทำให้เราได้รับการแจ้งเตือน เวลานักเขียนนิยายเรื่องนั้นมาลงตอนใหม่"

 

"อ๋อ ยังงี้นี่เอง ถึงว่าสิ! หลังจากนั้นมันถึงได้มีแจ้งเตือนมาตอนสี่ทุ่มของทุกวัน"

 

"หืมม..พี่จำเวลาได้เลยเหรอครับ?"

 

ใช่ บีมอัพนิยายทุกวันตอนสี่ทุ่ม เพราะใช้การตั้งเวลาเอาไว้

 

"จำได้ๆ ยังคิดอยู่เลยว่าคุณนักเขียนคนนี้เลือกเวลาดีจัง ปกติช่วงสี่ทุ่มจะเป็นช่วงที่พี่แพลนว่าต้องเคลียร์งานของแต่ละวันให้เสร็จ นิยายของบีมมาเวลานี้พอดีเป๊ะ พี่เลยโชคดีได้เปิดอ่านผ่อนคลายหลังทำงาน บางวันงานเยอะๆ ก็เอามาเป็นแรงกระตุ้นว่าให้รีบทำให้เสร็จก่อนสี่ทุ่มให้ได้ จะได้มาอ่าน! " 

 

คำพูดซื่อๆ ตรงไปตรงมา ไม่ปรุงแต่ง กลับทำคนฟังรู้สึกอุ่นๆ ข้างในหัวใจ

 

ไม่เคยมีใครให้ค่างานเราขนาดนี้มาก่อนเลย..

 

ความรู้สึกของการที่มีคนรอมันดีแบบนี้นี่เอง ถึงแม้จะแค่คนเดียวก็เหอะ  

 

ขอบตาเริ่มร้อนผะผ่าว น้ำตาพลันรื้นขึ้นมานิดๆ ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยปาดออก ไม่วายมันก็ยังเอ่อขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ จึงถอยโทรศัพท์ออกห่าง เพื่อสูดน้ำมูกฟุดฟิดเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายจับได้

ก่อนปรับเสียงให้เป็นปกติ ถามเรื่องยังเหลือค้างคาใจ 

 

"แล้ว..ที่พี่คอมเมนต์ผมทุกวัน หลังผมอัพนิยายไม่เกินสิบห้านาทีนี่ พี่..." บีมเรียบเรียงประโยคไม่ถูก ไม่รู้จะใช้คำถามว่าอะไรดี

 

​​​​"หือออ? พี่คอมเมนต์ไม่เกินสิบห้านาทีเลยเหรอ?"

 

"อะ..อ่าว ครับ ใช่ครับ" ประโยคถัดมาลดเสียงลงมาเหลือเพียงแผ่ว เพราะอายเหมือนกันที่ตัวเองทำอะไรแบบนี้ บางทีอีกฝ่ายจะหาว่าเขาโรคจิตหรือเปล่า...

แต่ก็ยอมรับออกมาแบบไม่ปิดบัง "ผมเคยลองจับเวลาอยู่" 

 

กลับกันเลย ประโยคนั้นทำคนฟังยิ้มได้ ก่อนเฉลยออกไป

 

"จริงๆ พี่ไม่รู้ตัวหรอกครับว่ามันกี่นาที คงเป็นคนอ่านหนังสือเร็วล่ะมั้ง มันเลยอยู่ในช่วงระยะเวลาเท่านั้นโดยบังเอิญ ก็แค่รู้สึกว่าอยากพูดคุยให้กำลังใจทันทีที่อ่านจบ " 

 

'อยากพูดคุยให้กำลังใจทันทีที่อ่านจบ..' งั้นเหรอ?

 

สิบห้านาที.. ที่ทั้งอ่าน ทั้งวิเคราะห์ ทั้งพิมพ์คอมเมนต์ มันเร็วมากจริงๆ นะ

 

เอาอีกล่ะ..น้ำตาเริ่มมาอีกละ

 

พอเป็นเรื่องนี้ กลายเป็นคนเซนซิทีฟขึ้นมาทุกที

 

"ขอบคุณนะครับ" ขนาดฝืนแล้ว เสียงที่เอ่ยก็ยังสั่น

 

คนเป็นอาจารย์พอจับสังเกตได้อยู่ แต่ก็แกล้งเฉไฉไม่เอ่ยถึงมัน กลับมาเล่าขยายความเรื่องตัวเองต่ออย่างภาคภูมิใจ "ตอนเด็กๆ เวลาพ่อกับแม่พี่ไปซื้อของเข้าบ้าน ชอบเอาพี่ไปทิ้งไว้ที่ร้านหนังสือ บางทีอ่านจบได้เป็นเล่มๆ ไม่ต้องเสียเงินซื้อเลย ฮ่าๆ"

 

"โหวว สมแล้วครับที่โตขึ้นมาแล้วได้เป็นอาจารย์ ต่างกับผมลิบลับ ไอ้บีมนี่..หนีไปเกมเซ็นเตอร์ตลอด ฮ่าๆๆๆ" 

 

หัวเราะร่วนทั้งที่มือแอบปาดน้ำตาป้อยๆ แพขนตายังเปียกชื้น 

 

น้ำตาที่ไหลออกมาเพราะความตื้นตัน 

 

น้ำตาที่ไหลออกมาเพราะมีความสุข..มันคงเป็นแบบนี้

.

.

.

 

ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันไปมา ด้วยความสบายใจอย่างไม่น่าเชื่อ ก็ไม่รู้ว่าความเกร็งที่ต้องคุยกับคนไม่รู้จักในช่วงแรกมันค่อยๆ หายไปตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนคนคุ้นเคยกันมาแสนนาน

 

ความต่างกันสุดขั้วกลับทำให้มีเรื่องราวคุยกันไม่รู้จบ บางจังหวะบีมนึกเกรงใจคนเป็นอาจารย์ อยากถามเหมือนกันว่า ง่วงไหม? หรือ อยากพักผ่อนไหมครับ? แต่หลายๆ ครั้งอีกเช่นกัน ที่อีกคนก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน

 

เราผลัดกันตั้งคำถามผลัดกันตอบ โดยไม่ได้ไม่รู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนล้า พากันลืมง่วงลืมเวลา บีมเล่าวีรกรรมสมัยเด็กๆ ให้ต้าร์ฟังบ้าง ต้าร์พูดเรื่องกฎฟิสิกส์ให้บีมฟังบ้าง คนไม่ได้เรียนสายวิทย์ก็มีมึนๆ เล็กน้อย แต่ก็แปลกใหม่จนไม่รู้สึกเบื่อ 

 

ในโลกปัจจุบัน​​​​​ยุคที่โซเชียลมีเดียพัฒนาไปมาก เรามีทางช่องทางติดต่อสื่อสารมากมายโดยไม่จำเป็นต้องใช้การโทรหากัน ของบีมก็มีแค่พ่อกับแม่ที่โทรมาเวลาคิดถึงอยากได้ยินเสียงบ้าง แต่ก็แค่เวลาสั้นๆ เพราะส่วนมากจะไปคุยเล่นกัน รายงานตัวกัน ทักทายส่งดอกไม้สวัสดีตอนเช้ามาให้บีมในไลน์ซะมากกว่า

 

นานเท่าไหร่แล้วน้า ที่ไม่มีคนให้โทรคุยกันแบบนี้  บีมคิด ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

 

 

 

ทางฟากคนเป็นอาจารย์ยิ่งแล้วใหญ่ ต้าร์เป็นพวกควบคุมตัวเองให้อยู่ในระเบียบและแบบแผนมาตลอดทั้งชีวิต ทุกวันต้องทำงานให้เสร็จภายในเวลาสี่ทุ่ม มีเวลาให้ตัวเองผ่อนคลายได้หนึ่งชั่วโมง และเข้านอนห้าทุ่มไม่เกินห้าทุ่มครึ่ง แต่วันนี้ต้าร์รู้สึกดีจนเผลอผิดกฎที่ตัวเองตั้งไว้ และปล่อยให้มันเป็นไปตามความรู้สึกจนไม่สนใจเรื่องเวลา 

 

รู้สึกสิบสี่อีกครั้งเลยแฮะ!

 

แต่ แน่นอน มันไม่ใช่สิบสี่ของต้าร์ เขาเคยได้ยินความหมายมันจากเพลงของพี่เสก และเพื่อนรุ่นเดียวกับเขาตอนอายุสิบสี่ก็น่าจะเป็นแบบนั้น..

 

ส่วนวัยสิบสี่ของเด็กชายต้าร์น่ะเหรอ? 

 

ถามได้..ก็คงมุดหัวอ่านหนังสืออยู่มุมใดมุมหนึ่งของบ้านน่ะแหละ!  -*-

 

 

 

 

 

แสงอาทิตย์ยามเช้าค่อยๆ เล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ให้คนเป็นอาจารย์ที่ในชีวิตแทบไม่เคยตื่นสายได้รู้สึกตัว

 

ลำดับไล่เรียงเหตุการณ์เมื่อคืนในหัว อยู่ดีๆ ก็เหมือนภาพตัด ทั้งที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์  ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปตอนไหน? ใครหลับก่อนใคร? ทั้งที่ตนไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน

 

คลำหาแว่นตาที่หล่นอยู่ข้างหมอนขึ้นมาใส่ หันไปเห็นโทรศัพท์ที่ตกอยู่ข้างกัน หน้าจอยังสว่างและแสดงเบอร์ที่ไม่ได้เมมชื่อยังอยู่ในสาย 

 

ทางโน้นก็คงหลับแบบไม่รู้ตัวเหมือนกันสินะ 

 

แค่นึกถึงก็อารมณ์ดีขึ้นมาเฉย..

 

กดวางก่อนดีกว่า เดี๋ยวเด็กนั่นจะเสียค่าโทรจนหมดตัว 

 

เมมชื่อไว้สักหน่อยแล้วกัน ถือว่ารู้จักกันแล้วต่อไปจะได้ไม่ขึ้นเป็นเบอร์แปลกอีก

 

 'คุณนักเขียนของผม' 

 

ระหว่างที่พิมพ์ก็ยังหยุดยิ้มไม่ได้ ต้าร์โคลงหัวให้กับความเสียอาการของตัวเอง อีกฝ่ายเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ทั้งยังไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ ทำไมเด็กคนนี้ถึงทำให้เขาหลุดกรอบไปไกลขนาดนี้

 

โชคดีนะ..ที่วันนี้เป็นวันเสาร์ ไม่ต้องเข้าไปสอน ไม่งั้นคงสอนไม่รู้เรื่องแน่!

 

ต้องรีบเอาโทรศัพท์ไปวางชาร์จแบตเพราะเหลือไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์ ก่อนหมุนตัวไปล้างหน้าล้างตาเรียกสติ แล้วมาวางโปรแกรมว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ชีวิตของเขาดำเนินต่อไปในลูปเดิมๆ 

 

 

 

ทางด้านคุณนักเขียนกว่าจะตื่นก็นู่นเกือบบ่ายนั่นแหละ แต่แทบไม่ต่างอะไรจากเวลาที่ตื่นปกติ สิ่งที่แปลกใจคือ..

 

เมื่อคืนเราหลับไปตอนไหนฟะ? 

 

คำถามแรกเกิดขึ้นเมื่อมีสติรับรู้

 

หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู สายถูกวางไปแล้ว..

 

พี่ต้าร์เป็นคนกดวางก่อน? นี่เราหลับใส่เขางั้นเหรอ? ตายๆ ไอ้บีมตาย ทำอะไรน่าอายใส่เขาหรือเปล่านะ? 

 

เออ..ช่างมัน 

 

ย้อนนึกทบทวนกับตัวเอง เหตุการณ์เมื่อวานมันดูงงๆ มันเหมือนกึ่งจริงกึ่งฝัน มีเรื่องดี เรื่องตลก เรื่องเหลือเชื่ออยู่เต็มไปหมด

 

เก้าชั่วโมง..ห้านาที..สามสิบสองวินาที 

 

บีมจ้องหน้าจอที่แสดงเวลาใช้สาย เพื่อยืนยันกับตัวเองว่าทั้งหมดไม่ใช่ความฝัน

...แล้วเขาก็คุยกับคนแปลกหน้าได้อยู่นานสองนาน เออ..ตลกดี 

 

ว่าแล้วก็เมมชื่อไว้สักหน่อยดีกว่า เผื่อมีเรื่องจำเป็นให้ต้องโทรไปอีก 

 

เหรอ..?

 

 

เออน่ะ..

 

 

แต่..ตั้งว่าอะไรดีน้าาาา 

 

 

 

 

อ่าาา....นึกออกละ!  

 

.

.

.

.

.

***

 

ขอบคุณสำหรับทุกการเก็บเข้าชั้นนะคะ ❤️

​​​