1 ตอน สุธาเคลียร์ปัญหาในใจ
โดย เขียนนิยายมาจ่าย Netflix เพื่อน
บนโลกนี้ พลังเวทเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและกลายมาเป็นหนึ่งในศาสตร์สำคัญที่มนุษย์หันมาทำความรู้จักหลังจากโดนขับไสไล่ส่งให้เป็นสิ่งของใต้ดินมาอย่างยาวนาน พลังเวทนั้นเป็นพลังงานที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้วิธีปลุกพลังและมนุษย์ราว ๆ 80% สามารถปลุกพลังของตัวเองได้ นอกจากนี้ พลังที่ถูกปลุกแล้วยังถูกแบ่งระดับตามความสามารถและประโยชน์จากการใช้งานไล่ตั้งแต่ระดับสูงสุด “อภิเทพ” (10) ไปจนถึงระดับล่างสุด “ต๊อกต๋อย” (1)
ผู้ที่จะสามารถประกอบอาชีพเป็นพ่อมดแม่มดแบบถูกกฎหมายได้นั้นมีเงื่อนไขหลัก ๆ 3 ข้อ
1. ร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นอุปสรรคต่อภารกิจต่าง ๆ ที่มอบให้
2. พร้อมตาย บาดเจ็บ หรือพิการได้ทุกเมื่อ
3. ต้องมีระดับพลังเวทตั้งแต่เซียน (8) ขึ้นไป
และไอ้ข้อ 3 นั้นนั่นแหละที่ดับฝันของเขาไปตลอดกาล
“สุธา แบควาร์ท” พลังเวทระดับปานกลาง (6) คนต่อไป”
ในยามค่ำคืนของเมืองกัมโครห์ ย่านชุมชนที่มักจะเงียบสงัดเมื่อค่ำคืนเริ่มวันใหม่ หลายครัวเรือนต่างปิดไฟ ต่างหลับใหลเพื่อเอาแรงทำงานในวันถัดไป มีเพียงเด็กหนุ่มคนเดียวที่สะดุ้งตื่นตื่นมาพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่ผุดรายมาเต็มหน้า เขาฝันร้าย...อีกครั้ง
“…” เสียงหัวใจที่เต้นสั่นรัวพร้อมกับเสียงหอบหายใจกอบโกยเข้าปอดดังก้องอยู่ในหัว ภายใต้ความเงียบสงบของบ้านแบควาร์ทกลับมีความวุ่นวายเล็ก ๆ ก่อเกิดขึ้นในห้องนอนของลูกชายคนกลาง
ฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้วหรอ? เขาตั้งคำถามกับตัวเองถึงอาการแปลก ๆ ที่มีมายาวนานราว 3 เดือน เป็นระยะเวลาเดียวกันกับที่เจ้าตัวไปสอบวัดระดับเวทที่ทางการจะบังคับสอบทุกคนเมื่อถึงอายุ 18 ปีโดยไม่มีข้อแม้ และผลของระดับพลังจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้อีก
ในวันนั้น สุธาไปสอบระดับพลังกับอังเดร เพื่อนสนิทที่อยู่ตามติดกันมาตั้งแต่ประถมตอนปลาย เขายังพูดเล่นกับอังเดรอยู่เลยว่าถ้าได้ไม่ถึงขั้นเซียนตัวเขาจะเป็นลูกกระจ๊อกไปเลย 1 เดือนเต็ม
“สุธา แบควาร์ท” พลังเวทย์ระดับปานกลาง คนต่อไป”
แต่พอมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ เขากลับไม่มีเรี่ยวแรงจะเดินออกจากห้องทดสอบเสียด้วยซ้ำ หัวใจที่เต้นแรงจนเริ่มเจ็บมันกลับปวดเพราะรู้สึกเหน็บชา แขนขาที่คราแรกแข็งจนเดินลำบากกลับหมดเรี่ยวหมดแรง ล้มลงอย่างง่ายดายจนต้องเรียกทีมงานฐานพยาบาลมาหามตัวออกไปนั่งดมยาดมเรียกสติ
หลังจากเหตุการณ์นั้น เด็กหนุ่มก็ไม่กล้าไปเจอหน้าอังเดรอีกเลย เจ้าตัวอาศัยช่วงปิดเทอมเป็นข้ออ้างในการไม่ไปเจอหน้าใคร เอาแต่อาศัยอยู่แต่ในห้องของตัวเอง ถึงแม้คนในบ้านจะเล่าให้ฟังว่าอังเดรรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและอยากจะเปิดอกพูดคุยกันสักครั้ง ตัวเขาเองกลับปฏิเสธมิตรภาพที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ เพราะเขากลัว เขาขี้ขลาด เอาแต่หนีปัญหา
กลัว ขี้ขลาด เอาแต่หนีปัญหา
กลัว ขี้ขลาด เอาแต่หนีปัญหา
กลัว ขี้ขลาด เอาแต่หนีปัญหา
มันเป็นแบบนี้วนมา 3 เดือน และสุธาก็ไม่อยากจะจมอยู่กับลูปนรกนี้อีก
พรุ่งนี้มันจะต้องจบ เขาสัญญากับตัวเอง
เช้าวันถัดมา เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาในเวลาที่สายกว่าปกติ ปล่อยกายปล่อยใจให้สงบแล้วจึงเดินออกจากห้องไปชำระล้างร่างกายให้สะอาดสดชื่น ค้นตู้เสื้อผ้าตามหาเสื้อกับกางเกงตัวเก่งมาใส่ ใช้เวลาอีกนิดหน่อยในการเซตผมให้ดูดี เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยเจ้าตัวจึงเดินลงมายังชั้นล่างของบ้านที่เป็นแหล่งทำเงินของครอบครัว...ใช่ ชั้นล่างของบ้านเขานั้นทำเป็นร้านขายของวิเศษหลุดจำนำที่เป็นที่นิยมของชุมชนมายาวนานตั้งแต่รุ่นคุณปู่ เขาเหลือบไปมองหน้าร้านแล้วเห็นว่ายังไม่มีใครจึงถือวิสาสะแอบย่องเข้าไปในห้องครัวแล้วหยิบหยิบขนมปังออกมา 2 ก้อนโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“อ้าวคุณชาย ออกมาจากห้องได้แล้วเหรอ” แต่เจ้าตัวหลบไม่พ้นสายตาคนเป็นแม่ “ แต่งตัวหล่อเชียว จะไปไหนเนี่ยลูก”
“อ่า ผมว่าจะไปคุยกับอังเดรให้รู้แล้วรู้รอดครับ ฝากบอกคนอื่นให้ให้กำลังใจผมด้วยนะ”
“ได้สิ งั้นแม่ฝากเอานี่ไปแวะให้ที่บ้านคุณนายมิลินน์ด้วยนะ เป็นพัสดุระดับ 5 เห็นว่าเป็นทางเดียวกันเลยขอวานหน่อย ของทั้งหมด 400 โอบานะจ๊ะ” เธอยื่นขวดแก้วใสขนาดพอดีมือที่ข้างในมีของเหลวสีม่วงสว่างเดือดปุดอยู่ข้างใน สุธาเก็บขนมปังเข้ากระเป๋าเป้แล้วเอื้อมมือไปรับขวดแก้วนั้นด้วย 2 มือ ด้วยความที่เขาช่วยทางบ้านจำแนกข้าวของอยู่บ่อยครั้งกับเป็นพนักงานส่งของให้คนในชุมชนชั่วคราวนั้นทำให้เขารู้ว่าต้องดูแลของวิเศษเหล่านี้ยังไงไม่ให้ทำร้ายร่างกายตัวเอง
แค่มองก็รู้ว่าไอ้น้ำสีม่วงนี้กัดมือแหว่งแน่นอนถ้าไม่ถือดี ๆ
สุธาขานรับแล้วเดินออกจากบ้านไป จุดมุ่งหมายปลายทางคือบ้านคุณนายมิลินน์ที่อยู่ทางทิศตะวันออกจากบ้านไปราว ๆ 300 เมตรและแถว ๆ ทะเลสาบมัวร์อันเป็นที่ตั้งของบ้านอังเดร เลยจากบ้านคุณนายมิลินน์ไปแค่ 10 นาที เด็กหนุ่มที่เพิ่งออกจากถ้ำส่วนตัวมาเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนหมุนตัวมองไปรอบ ๆ ถนนอันคับคั่งไปด้วยสิ่งปลูกสร้าง ผู้คน เสียงจอแจ...นี่สินะความเจริญ เด็กหนุ่มเอื้อมตัวไปหยิบขนมปังขึ้นมากิน พร้อมออกเดินทาง
ตลอดสองข้างทางเป็นย่านร้านค้าที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ไล่มาตั้งแต่ร้านอาหารไปยังร้านลับที่เปิดขายเฉพาะพ่อมดแม่มด ย่านการค้าเมืองกัมโครห์มีเอกลักษณ์ในเรื่องความคับคั่งของผู้คนในเวลาที่ไม่ซ้ำใคร เนื่องจากชาวเมืองกัมโครห์จะให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัวในยามค่ำคืน ทำให้เหล่าร้านค้าจะพยายามเก็บร้านให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตกดิน และช่วงเวลาไพร์มไทม์ของเหล่านักท่องเที่ยวจะตกไปเป็นช่วงเวลากลางวันแทน
เจ้าตัวใช้เวลาไม่นานในการเดินมาที่บ้านชั้นเดียวหลังคาทรงดอกเห็ดสีแสดอันเป็นเอกลักษณ์ มือข้างซ้ายที่ว่างเพราะกินขนมปังหมดแล้วเอื้อมไปเคาะประตูไม้เป็นจังหวะ 5 ที เป็นสัญญาณเฉพาะวงในว่ามีพัสดุอันตรายมาส่ง ไม่นานหลังจากนั้นประตูไม้ก็เปิดออก ข้างในเป็นหญิงวัยกลางคนร่างกายอ้วนท้วมดูท่าทางอ่อนโยน เธอปรายตามองเด็กหนุ่มที่รู้จักมาตั้งแต่ยังเล็กด้วยสายตาเอ็นดูก่อนจะเปิดประตูออกกว้างให้เข้ามาข้างใน
“สวัสดีจ้ะสุธา แม่ให้เอาของมาให้ใช่ไหม” เธอเดินเข้าไปในมุมลึกของบ้านแล้วเดินออกมาพร้อมกับถาดและขนม “ป้าเพิ่งอบคุกกี้มาใหม่ ๆ เอาสักชิ้นมั้ยลูก”
“ขอบคุณครับ” เขารับคุกกี้ในถาดมาทานพร้อมกับยื่นขวดใสอันตรายให้หญิงวัยกลางคน “ทั้งหมด 400 โอบาครับคุณนายมิลินน์”
“รีบจังเลยนะหนุ่มน้อย นี่จ้า ป้าฝากขนมไปให้แม่หนูด้วยนะ” เธอเสกเวทจากนิ้วชี้ไปยังชิ้นคุกกี้ ลำแสงสีม่วงจากปลายนิ้วไล่ลงไปยังจานปรากฏให้เห็นแพ็คเกจคุกกี้ใส่ถุงดูเรียบร้อยสวยงาม สุธารับมาใส่กระเป๋าก่อนจะโบกมือลาคุณป้าใจดี เตรียมเดินไปยังเป้าหมายหลักของเขา...ทะเลสาบมัวร์
ทะเลสาบมัวร์เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองกัมโครห์ เนื่องจากที่ตั้งของทะเลสาบอยู่ใกล้กับย่านการค้าทำให้การท่องเที่ยวเป็นไปได้สะดวก เหล่าบ้านเรือนที่อาศัยแถวนั้นก็พัฒนาไปเป็นโรงแรม เป็นร้านค้า เป็นสถาบันฝึกเวท เป็นสถานที่ที่จะสามารถกอบโกยเงินจากเหล่านักท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่ ด้วยรูปร่างของทะเลสาบที่เป็นทรงกลมเกือบสนิทกับพืชพรรณรูปร่างแปลกตาต่าง ๆ ที่จะปลูกขึ้นเฉพาะบริเวณนี้เท่านั้น จึงไม่แปลกที่จะมีผู้คนมาสนใจมากมาย
สุธาเดินผ่านจุดท่องเที่ยวมาได้สำเร็จหลังจากพยายามเบียดเสียดหนีผู้คนมาราวครึ่งชั่วโมง เมื่อพ้นจุดนี้ไปก็จะเป็นย่านชุมชนที่ผู้คนเดินทางรื่นเริงไม่ต่างกัน เด็กหนุ่มร้านของวิเศษชำเลืองมองหาต้นเซ็นซายักษ์ที่จะตั้งเด่นขึ้นมาเมื่อห่างจากย่านท่องเที่ยว เขาหมุนตัวหาไปรอบ ๆ ในเวลาไม่นานก็เจอ ต้นเซ็นซาเป็นพืชตระกูลโอ๊กขนาดใหญ่ที่มีความสูงขั้นต่ำ 5 เมตรและจะสามารถสูงขึ้นได้เรื่อย ๆ ตามอายุการเติบโต ข้อเด่นของต้นเซ็นซาคือใบไม้จะไม่ใช่สีเขียวดาษ ๆ แต่จะเป็นสีเขียวแกมสีอื่น เช่น เขียวน้ำเงิน เขียวม่วง ยิ่งสีแปลกตายิ่งมีราคาขายสูง ข้อเด่นอีกอย่างคือด้วยขนาดของต้นเซ็นซาที่ใหญ่โตมาก ทำให้แกนเนื้อข้างในสามารถทำเป็นที่อยู่อาศัยได้ และต้นเซ็นซายักษ์ที่สุธากำลังไปหานั่นก็คือบ้านของอังเดร
เขาเดินเข้าหาโดยไม่ลังเล ในหัวกำลังคิดถึงประโยคทักทายเมื่อได้เผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทที่ตนพยายามเลี่ยงเจอหน้ามาตลอด 3 เดือน ความกลัวต่าง ๆ ที่ตามกัดกินเขามาตลอดจะต้องหายไปในวันนี้
ความคิดต่าง ๆ ในหัวหยุดลงเมื่อสองเท้าหยุดลงตรงหน้าประตูไม้ยักษ์ สุธาหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อทำใจให้สงบในขณะที่หัวใจกับเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ
แค่กดกริ่ง เคาะประตู เรียกหาอังเดร พูดขอโทษ แค่นั้นก็พอแล้ว
มือที่สั่นเทากำลังจะกดกริ่งเรียกคนในบ้านแต่กลับกลายเป็นว่าประตูถูกเปิดออกจากข้างใน คนเปิดประตูเป็นเด็กหนุ่มตัวสูงร่างกายมีเนื้อมีนวลแต่ก็ไม่ได้อ้วนหรือกล้ามแน่นจนเกินไป ดวงตาสีเขียวมะกอกกับเรือนผมสีเปลือกไม้อันเป็นเอกลักษณ์อยู่ในชุดที่พร้อมจะออกไปข้างนอก เมื่อปะทะหน้าตรง ๆ ทำให้ทั้งสองฝ่ายทำตัวไม่ถูก
“อ้าว ว่าไงสุธา ออกมาข้างนอกได้แล้วหรอ นึกว่าจะอยู่แต่ในบ้านจนตายไปเสียอีก ลมอะไรหอบนายมาที่นี่เนี่ย แต่งตัวดูดีเชียว”
ร่างสูงกว่าทักทายก่อนอย่างอารมณ์ดี แต่สำหรับสุธาแล้วมันเหมือนจะมีน้ำเสียงของความห่างเหินปนอยู่ด้วย นี่เขาทำตัวแย่ขนาดนี้เชียวหรอ
“อ...เอ่อ”
“เอาเถอะ ฉันกำลังจะไปหาอะไรกินในตลาดนัดคนเดิน ไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าจะขอทา...”
“อังเดร ขอโทษนะ!” เสียงตะโกนของเพื่อนสนิททำให้อังเดรชะงักไป “ขอโทษนะที่ฉันทำตัวไม่ดี ที่จู่ ๆ ก็ทำเมินใส่ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเลิกคบกับนาย แล้วก็ไม่ได้อยากจะให้ระหว่างเรามันห่างเหินแบบนี้ ขอโทษ ฉันขอโทษจริง ๆ”
สิ้นเสียงขอโทษขอโพยไปก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ทั้งสองต่างยืนนิ่งประจันหน้ากันมาได้ราว ๆ 3 นาทีแต่เหมือนจะเป็น 3 นาทีที่ยาวนานที่สุดในความคิดของสุธา
บรรยากาศมันเริ่มกดดันขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดอังเดรก็ต้องเบรกความมาคุอันนั้นเอาไว้
“ฉันว่าเราไปหาอะไรกินที่ตลาดนัดดีกว่า พอแกท้องว่างแกก็มักจะพูดไปเรื่อย”
“อังเดร ฉันพูดจริง ๆ นะ ฉันขอ...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” ร่างสูงเอานิ้วชี้ไปหยุดปากของเพื่อนรักที่กำลังขยับ เข้าเอาหน้าเข้าไปใกล้ พูดเสียงเบาให้ได้ยินกันอยู่ 2 คน “นายลืมไปแล้วหรือไงว่าละแวกนี้คนหูตาดีมีเยอะแค่ไหน เดินไปคุยไปดีกว่า ตามมานี่”
“ลืมไปเลยแหะ”
“ถึงบอกอยู่นี่ไง อยู่แต่ในห้องจนลืมรอบข้างไปหมดแล้ว ให้ตายสิเพื่อนใครวะเนี่ย”
“แล้วนายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่แต่ในห้อง 3 เดือนมานี้เราไม่ได้คุยกันเลยนะ”
“ทั้งบ้านไม่ได้มีแค่นายนะฮัลโหล แม่แกก็อยู่ เซเวียก็ออกหน้าแทนให้ออกบ่อย ฉันจะจำชื่อแกกับน้องแกสลับกันแล้วนะ”
“ตอนนั้นโลกมันมืดหม่นไปหมดเลย แหะ ๆ”
“ช่างมันเถอะ หวังว่านายจะมีคำอธิบายที่ดีมาประกอบกับคำขอโทษ ตามฉันมาได้แล้ว หิวโว้ย”
อังเดรไม่รอฟังคำตอบ เขาวิ่งหลบเพื่อนรักแล้ววิ่งต่อไปในทางที่สุธาเพิ่งจะเดินมา ไม่นานนักอีกคนถึงจะตั้งสติให้สงบแล้วก้าวเท้าวิ่งตามมาจนทัน
“ถ้ารู้สึกผิดจริง ๆ ละก็ นายจะต้องเล่าให้ฟังทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น จะเอาแต่หนีแล้วให้ฉันคิดไปเองคนเดียวไม่ได้ เข้าใจไหม”
“อื้อ”
ทั้งสองเดินย้อนกลับมาทางตลาดนัดที่ตั้งอยู่จุดหนึ่งของริมทะเลสาบมัวร์ ตลอดสองข้างทางจะเป็นบูทร้านค้าตั้งยาวจำนวนทั้งหมด 4 แถว สองเพื่อนซี้เดินตามหาของกินเล่นที่ต้องการ ในขณะที่อังเดรมีของกินอยู่เต็มมือ สุธากลับไม่มีอะไรเลยเพราะเขาไม่ได้พกเงินมาเผื่อมากขนาดนั้น เงินที่คุณนายมิลินน์ให้เอาไว้นั้นก็เป็นรายได้ของบ้าน ขืนแอบเอาเงินไปใช้เขาคงโดนบ่นจนหูชาแน่ และดูเหมือนอังเดรจะสังเกตได้
“กินอันนี้ไหม ฉันให้” หนุ่มผมสีเปลือกไม้ยื่นเครื่องดื่มสีน้ำเงินประกายเขียวพร้อมวิปครีมสีขาวเนียนอยู่ด้านบน มันคือเครื่องดื่มที่สุธาชอบ
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่ได้เอาเงินมาเผื่อ ไม่คิดว่าจะเจออังเดรหิวกระหาย”
“พ่อแม่ฉันไปทำธุระที่เมืองอื่น จะกลับมาอีกทีก็เป็นอาทิตย์หน้า แถมพี่ฉันก็ทำอาหารเป็นอยู่อย่างเดียว เบื่อจะแย่แล้ว”
“ฉันบอกตั้งหลายรอบว่าให้หัดทำอาหารบ้าง ไม่เชื่อกันไง”
“ฮ่า ๆ ๆ เดี๋ยวค่อยฝึกหลังจากนี้แล้วกัน ถือว่าอันนี้เป็นเลี้ยงปลอบใจ ถ้าช้าเดี๋ยวน้ำแข็งละลายนะ”
สุดท้ายน้ำแก้วนั้นก็ไปอยู่ในมือของสุธาจนได้
ผ่านไปราว ๆ ครึ่งชั่วโมง สุธาและอังเดรเดินหอบอาหารมานั่งทานกันที่โซนนั่งทานของตลาดนัด ในมือของอังเดรมีทั้งน้ำ ขนมหวาน ของทานเล่น และอาหารจานหลัก ส่วนสุธานั้นมีเพียงเครื่องดื่มรสโปรดและของทานเล่น 2 อย่าง บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยเสียงเจื้อยแจ้ววุ่นวายแต่รอบข้างของสองคนนี้กลับเต็มไปด้วยความเงียบ ต่างฝ่ายต่างเงียบใส่แต่ไม่มีใครรู้สึกอึดอัดใจ ต่างคนต่างจัดการอาหารตรงหน้าตัวเอง เมื่อทั้งสองคนเริ่มอิ่ม สุธาก็เริ่มเอ่ยปาก
“แกจำวันนั้นได้ใช่ไหม วันที่พวกเราไปสอบวัดระดับกัน”
“จำได้ วันนั้นที่ระดับเวทของนายได้แค่ 6 แล้วก็เป็นลมล้มฟุบไปไง”
“ก...แกรู้หรอ!!”
“ใครบ้างไม่รู้วะ เรื่องมันดังจะตาย” อังเดรพูดยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ฉันพยายามจะมาหาแล้วบอกว่าไม่เป็นไร คนที่ได้ระดับสูง ๆ มันมีเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก จากที่เคยไปถามเขามาก็คือสามระดับสูงสุดมีรวมกันแค่ 10% ของคนที่มีพลังเวททั้งหมดเอง”
“จริงเหรอเนี่ย”
“จริงสิ ถึงจะงงอยู่ว่าหนีหน้าฉันทำไม แต่พอลองแอบถามเซเวียก็พอเข้าใจได้” อังเดรพูดไปเอาขนมหวานเข้าปากไป “ฉันเลยกะว่าถ้าวันนี้นายยังไม่ต้อนรับฉันอีก ฉันจะแอบปีนเข้าห้องแกแล้ว”
“ไอบ้า ทำตัวน่าเกลียดตั้งแต่เด็กยันโต”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”
“จะว่าไป พลังเวทแกได้เท่าไหร่เหรออังเดร”
“นายต้องอิจฉาฉันแน่ ได้เท่านี้ล่ะ” เจ้าตัวยกนิ้วขึ้นมาให้นับ สุธาก็นับไปเรื่อย ๆ
“หนึ่ง..สอง...สี่...ห้า...แปด! ระดับแปดเลยเหรอ!!”
“ช่าย” เขายกยิ้มอย่างภูมิใจ “คนที่ได้ตั้งแต่ระดับแปดขึ้นไปจะได้รับเชิญเข้าไปเรียนเพื่อประกอบอาชีพพ่อมดแม่มดโดยเฉพาะ บอกตรง ๆ เลยนะ แม่งโคตรน่าตื่นเต้นเลย”
“ยินดีด้วยนะเว่ย แต่เห็นว่าจะต้องไปอยู่ที่นู่นเลยนี่นา”
“ใช่ ฉันต้องไปภายในศุกร์หน้า”
สุธาสะดุ้งตัวโหยง หันไปตวาดใส่อีกคนเสียงดัง “ศุกร์หน้ามันไม่กระชั้นชิดไปหน่อยหรอ! ฉันเพิ่งจะได้เปิดอกกับแกเองนะ”
“ไม่เอาน่า เรายังสื่อสารกันได้นะ ถึงแม้มันจะใช้เวลาส่งนานไปหน่อยก็เถอะ”
“ถ้าแกไปเรียนที่นั่นฉันคงเหงาแย่เลย”
“และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันกะจะปีนเข้าห้องแกไปถ้ายังไม่ยอมมาเจอหน้าอีก”
อังเดรเลิกเสื้อคลุมของตัวเองแล้วเอามือขวาสอดเข้าไปยังฝั่งซ้ายของเสื้อด้านใน เมื่อควานหาของต้องการเจอก็หยิบออกมา ของในมือเป็นลูกแก้วฐานโลหะเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 เซนติเมตร เขามองมันทิ้งท้ายก่อนจะยื่นให้คนตรงหน้า
“อันนี้เป็นของที่ฉันซื้อมาจากเมืองอื่นเมื่อหลายเดือนก่อน เขาบอกว่ามันสามารถช่วยคนที่กำลังไร้ทางออกให้ทีลู่ทางของตัวเองได้ ฉันเห็นเจ้านี่ตอนกำลังเก็บกระเป๋าแล้วพาลให้นึกถึงนาย โชคดีที่เปิดประตูออกมาก็เจอนายอยู่หน้าบ้านพอดี อะนี่ ฉันให้”
“มันจะไม่เป็นไรเหรอ ส่วนใหญ่ของแบบนี้มันมักจะเลือกเจ้าของนะ”
“แกเคยบอกว่าถ้าพลังเวทไม่ถึงระดับเซียนแกจะยอมเป็นเบ๊ฉันหนึ่งเดือน ใช่ไหม”
“ก็ใช่”
“งั้นให้นี่เป็นคำสั่งแรก รับลูกแก้วจากฉันไป ห้ามปฏิเสธ”
“นี่มันผูกมัดกันชัด ๆ เลย”
“เอาไปเถอะ ขืนฉันเอาไปก็ไม่รู้จะเอาไปทำไม มันใช้ได้แค่คนละ 3 สิทธิ์เท่านั้นแล้วฉันก็ใช้ไปครบแล้วด้วย”
“อย่างนั้นหรอกเหรอ ถ้างั้นก็ขอบคุณนะ ขอบคุณที่เข้าใจฉัน ขอบคุณที่ไม่ทิ้งฉัน ขอบคุ...”
“หยุดพูดอะไรซึ้ง ๆ ได้แล้วน่า มันจั๊กจี้นะเว่ย”
สุธาลอบมองใบหน้าของเพื่อนตัวโตที่คราวนี้ใบหน้าของเขาแดงขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสถานการณ์หรืออากาศกันแน่ เขาตัดสินใจเอื้อมมือไปรับลูกแก้วลูกนั้นด้วยความเต็มใจพร้อมกับกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ทั้งสองใช้เวลาที่เหลือไปเดินเล่นแถว ๆ ริมทะเลสาบกับเดินท่องป่าเซ็นซาซึ่งก็ใช้เวลาอยู่นานพอสมควร เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าได้เวลาแยกย้ายกันแล้ว สุธาเดินไปส่งอังเดรถึงบ้าน พูดคุยอะไรกันอีกเล็กน้อยก่อนจะจากลาและเดินต่อมายังบ้านของตัวเอง
ตกดึกคืนนั้นเขานอนไม่หลับ สายตาเอาแต่จดจ่อไปยังลูกแก้วที่อีกคนมอบเอาไว้ให้
ขอได้ 3 สิทธิ์ต่อคนอย่างงั้นเหรอ
อยู่ ๆ ในหัวก็นึกอะไรออก เด็กหนุ่มเด้งตัวออกจากเตียงไปนั่งล้อมรอบลูกแก้วอันนั้น ปากท่องคาถาเปิดใช้งานอย่างที่เคยสาธิตให้ลูกค้าดูเป็นพันครั้ง และลูกแก้วก็สีออร่าสีน้ำเงินเป็นประกายรายล้อมรอบ...สัญญาณว่ามันเปิดใช้งานแล้ว
“ลูกแก้ววิเศษเอ๋ย โปรดแนะนำข้าให้รู้จักกับสิ่งที่จะทำให้ข้าตกตะลึงข้ามวันข้ามคืนทีสิ”
#เตี๋ยวสุธาทำไมอร่อย
Comments (0)