19/06/25xx

คนเรามักจะมีนิสัยแปลก ๆ ติดตัวมาเสมอไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต การพูด ทัศนคติ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่หล่อหลอมเป็นตัวเรา

อย่างตัวฉันตอนนี้

สายลมพัดผ่านตัวฉันไปอีกวูบหนึ่ง ผู้หญิงอายุยี่สิบปลายที่พกนิสัยอินดี้จนดูแปลกจากสังคมที่อยู่

นึกครึ้มอยากมานั่งเล่นข้างท่าเรือยามดึกคนเดียวที่ต่างประเทศ...ฟังดูอันตรายมากใช่มั้ยล่ะ

ตั้งแต่นั่งเล่นข้างท่าเรือ, ตอนกลางคืน, อยู่คนเดียว และหนักขึ้นไปอีกเมื่อเป็นต่างประเทศ

ประเทศที่ไม่พูดภาษาพื้นฐานในการสื่อสารกับต่างชาติอย่างภาษาอังกฤษ และฉันพูดภาษาของประเทศเขาไม่ได้ด้วยแม้จะเคยมาเยือนก็ตาม

เพราะวันว่างจากงานที่บริษัทมันเหลือหรอกนะฉันถึงกล้าหยุดยาวหนึ่งอาทิตย์แล้วเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่น่ะ

ไม่มีแพลน ไม่รู้ว่าอยากได้อะไร ไม่รู้ว่าที่นี่มีที่เที่ยวอะไรด้วยซ้ำ ที่ตม.กล้าให้ผ่านเพราะฉันมาติดต่องานที่ประเทศนี้บ่อยเฉย ๆ หรอกไม่งั้นคงคิดว่าฉันเป็นแรงงานเถื่อนหนีวีซ่า

และตอนนี้เวลายี่สิบสามนาฬิกา รถไฟฟ้าหมดรอบวิ่งไปนานแล้วทั้งเมืองเงียบกริบแม้จะเป็นเมืองอุตสาหกรรมและเมืองท่า...กับตัวฉันที่ยังนั่งจมดิ่งอยู่ที่ม้านั่งตัวนี้ข้าง ๆ ตู้กดน้ำกระป๋อง

ไม่ใช่อะไรหรอก จำทางกลับโรงแรมไม่ได้เพราะตอนมาที่นี่ฉันเดินมาเรื่อย ๆ หลังจากหาอะไรยัดลงท้องเสร็จแล้ว

ทางรอดตอนนี้คงมีแค่เรียกแท็กซี่กลับโรงแรม

ทุกคนคงเคยเป็นนั่นแหละอาการเหนื่อย ๆ เบื่อ ๆ งานน่ะ หลายคนอาจหยุดเพื่อพักผ่อนกับคนในครอบครัว กับเพื่อน กับแฟน แต่เมื่อมองตัวเองแล้วฉันไม่มีอะไรสักอย่าง บ้านก็ไม่อยากกลับ เพื่อนก็มีแฟนใช้เวลาอยู่กับครอบครัว

...ส่วนแฟนไม่มี ไม่เคยมี คนคุยยังไม่เคยมีด้วยซ้ำ

โดดเดี่ยวกับชีวิตในวัยยี่สิบหกจริง ๆ นะ

ไหนหมอดูบอกว่าจะมีดวงเจอคู่ตอนยี่สิบไง นี่ฉันจะสามสิบอยู่แล้ว! ถามหน่อยจะโยนใครมาให้ได้บ้างรึยัง!

แต่จะมัวโทษดวงก็ไม่ได้ในเมื่อที่ผ่านมาฉันทุ่มเวลาให้งานตลอด แต่หลังจากนี้คงค่อย ๆ ปล่อยมือบ้าง

มีเงินแต่ไม่มีเหตุผลให้ต้องใช้คนเราจะมีเงินไปทำไมกัน

จะซื้อกู๊ดตามดาราเกาหลีก็มีแต่ค่ายเหี้ยจนสงสารศิลปิน หลังจากวงการเค-ป๊อปจบรุ่นเจนสองมาฉันก็ไม่คิดที่จะหวนคืนวงการนั้นอีก

รักผู้ชายเขาแต่ค่ายและเจ้านายดันสนใจแต่เม็ดเงินไม่สนใจผู้ชายของเรา...พอเถอะนะกับวงการอะไรแบบนี้

เมื่อสติเริ่มกลับมาก็เพิ่งคิดได้ว่าโลกใบนี้มีคนบ้าแบบฉันที่ซื้อโทรศัพท์เครื่องละหกหมื่นมาใช้อยู่ ดังนั้นก่อนจะเสียเงินบานเรื่องค่าแท็กซี่ฉันควรหาในแอปว่าสามารถเดินกลับโรงแรมทางไหนได้บ้าง

ถ้าให้เทียบระยะทางระหว่างในกูเกิ้ลแมพมันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอกเพราะค่อนข้างใกล้ แต่ปัญหาคือพอนั่งในที่ที่ถูกโฉลกแบบนี้นาน ๆ ก็เริ่มติดลมจนไม่อยากลุก

Rrrrrr~

สายโทรศัพท์ดังขึ้นรอบที่สิบสอง...หรือสิบสามของระยะเวลาหกชั่วโมงนี้และฉันยังไม่อยากสนใจมันเร็ว ๆ นี้ด้วย

เหมือนที่เกริ่นไปว่านิสัยฉันค่อนข้างประหลาด นึกอินดี้หยุดงานก็หยุด นึกอยากไปไหนก็ไป

ทำแค่ส่งวันหยุดงานและตั๋วไปกลับให้เพียงสองกลุ่มดูเท่านั้น หนึ่งกลุ่มบ้านของตัวเองและสองกลุ่มเพื่อนสนิท

ป่านนี้มันคงมีคำถามเดิม ๆ นั่นแหละเรื่องแผนการเที่ยวอะไรทำนองนั้น

และอย่างที่บอกไปแล้วเหมือนกันว่า...ไม่มี


20/06/25xx

เมื่อการเดินเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมายเริ่มน่าเบื่ออย่างประหลาดฉันจึงตัดสินใจนั่งรถไฟข้ามมาอีกเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ กัน

หาอะไรแปลก ๆ กิน รับวัฒนธรรมใหม่ ๆ ของสถานที่ที่ไม่รู้จัก

แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามสุดท้ายก็ได้ไปหยุดนั่งโง่ ๆ ที่สวนสาธารณะคอยมองผู้คนดำเนินชีวิตประจำวันไปเรื่อยเปื่อย

เด็กน้อยที่วิ่งเล่นกับหมา

คู่รักที่มาเดินเล่นด้วยกัน

เด็กวัยมัธยมหรือมหาลัยที่นั่งอ่านหนังสือ

วัยรุ่นจับกลุ่มกันมานั่งปิกนิก

ดูเป็นชีวิตเรียบง่ายที่สร้างความสงบให้มากเลยล่ะ

ถ้าตอนนี้อยู่ที่ไทยก็คงจบที่เตียงนอนใต้ผ้าห่มหนาแต่ย้อนแย้งกับการเปิดแอร์ต่ำกว่ายี่สิบองศา

นอนกลิ้งไปจนหมดวัน ผลาญเงินกับค่าอาหารเดลิเวอร์รี่

การมาเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่นี่ก็ดูไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเท่าไหร่

ฉันหันตามเสียงพูดคุยที่คล้ายจะสื่อสารด้วย ภาพคู่รักคู่หนึ่งเข้าในโสตประสาทการรับภาพทันทีที่หันไปมอง

"?" แต่มันดันไม่ใช่ภาษาที่ฉันสามารถแปลได้รู้เรื่อง

"Sorrry, I don't know English." เราพยายามสื่อสารกันสักพักจนผู้หญิงข้างกายเขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา

คงจะกดเข้าแอปแปลภาษา

และตามคาดเมื่อหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกยื่นมาให้เปิดค้างตัวเลือกการแปลภาษาที่สองอยู่

'หากไม่มีใครนั่งตรงนี้ พวกเราขอรบกวนนั่งด้วยได้ไหม?' มันแปลมาแบบนั้น

"Sure" เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งคู่จึงก้มหน้าเล็กน้อยแทนคำขอบคุณ

แต่เมื่อนั่งด้วยกันได้ไม่นานฉันก็ต้องลุกออกมาโดยแสร้งว่ามีสายเรียกเข้า

ไม่ใช่ว่าเขาทำอะไรไม่ดีหรือประเจิดประเจ้อตามวัฒนธรรมของเขา

แต่เพราะเมื่อสมองนึกได้ว่าคุ้นหน้าผู้ชายที่ไหนมันจึงกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญของฉันทันที

การขยับตัว การแสดงออกทางอารมณ์ หรือแม้กระทั่งคำตอบที่ตอบแฟนดันตรงกับในหัวสมองฉันแทบจะทุกอย่าง

ฉันเคยเจอเขาบ่อย ๆ ในความฝัน...มันไม่ใช่การจำผิด หรือการคิดไปเอง

ฉันเจอเขาทุกเดือนและหลายปีถึงมั่นใจ

'ชีวิตมึงมันเหมือนละครเลยว่ะ ถ้าเจอคนนี้มึงโทรมาบอกกูคนแรกเลยนะ'

เพื่อนสนิทฉันเคยพูดไว้แบบนั้น จริง ๆ ไอ้หมอดูที่บอกว่าฉันจะเจอคู่ช่วงยี่สิบก็มันนี่แหละ

ฉันหยุดนิ่งเมื่อเห็นป้ายบอกทางที่ถนนเส้นตรงหน้า

ป้ายที่บอกเมืองที่มันอยู่

สาบานได้ว่าลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันทำงานอยู่ที่ประเทศนี้ พอทำงานหนัก ๆ ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อใครนัก

ยิ่งช่วงยี่สิบปลายที่เป็นช่วงสร้างความมั่นคงให้ชีวิตตัวเองด้วยแล้วในวงเพื่อนฉันจึงไม่มีใครติดต่อกันเลย

บังเอิญ? จังหวะชีวิต? หรืออะไรก็แล้วแต่

ไหน ๆ ก็ไม่มีที่ให้ไปอยู่แล้วการไปนั่งกร่อยอยู่ที่บ้านมันหรือรอมันที่ร้านกาแฟไม่ใช่เรื่องแย่

เผลอ ๆ ได้นั่งคุยกับภรรยาของมันอีกคงดีกว่าผลาญเวลาเดินเคว้งอีกตั้งสองวัน


21/06/25xx

หลังจากทักไปถามเวลาว่างของมัน ก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนถึงตอนนี้

มันบอกแค่ว่าว่างเดี๋ยวจะส่งพิกัดมาให้ นั่งรอมันก่อนเดี๋ยวไปหาอะไรทำนองนั้น

"ดูสิใครหนีงานมาหา" เสียงดังขึ้นก่อนที่จะเห็นเจ้าตัวเสียอีก

ยังเป็นคนที่มีพลังงานล้นจนอยากถอดปลั๊กไฟมันออกจริง ๆ

"วันว่างมันเหลือ"

"ดีใจที่มึงมาหา"

"บังเอิญเถอะ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามึงอยู่ที่ไหนจนมองเห็นป้ายบอกทาง" มันยู่หน้าลงเล็กน้อย...เล็กน้อยมากจริง ๆ ก่อนหันไปสั่งเมนูกับบริกรที่รออยู่

"แล้วว่ายังไง ถ้ามองเห็นป้ายบอกทางเลยมาหาก็ไม่น่าใช่มึงนะ" ชายามบ่ายถูกช้อนคนจนเป็นกระแสน้ำวนเล็ก ๆ ในแก้ว

ฉันนั่งมองมันสักพักก่อนถอนหายใจยาว ๆ

"สวนสาธารณะเมืองข้าง ๆ เนี่ย" คำพูดเอื้อนเอ่ยออกไปแค่นั้นแล้วก็หายไปเรียกความสนใจจากเพื่อนฝั่งตรงข้ามได้อย่างดี

"เจอแล้วนะ ไอ้คนที่มึงเคยดูดวงให้" มันหุบยิ้มลงทันที หน้าตาที่เคยล้นไปด้วยพลังงานที่เคยอยากถอดปลั๊กออกก็ช็อตค้างราวกับถูกสับสวิตช์

"เจอ? ที่เมืองข้าง ๆ?" ฉันพยักหน้ารับกับคำพูดของมัน

นั่นกลายเป็นว่ามันยิ่งหน้าเจื่อน

"บอกแล้วใช่มั้ยไม่ชอบอะไรจะเจอแบบนั้นน่ะ"

"..."

"เป็นไง? รุ่นน้องล่ะสิ?" พยักหน้ารับอีกครั้งด้วยความไม่เต็มใจ

"ฮ่า...ช็อกจนขำไม่ออกก็วันนี้นี่แหละ ยังไงบ้างนะที่ตอนนั้นพูดไป...เป็นคนต่างชาติ เป็นรุ่นน้อง แล้วยังไงต่อนะ? อ้อเจอเพราะมึงมาเที่ยวต่างประเทศเดินเหม่อ ๆ หรือนั่งลอย ๆ อยู่ที่ไหนซักที่" มันไล่เรียงเหตุการณ์ที่พอจะนึกออกจากการดูดวงเมื่อหลายปีที่แล้ว

ก็ปรกติของเด็กมัธยมปลายจนถึงมหาวิทยาลัยนั่นแหละที่มักจะชอบดูดวงในอนาคตของตัวเอง วันนั้นก็ไม่รู้จะดูอะไรจนมันจั่วหัวข้อนี้มาให้นี่แหละ

"แล้วยังไงอีกนะ? มึงฝันถึงเขามาทุกเดือนแทบจะเป็นกิจวัตรไปแล้ว...หลายปีด้วยนี่" เดาสีหน้าตัวเองได้เลยว่ามันต้องเต็มไปด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

"เชื่อมั้ยว่ากูไม่เคยเชื่อเรื่องเซ้นส์ที่ตัวเองมีจนทุกวันนี้"

"มึงเชื่อ แต่มึงแค่หลอกตัวเองกับคำว่ามันบังเอิญหรือกูจะทำมันอยู่แล้ว" หยุดคนชาในแก้วเมื่อมันคลายร้อนแล้วยกขึ้นจิบด้วยท่าทีผู้ดี กลายเป็นภาพชินตาไปแล้ว

เพราะมันอยู่ที่ไทยก็ทำแบบนี้ ทุกวันนี้หนีมาที่นี่ก็คงถูกใจไม่น้อยกับวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตที่ฝันไว้

และประโยคล่าสุดมันตอกย้ำจนฉันเถียงมันไม่ได้


25/06/25xx

ฉันผลาญวันเวลาทิ้งเปล่า ๆ ในเมืองที่หมอดูประจำตัวอยู่ ไปเที่ยวกับสเตฟานนี่ภรรยาของมันตอนกลางวันและนั่งดูดวงทุกเย็นที่มันว่าง

และใช่คนอยากรู้ดวงฉันน่ะคือมัน อยากรู้มากกว่าเจ้าของดวงแบบฉันเสียอีก หน้าที่ประจำวันที่ผ่านมาคือเป็นตัวกลางหยิบไพ่ทาโรต์ให้มันอ่านดวงฉันสนุก ๆ เท่านั้นล่ะ

เมื่อสเตฟานนี่เห็นฉันนั่งแกร่วเป็นตัวกลางให้สามีของเธอมานาน เธอจึงได้เอ่ยชวนไปเที่ยวที่คลับตอนกลางคืนบ้างพร้อมประโยคที่ว่าฉันยังไม่เคยลิ้มรสแอลกอฮอล์นอกประเทศเลย

แน่สิว่าสามีเธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องโกหกแต่ก็ยอมปล่อยผ่านนั่นแหละ

และภาพสุดท้ายที่ฉันจำได้คือภรรยาสุดที่รักของเพื่อนฉันบอกว่าให้ดื่มเต็มที่เธอจะพาฉันกลับเอง

การเปิดสตอรี่อินสตาแกรมช่วยให้ฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อคืนนี้

สามแก้วสำหรับค็อกเทลสีสวย ห้าแก้วสำหรับวอดก้าในแก้วใบจิ๋ว และมากที่สุดคือคราฟต์เบียร์ที่สั่งมาเรื่อย ๆ จนเต็มโต๊ะไปหมด

ไดเรกสตอรี่จากผู้ติดตาม เมสเสจจากสเตฟานนี่ว่าฉันคอทองแดงขนาดไหนกว่าจะมอมได้สำเร็จกับเพื่อนสุดที่รักที่พิมพ์ข้อความทิ้งไว้ว่าเห็นฉันดื่มหนักขนาดนั้นครั้งสุดท้ายคือสมัยเกือบสิบปีที่แล้วได้ล่ะมั้ง และจำนวนคนขอติดตามพุ่งสูงในรอบหลายปี

แต่มากกว่าเรื่องเล็กน้อยที่เจอได้ทุกครั้งที่ฉันไปร้านเหล้า

คือข้อความจากคนแปลกหน้าที่ประวัติการแชตบอกว่าเพิ่งตอบกลับการขอติดตามเมื่อคืนนี้

ข้อความถูกส่งมาตอนตีห้าที่ฉันน่าจะสติดับวูบไปนานแล้ว

'Nice to meet you, mysterious girl:)'

 

- Princess with soul -

To be continue...

เพียงนาทีที่เราหากัน

coming soon