2 ตอน ศิลา ณครินทร์
โดย SundayRain
ตอนที่ 2
::ศิลา ณครินทร์::
“คุณคือพฤกษ์สินะ”
เสียงทุ้มนุ่มเรียกสติร่างบางให้หันไปมองยังคนมาใหม่ ร่างสูงใหญ่ราวๆ 185ซม.แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมบนโชว์แผงอกขาว แขนเสื้อถูกพับขึ้นอย่างลวกๆจนเห็นมัดกล้ามเนื้อ เข้าคู่กันกับกางเกงยีนทรงกระบอก รองเท้าหนังสีน้ำตาล ผิวขาวจัดติดจะไหม้แดดจนเห็นเป็นรอยแดงตรงแก้มและแผงออกเล็กน้อย ร่างสูงที่หุ่นราวกับนายแบบกำลังยืนตัวตรง มือล้วงกระเป๋า มองมาที่เขานิ่งๆ
คนตรงหน้าช่างแตกต่างจากภาพชาวไร่ที่เขาคิดไว้ในหัวเลย ใบหน้าสมส่วน ผมสีดำสนิททรงปาดข้าง ดวงตาคมติดหวาน แต่ฉายแววดุ จมูกที่โด่งเป็นสัน กับริมฝีปากอิ่มสีแดงเลือดฝาด ทั้งหมดรวมกันได้อย่างลงตัวสุดๆ
เหมือนริวจะบอกมาว่าคนคนนี้แก่กว่าเขาถึง 9 ปี พฤกษ์ยอมรับเลยว่าผู้ชายคนนี้ดูดีสมวัยมาก แม้แต่เขาที่เป็นผู้ชายด้วยกันยังรู้สึกชื่นชมเลย
“เอ่อ ใช่ คุณคือคุณศิลาใช่ไหม” เขาลุกขึ้นแล้วตอบกลับไปอย่างเป็นมิตร อย่างน้อย...ถ้าต้องอยู่ที่นี่ไปสักพัก เขาต้องหามิตรไว้ เผื่อจะได้ช่วยหาทางหนีได้
“อือ” เสียงทุ้มใหญ่ตอบอย่างนิ่งๆ เหมือนไม่อยากคุยด้วย ทำให้คนที่ถามด้วยความสุภาพ ต้องกำมือแน่น ความคิดที่จะพูดดีด้วยดูเหมือนจะเป็นอันพังลง
หนอยยย
ไอ้หมอนี่หน้าตามันก็ดีมากอยู่หรอกนะ แต่ดูท่าว่านิสัยคงตรงกันข้าม
“อือออ”
พฤกษ์ทำหน้าตาล้อเลียน ไปยังคนตัวสูง ที่ยืนคิ้วขมวดเป็นปมจากพฤติกรรมแสนกวนของเด็กคนนี้ ร่างสูงได้แต่คิดในใจว่าช่างไม่เข้ากับหน้าตาสวยๆนั่นเอาเสียเลย
“หึ นิสัยแบบนี้สินะ ถึงโดนเฉดหัวออกจากบ้าน แล้วถูกส่งมาอยู่ที่นี่...น่าสงสารนะ ได้ข่าวว่าจบเกียรตินิยมจากนอกนี่ แต่จะบอกอะไรให้...ถ้ามาอยู่ที่นี่ก็ต้องทำงานในไร่เช้าจนเย็น ดูซิว่าโปรไฟล์ดีขนาดนี้ จะทำงานง่ายๆ ในไร่ได้ไหม หึหึ”
เสียงทุ้มพูดอย่างเรียบๆ เนิบๆ ตาคมไล่มองคนตัวเล็กหัวจรดเท้า แล้วมาเท้าจรดหัว พร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันปนท้าทาย
“นั่นปากเหรอ! แล้วงานบ้าอะไร ผมไม่ได้มาทำงาน!”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อได้ฟังสิ่งที่คนตรงหน้าพูด มือสวยกำแน่นด้วยความโมโหกับถ้อยคำที่แสนดูถูกดูแคลนของอีกฝ่ายทั้งที่เพิ่งเจอกัน อีกอย่าง เขาไม่ได้จะมาทำงาน เดี๋ยวก็จะได้กลับแล้ว...
"แล้วมาทำอะไร มาถวายตัวเหรอ"เสียงทุ้มถามกลับอย่างยียวนกวนประสาทต่อ โดยไม่สนท่าทีที่ของอีกคนที่ใกล้จะพุ่งเข้าใส่เขาอยู่แล้ว
"คุณมันโคตรทุเรศเลย!"
พฤกษ์เกลียดคำพูดดูถูกคนอื่นแบบนี้ที่สุด อยากจะเข้าไปชกหน้ามันให้คว่ำ ให้สาสมกับคำพูดร้ายกาจที่พ่นออกมาซะเหลือเกิน
ไม่ทันไร ก็ดูเหมือนว่าคนที่เขาน่าจะพอพึ่งพาได้ ก็ผันตัวไปเป็นศัตรูกับเขาซะแล้วสิ เอาไงต่อละทีนี้ ซัดหมัดกันเลยดีไหมล่ะมึง ก่อเรื่องมันตั้งแต่วันแรกตามที่มึงถนัดเลยดีไหมไอ้พฤกษ์!
คิดไปคิดมา ร่างบางก็สูดหายใจเข้าออกเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ เขาฉลาดพอ เพราะฉะนั้น ขอดูสถานการณ์กันไปก่อนละกัน เพราะถ้าวัดกันด้วยพละกำลังเขาคงแพ้ไอ้หมอนี่ชัวร์ อย่าเพิ่งเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือเลย ฮึบไว้ นับ 1 ถึง 100 ก่อนไอ้พฤกษ์
“อะไร โกรธเหรอ”
“ผมเกลียดคนปากแบบคุณที่สุด”
“ผมก็แค่ถามเอง ถ้าไม่จริงก็ไม่เห็นต้องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรนี่”
“เหอะ พูดมาให้ได้ยินขนาดนี้แล้ว จะเรื่องจริงไม่จริง ผมก็มีสิทธิ์ด่ากลับนะ ทำไมผมจะต้องมาจัดการตัวเองแล้วอยู่เงียบ ในเมื่อคำพูดหมาๆแบบนั้นไม่ควรออกมาจากปากคุณตั้งแต่แรก”
ดวงตาสวยจ้องกลับอีกคนนิ่งขณะพูด ตลอดชีวิตเขาเติบโตมาท่ามกลางคำสบประมาทมากมาย และเขาก็ไม่เคยยอม ครั้งนี้ก็เช่นกัน...
“ว้าว”
ใบหน้าหล่อยิ้มอย่างพอใจกับคำพูดของอีกฝ่าย จริงๆเขาแค่ลองแหย่ดูว่าถ้าเจอคำพูดแบบนั้น เด็กคนนี้จะมีปฏิกิริยายังไง แล้วคำตอบที่ได้ก็เล่นเอาศิลาเถียงไม่ออกเลยทีเดียว
“อย่า! มา! ดูถูก! ผม! อีก!”เสียงหวานเน้นย้ำชัดถ้อยชัดคำ
“ใช่เล่นอย่างที่เขาบอกมาจริงๆสินะ”ร่างสูงยิ้มอย่างชอบใจ
“เอาเถอะๆ ผมขอโทษกับคำพูดของผมนะ แค่อยากรู้ว่าคุณจะตอบยังไงน่ะ”
“...”
“งั้นเข้าเรื่องเลย ผมจะขอบอกไว้ก่อนนะ ว่า ตอนนี้คุณมาอยู่ที่นี่ เป็นสมาชิกคนหนึ่งของไร่ เพราะฉะนั้น คนในไร่ทำงานอะไรคุณก็ต้องทำด้วย อย่าเอาเปรียบคนอื่นที่เขาทำงานให้ทุกคนมีข้าวกิน มีไฟใช้”
ศิลาพูดอย่างจริงจัง จนพฤกษ์เองก็เถียงไม่ออก ก็จริง เขาไม่ควรเอาเปรียบใคร แต่เขาก็ไม่ควรจะมาทำอะไรแบบนี้เลยด้วยซ้ำนี่หว่า อะไรกันวะเนี่ย!
ศิลาเหลือบมองใบหน้าสวยที่ซับสีแดงจากความขุ่นข้องในใจแล้วเผยยิ้มออกมาอย่างชอบใจ
“ผมจะกลับบ้านให้ได้ คอยดู!”
เมื่อไม่รู้จะตอบโต้ยังไง เสียงใสเลยโวยวายขึ้นมาอย่างขัดใจ สิ่งที่เจอตอนนี้ ขัดใจเขาไปซะหมด ใบหน้าสวยงอง้ำเหมือนเด็กๆตากลมสวยจ้องมาที่ศิลาอย่างเอาเรื่อง
“อะไรกัน ที่แท้ก็เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อนี่นา” คนตัวสูงพูดขึ้นอย่างท้าทาย ให้กับท่าทางเหมือนเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของร่างเล็กตรงหน้า
ศิลาพอจะทราบประวัติของพฤกษ์มาคร่าวๆ ก่อนจะถูกส่งมาที่นี่แล้ว พฤกษ์เพิ่งจะอายุ 21 ห่างกับเขาที่ปีนี้ก็จะ 30 แล้ว ถึง 9 ปี อายุแค่นี้แต่จบโทแล้ว ถือว่าเก่งเรื่องการเรียนล่ะนะ แต่เรื่องพฤติกรรมดูจะขยันสร้างแต่ปัญหาซะเหลือเกิน...
“ว่าไงนะ”
“หึ ก็ว่าคุณทำเหมือนว่ากำลังใจเสาะเลยนี่” ย้ำอีกครั้ง ให้เหมือนตอกตะปูแทงใจดำคุณหนูเอาแต่ใจให้ลึกเข้าไปอีก ร่างบางบอกว่าห้ามดูถูกเขาอีก ศิลาก็ไม่ได้ดูถูกนะ แค่ตั้งข้อสงสัยเอง...
“ผมไม่ได้ใจเสาะ! ได้ ผมจะทำให้ดู มันจะสักแค่ไหนกันเชียวกะอีแค่งานไร่งานสวน” คนอย่างพฤกษ์ที่เป็นเลิศในทุกๆ ด้าน (ยกเว้นครอบครัว) เขาไม่เคยทำอะไรแล้วไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้น เขาจะไม่ยอมโดนหยามเด็ดขาด
“แล้วจะคอยดูละกัน”
ปากอิ่มยิ้มอย่างพออกพอใจที่เด็กน้อยเหมือนจะฮึดสู้ขึ้นมาแล้ว ชักจะเริ่มสนุกแล้วสิ ไม่คิดว่าร่างเล็กจะยุยงขึ้นได้ง่ายดายขนาดนี้
“...”
“แล้วเดี๋ยวเข้าไปเอากระเป๋าคุณมานะ เพราะที่พักของคุณไม่ใช่ที่นี่”
“ห๊ะ หมายความว่าไง”
“เข้าไปเอากระเป๋าแล้วออกมาหาผมตรงนี้”
เสียงทุ้มกำชับอีกครั้ง ร่างบางที่ถึงจะงง แต่ก็ทำๆตามที่เขาว่าไปก่อน เถียงไปก็เสียเวลา
เมื่อกลับเข้าไปในบ้านก็เจอกับกระเป๋า ที่แม่บ้านเดินลากมาให้เขาแล้ว มือเรียวเล็กคว้ากระเป๋าใบใหญ่แล้วลากมายังคนตัวสูงที่ยืนรออยู่ที่เดิม
“มาแล้ว” เสียงใสตอบอย่างขอไปทีให้กับคนที่ยืนเก๊กท่ามองเขาอยู่
“ตามมาสิ” ศิลาพูดพลางออกเดิน ไปยังทางหลังบ้านที่มีซุ้มต้นโมกก่อตัวโค้งสูงเป็นทางเดิน จนใบและกิ่งก้านสามารถปกปิดแสงจากดวงอาทิตย์ได้จนเกือบหมด พฤกษ์มองเห็นทางข้างหน้าไม่ค่อยชัดนัก เพราะถัดไปข้างหน้านั้น โครงของซุ้มทางเดิน โดนเถาวัลย์ของไอวี่ปกคลุมไว้อย่างหนาทึบ
พื้นดินมีหญ้าขึ้นแซมๆเขียวชอุ่ม ก้อนหินขนาดใหญ่ฝังตัวอยู่ตลอดทางเดิน ทำให้เดินค่อนข้างลำบาก ทั้งยังมีตะไคร่ขึ้นตามหินเต็มไปหมดอีก ร่างบางหวิดลื่นล้มอยู่หลายครั้ง มือขาวลากกระเป๋าเดินทางแบรนด์ดังให้ค่อยๆเคลื่อนไปอย่างทุลักทุเล
“นี่ คุณ เรากำลังจะไปไหนกันแน่เนี่ย แล้วจะต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหนไม่ทราบ ผมเดินจนเมื่อยขาเหมื่อยแขนไปหมดแล้วนะ”
แม้ว่าร่างกายจะอ่อนล้า แต่เชื่อเถอะว่า ปากเขายังทำงานได้ดีอยู่ เพราะพฤกษ์ถือคติ ในวันที่แย่ ก็ยังมีปากเราที่ดี หึ
ผิวขาวละเอียดเริ่มเปียกจากเหงื่อที่ผุดไหลออกมาจากรูขุมขนเล็ก จากแค่ซึมเล็กน้อย ตอนนี้เริ่มเกาะตัวกันเป็นน้ำใสๆ ไหลลงมาอาบใบหน้าและลำตัวเขา ทำเอาเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านไหนเริ่มเปียกไปด้วยแล้ว
มือสวยเลยถอดสูทด้านนอกออกมา ถกแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นเพื่อระบายความร้อน แล้วพาดไว้กับกระเป๋าแทน
“หึ อะไรกัน นี่เราเดินมายังไม่ถึงครึ่งทางเลยนะ แค่นี้ก็จะตายให้ได้แล้วรึไง ถ้าทนไม่ได้ก็กลับบ้านไปซะไป!”
ร่างสูงใหญ่ที่เดินนำหน้าอยู่ หันมามองด้วยสายตาหยามเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินต่ออย่างไม่ไยดี ไม่แม้แต่จะลดความเร็วในการเดินลง
“ถ้ากลับได้ ผมไม่มาเดินตามคุณอยู่หรอกนะ พูดอะไรให้มันดูมีสมองหน่อยเถอะคนเรา” คุณหนูตัวน้อยอารมณ์ปะทุขึ้นมาอย่างง่ายดายเมื่อพูดถึงเรื่องที่บ้าน
ป๊านะป๊า รู้หรอกว่าไม่รักลูกคนนี้ แต่นี่มันเกินไปแล้วนะ มือเรียวยกขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมตามกรอบหน้าออกอย่างอารมณ์เสีย ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเหงื่อออกก็ยิ่งหงุดหงิด แล้วดันมาเจอคนใจดำอีก ชีวิตเขาจะหาคนดีๆได้สักกี่คนกันวะ
“เหอะ ก็ถ้าคุณมีสมองนักล่ะก็เดินไปเองละกัน...ผมกลับล่ะ” ทันใดนั้น คนที่เดินนำอยู่ ก็หยุดและกลับหลังหัน ทำท่าว่าจะเดินทิ้งเขาไป
“เห้ย อะไรอ่ะ อย่ามาทิ้งผมไว้ตรงนี้นะ” พฤกษ์ตะโกนเรียกคนที่กำลังจะเปลี่ยนทิศทาง เพื่อเดินกลับไปยังทางที่เดินผ่านมา
ใบหน้าสวยมองไปรอบตัว ตอนนี้เห็นอะไรก็ไม่ค่อยชัดนัก เพราะแสงจากดวงอาทิตย์โดนสกัดไว้ด้วยแมกไม้หนา กอปรกับตอนนี้เป็นเวลาเย็นย่ำแล้วด้วย ยิ่งทำให้ทัศนียภาพในการมองลดลงไปอีก บรรยากาศตอนนี้ช่างชวนขนลุกซะเหลือเกิน มือเล็กเผลอกำที่ลากกระเป๋าแน่น
“หึ ทำไม กลัวเหรอครับคุณหนู” ศิลาหยุดมองคนที่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปหาช้าๆพลางยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ ตาคมแพขนตาหนาหรี่มองใบหน้าสวยของคนอายุน้อยกว่าอย่างพินิจพิจารณา
ใบหน้าขาวของพฤกษ์ตอนนี้ แต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อจากความเหน็ดเหนื่อยและความโกรธเขาไปพร้อมๆ กัน ทำให้ศิลานึกถึงผลไม้ชนิดหนึ่งที่เขาชอบกินก็คือ พีชชมพู ขึ้นมา เห็นแล้วทั้งตลกทั้งน่าเอ็นดูจนเกือบเผลอหลุดยิ้มออกมาแต่ก็พยายามเม้มปากไว้ จะให้อีกคนเห็นไม่ได้
“ป เปล่านะ แค่คิดว่าคุณยังทำหน้าที่ไม่เสร็จ แล้วคุณก็ไม่มีสิทธิ์มาทิ้งผมไว้กลางทางอย่างคนไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้ มันไม่ถูกต้อง!”
ตอบไปทั้งที่ไม่ได้มองหน้าคนถาม เขาไม่กล้าจะเงยหน้าไปมองคนตัวสูงหรอก แค่ไอ้ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดแก้มตอนนี้ ก็ทำให้เขาร้อนๆ หนาวๆ จะแย่แล้ว ไม่รู้ว่าเพราะกลัวหรือเพราะอะไรกันแน่ แต่เขาไม่ชอบเลย
คือแบบว่า เขาจะไม่โดนลวงมาฆ่าใช่ไหมวะ...นี่มันอีหรอบเดียวกับซีรีส์ที่เขาดูเลย สักพักเขาก็จะโดนฆ่ากลางป่า กว่าใครจะหาเจอ เขาก็สู่ขิตไปแล้ว โถ ชีวิตไอ้พฤกษ์...มันจะไม่ใช่อย่างในซีรีส์ใช่ไหมวะ
“แถจนสีข้างถลอกแล้วนะ กลัวก็บอก”
“...”
“แล้วดูทำหน้าเข้าสิ สิ้นหวังอะไรขนาดนั้นอ่ะคนเรา”ตาคมไล่มองใบหน้าสวยที่ทำหน้าสิ้นหวังอย่างกับกำลังจะตายอยู่รอมร่อ นี่แค่พาเดินเองนะ เป็นเอามากขนาดนี้ ชักจะเริ่มปวดหัวกับวันข้างหน้าขึ้นมาแล้วสิ
“เออ กลัว กลัวไง ไอ้ห*นิ อุ๊ย” พอเขาล่กๆ ก็เผลอหลุดคำด่าจนดวงตาสวยเบิกโพลงด้วยความตกใจ รีบเอามือปิดปากตัวเองอย่างเร็ว แต่ดูท่าจะไม่ทันซะแล้วล่ะ
“ว่าใครไม่ทราบ!” เสียงทุ้มถามกลับอย่างเอาเรื่อง กับเด็กที่พูดจาไม่สุภาพใส่คนแก่กว่าอย่างเขา
“ไม่รู้ ว่า...ไส้เดือนที่ดิ้นอยู่แถวนี้มั้ง” อื้อหือ คำตอบสิ้นคิดแล้วยังสุดแสนจะกวนต*นอีก ยิ่งสถานการณ์ตอนนี้ ตานี่ก็ดันเป็นเหมือนที่พึ่งเดียวของเขาเสียด้วย ถ้าตานี่ไม่ใช่ฆาตกรอย่างที่เขาคิดอ่ะนะ
ไอ้พฤกษ์ มึงตายแน่ ตายมันที่นี่แหละ ถอดใจแล้ว...
“หยุดพูดมากแล้วรีบเดินซะ”
ศิลาพูดตัดบท พร้อมขยับตัวออกเพื่อเดินต่อ เพราะมัวแต่เถียงกันอยู่แบบนี้ คงได้มืดค่ำพากันมองอะไรไม่เห็นกันพอดี
“เออ!”
ร่างบางกระแทกเสียงใส่แผ่นหลังกว้าง พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่คนแก่กว่าไม่ติดใจเอาความ แล้วรีบเดินลากกระเป๋าให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะตามคนตัวสูงให้ทัน
ตุบ!!!
“โอ๊ยย ซี๊ดด เจ็บบ”
ด้วยความที่พื้นมันลื่นเกินไปหรือความซุ่มซ่ามของเขาเองก็ไม่รู้ ที่ทำให้ร่างของพฤกษ์ลื่นล้มจนแขนกระแทกกับก้อนหินอย่างจัง ใบหน้าสวยบูดเบี้ยวเพราะความเจ็บปนแสบ
พยายามก้มลงดูสภาพตัวเอง ถึงจะมองไม่ค่อยเห็นอะไรมากนัก แต่ก็รู้สึกได้ถึงความแสบที่ข้อศอก เดาได้เลยว่าข้อศอกเขาถลอกแน่ๆ
“...บ้าเอ๊ย ทำไมซุ่มซ่ามอย่างนี้!!!”
ศิลาที่หันกลับไปมองตามเสียงร้อง เห็นคนตัวเล็กนั่งนิ่งอยู่กับพื้น เลยเผลอตวาดออกไปเต็มเสียงอย่างลืมตัว จนคนที่เพิ่งล้มลงไปสะดุ้งสุดตัวอย่างตกใจกลัว
“...คุณสิบ้า ฮึก ไอ้บ้า ฮึก เจ็บไปหมดแล้ว ทำไม ต้องฮึก ตวาดกันด้วย ฮึก ผมตกใจนะ ฮืออ”
คนล้มที่นั่งเงียบด้วยความตกใจอยู่ก่อนแล้ว ยังต้องมาตกใจเสียงตะคอกจากร่างสูงอีก ใบหน้าสวยเริ่มเบะ แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างขวัญเสียทันที
ก็ชีวิตพฤกษ์ ถ้าไม่นับที่คนเป็นพ่อชอบดุเขาบ่อยๆ พฤกษ์ก็ยังไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลยนี่นา แล้วทำไมต้องมาเจอเอาตอนนี้ด้วยวะ ชีวิตเขาแม่ง...เฮงซวยชะมัดเลย
“เห้ย หยุดร้องเลย คิดว่าตัวเองเป็นเบบี้ตัวน้อยรึไงห้ะ เงียบซะ!”
ร่างสูงที่เห็นท่าไม่ดี รีบเข้าไปปิดปากเด็กตัวขาวที่ตั้งหน้าตั้งตาร้องไห้โฮเอาไว้ เพื่อหวังว่าน้องจะหยุดร้อง ตอนนี้แก้มใสเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด จมูกรั้นภายใต้มือใหญ่เริ่มกลายเป็นสีแดงก่ำ
ศิลาปลอบใครเป็นเลย เกิดมาก็ไม่มีพี่มีน้อง ชีวิตที่ผ่านมาจากเด็กจนโต ก็ไม่เคยมีคนเด็กกว่าให้ปลอบซะด้วยสิ ตอนทำงานก็เลี่ยงการเจอเด็กมาตลอด ตอนนี้มือใหญ่เลยยกขึ้นมาปิดปากคนกำลังปล่อยโฮเอาไว้ แต่ยิ่งมือใหญ่ออกแรงปิด คนเป็นน้องก็ยิ่งร้องไห้หนักพร้อมตะโกนเสียงดังอู้อี้ แต่เขาฟังไม่ออก มือเล็กพยายามเอาดึงมือศิลาออกจากปากตัวเอง ร่างสูงเลยตัดสินใจปล่อยมือออกแบบงงๆ
"นี่ จะฆ่าผมใช่ไหม คุณจะ ฮึก จะฆ่าปิดปากผมใช่ไหม ฮือออ นี่คือแผนสินะ ฮืออออ"
นี่เขาโดนส่งมาตายใช่ไหม ว่าแล้วเชียว ท่าทางไอ้คนตัวสูงนี่ไม่น่าไว้ใจ มันคงล่อลวงเขามาแล้วกะฆ่าเขาทิ้งจริงๆสินะ...
คนตัวเล็กที่เหมือนจะสติแตกเริ่มคิดไปต่างๆ นานายิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ยิ่งกลัวก็ยิ่งปล่อยโฮออกมาไม่หยุด
"อะไร ไม่ใช่ ผมจะฆ่าคุณทำไม นี่ ใจเย็นก่อน ผมแค่จะให้คุณหยุดร้อง หยุดก่อนเร็ว นะ..."คนตัวโตยิ่งลุกลี้ลุกลนเมื่อพฤกษ์เริ่มโวยวายเหมือนกำลังจะโดนฆ่าแล้วจริงๆ
นี่เราทั้งสองคนมาถึงจุดนี้กันได้ยังไงวะเนี่ย ศิลามองคนที่กำลังร้องไห้เหมือนโลกกำลังจะแตกอย่างปวดหัว
แต่พอจ้องดีๆ ดวงหน้าสวย ขนตาหนาเป็นแพที่ปิดแน่นแต่น้ำตาไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย กลับทำให้ศิลาต้องชะงัก เขาไม่ชอบน้ำตา แต่ใบหน้าสวยที่กำลังร้องไห้นี่กลับทำให้เขาคิดว่า......น่าเอ็นดูชะมัด
“ฮืออออออออออออ”
พฤกษ์ปล่อยโฮอย่างขวัญเสียโดยไม่สนอะไรอีกแล้ว ว่าตอนนี้เขาอยู่กับใคร ช่างแม่งเถอะ จะฆ่าเขาหรืออะไรก็แล้วแต่เลย เขาถอดใจแล้ว
เรื่องบ้าบอทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ป๊าไล่เขามาที่นี่ จนถึงตอนนี้มันประเดประดังเข้ามาเชื่อมโยงกันมั่วไปหมด จนพฤกษ์ที่พยายามอดกลั้นมาตลอด ไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้อีกต่อไป ร้องเผื่อไปถึงวันก่อนๆ ร้องเผื่อไปถึงอนาคตเสียเลย...แม่ง
“เออ มานี่” ร่างสูงที่ได้สติอีกครั้ง จึงตัดสินใจนั่งยองๆ หันหลังให้ร่างบางที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุดอยู่ มือใหญ่ดึงเอาแขนเล็กมาพาดคอเขาไว้ จากนั้นจึงช้อนแขนไปรับขาเล็กมาเกี่ยวเอวของตน แล้วยืนขึ้นอย่างเร็วจนพฤกษ์ต้องรีบเกี่ยวคอแกร่งให้แน่นขึ้นโดยอัตโนมัติ แขนแข็งแรงเกี่ยวขาเล็กไว้แล้วเอื้อมปลายนิ้วไปดึงกระเป๋าลากใบใหญ่มาด้วย
“ฮึก ปล่อย”
เสียงใสพูดอู้อี้ขึ้นใกล้ใบหูคนตัวสูง แรงสะอื้นจากแผ่นอกบางที่แนบอยู่กับหลังของศิลา เริ่มทำให้ก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นของคนร่างสูงเต้นไม่เป็นจังหวะ นี่เขาเป็นบ้าอะไรเนี่ย ยิ่งไอ้ความรู้สึกที่ว่า คนบนหลังนี่นุ่มนิ่มไปทั้งตัวนี่อีก...
“เงียบซะ มันน่ารำคาญ!” ลองใช้ไม้แข็งก่อนละกัน ขู่ให้เงียบเสียเลย ไม่ต้องพูดเยอะ
“ฮึก อย่าตะคอก กลัว” เสียงอู้อี้จากคนที่เอาหัวซบลงบนหลังกว้างดังขึ้นเบาๆ พฤกษ์ไม่ชอบให้ใครตะคอกใส่ เพราะมันทำให้เขาตกใจสั่นจนทำอะไรไม่ถูก แต่คนเป็นพ่อเขากลับไม่เคยรู้เลย...
“เอ่อ อ่ะ โอเค แต่ หยุดร้องได้แล้ว” ร่างสูงตอบไปอย่างงงๆ ไอ้เด็กนี่...แค่ตกใจนิสัยก็กลับเลยแฮะ แต่นิสัยกลับแบบนี้น่ารักกว่าเยอะเลย เฮ้ย ศิลา คิดอะไรอยู่วะเนี่ย
ตั้งสติสิศิลา...
To Be Continue...
SundayRain