ปานระพีรู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้น พบว่ารอบกายมีเพียงความมืดปกคลุมไร้ที่สิ้นสุด ฝนที่ไม่รู้ตกมาจากทิศทางใดกระทบลงผิว แต่แปลกที่แม้ฝนตกรุนแรงเพียงใดกลับไม่มีเสียงให้ได้ยิน ปานระพีนั่งกอดเข่าพลางนึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า

            สัมผัสอบอุ่นที่ฝ่ามือ

            เสียงร้องไห้คร่ำครวญ

            ใบหน้าทรุดโทรมเคล้าน้ำตา เขาเฝ้ามองมันจวบจนวินาทีที่ไร้สิ้นลมหายใจ

            เขาได้ตายจากโลกนั้นแล้ว โลกที่เคยใช้ชีวิตร่วมกับธีรพัฒน์ บัดนี้มีเพียงธีรพัฒน์ที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกนั้น เขารับรู้ถึงความรู้สึกผิดที่เอ่อล้นในอกของธีรพัฒน์ แต่เขาไม่โกรธเลยสักนิดที่ธีรพัฒน์เลือกทางนั้น แม้มันจะเจ็บปวดใจที่ต้องจากคนรัก แต่ความทรมานกายที่ได้พบเจอได้จบลงแล้ว เป็นเขาเสียอีกที่รู้สึกผิดทิ้งคนรักไว้เพียงคนเดียว

            ปานระพีนั่งครุ่นคิดกับตัวเองได้ไม่นานก็ไม่รู้สึกถึงหยาดฝนตกกระทบร่างกาย เมื่อเงยหน้ามองดูก็พบร่มคันสีดำถูกกางไว้เหนือหัว เป็นชายในชุดสูทสีดำ ชายคนนั้นไม่พูดอะไร เพียงมองปานระพีนิ่ง ๆ ด้วยความสงสัยปานระพีจึงเอ่ยปากถาม

            “คุณเป็นใครครับ”

ชายชุดสูทยังคงเงียบ

            “ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน” ปานระพีถามอีกครั้ง

            “ตามมา”

            ชายชุดสูทกล่าวพลางยื่นร่มให้ปานระพี เขาเดินนำหน้าไปไม่หันกลับมามอง

            ปานระพียังคงเดินตามชายชุดสูทไปบนเส้นทางมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด นานเข้าก็เกิดความกังวล ความไม่รู้จุดจบส่งผลให้ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจปานระพี

            “เราจะไปไหนกันหรอครับ”

            “เราใกล้ถึงกันหรือยังครับ”

            “ที่นี่มีทางออกมั้ยเนี่ย”

            แต่ไม่ว่าปานระพีจะเอ่ยสักกี่ประโยคก็ไม่ได้รับเสียงโต้ตอบจากชายหนุ่มเลยสักครั้ง ครั้นจะเอ่ยปากออกถามอีกครั้งชายชุดสูทก็หยุดเดินกระทันหัน ปานระพีไม่ทันเห็นจมูกจึงชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างอย่างจัง เสียงโอดครวญดังเบา ๆ ชายชุดสูทหันกลับมาก็เห็นปากเล็บขมุบขมิบคล้ายกำลังนินทา สายตาเขม่นจึงส่งไปหาร่างบาง

            “ถึงแล้ว เดินข้ามสะพานไปแล้วจะมีคนไปส่งต่อ”

            “ครับ”

            ปานระพีได้ยินดังนั้นก็มองรอบหาสะพานที่ถูกกล่าว มองโดยทั่วก็ยังไม่พบ เขากลับหลังหันมองเส้นทางที่เดินมากลับต้องแปลกใจเมื่อพบสะพานไม้ข้ามแม่น้ำอยู่ด้านหลัง ความสงสัยระคนประหลาดใจเข้าครอบงำจึงคิดจะถามชายหนุ่มที่เดินมาด้วยกัน แต่เมื่อหันไปกลับพบเพียงพื้นที่ว่างเปล่า ไร้ร่างชายชุดสูทสีดำ

            ปานระพีรู้สึกขนแขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เขารีบเดินไปทางสะพานพลางสังเกตไปด้วย สะพานตรงหน้าทำจากไม้เรียบทอดยาวไปอีกฝั่งของแม่น้ำ แต่แม้ว่าจะเห็นปลายทางของสะพานกลับไม่เห็นพื้นที่อีกฝั่ง เห็นเพียงความมืดที่ปกคลุมไว้ ตลิ่งแม่น้ำเป็นพื้นดินประกอบหินก้อนเล็กก้อนน้อย มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นประปราย บางต้นรากไทรย้อยคล้ายม่านระย้าดูสวยงาม หิ่งห้อยเปล่งแสงวิบวับบินวนอยู่บริเวณสะพาน 

            สวยงามจนนึกสงสัยว่าเหตุใดจึงมีสะพานที่สวยงามตั้งโดดเดี่ยวท่ามกลางความมืด ขาที่กำลังจะก้าวขึ้นสะพานพลันชะงักลง ความคิดต่าง ๆ แล่นพล่านในหัว

            หากข้ามสะพานไปแล้วเขาจะไปที่ไหน

            หากข้ามสะพานไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

            หากข้ามสะพานไปแล้วเขาจะยังมีตัวตนอยู่หรือไม่

            แต่เมื่อลองเทียบกับการยืนเฉยในที่มืดโล่ง ไม่มีสิ่งใดให้ได้พบเจอ กระทำ หรือพูดคุย ความว่างเปล่ากลับน่ากลัวกว่าความไม่รู้ สองขาจึงขยับก้าวเดินขึ้นสะพาน มือขวาจับราวสีแดงสดพยุงแรง ปานระพีย่างก้าวช้า ๆ หนึ่งด้วยต้องการชมความงาม สองด้วยยังลังเล แต่เพราะตัดสินใจเดินหน้าแล้วจึงไม่อาจหยุดแค่ตรงนี้

            ยิ่งปานระพีเข้าใกล้ปลายทางของสะพานเท่าไหร่ ภาพอีกฝั่งแดนที่มีแต่ความมืดมิดกลับยิ่งชัดเจนและมีสีสันมากขึ้น สองเท้าที่เอื่อยเฉื่อยในคราแรกก้าวฉับไวว่อง จากเดินกลายเป็นวิ่ง ภาพที่เห็นคล้ายอยู่ในป่าตอนกลางคืน แต่สองข้างทางมีเสาไฟประดับให้ความสว่างทอดยาวเป็นระยะ ปลายสะพานพบหญิงสาวและชายหนุ่มสองคนยืนซ้ายขวา

            ปานระพีเดินมาหยุดตรงหน้าหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้ายซ้าย ยังไม่ทันพูดอะไรหญิงสาวกลับส่งยิ้มหวานพลางถามปานระพี

            “ปานระพี สุวรรณรัตน์ใช่มั้ยคะ”

            “อ่า ครับ”

            “ตรวจสอบข้อมูลให้หน่อยนะคะว่าใช่ของคุณมั้ย”

            เธอว่าพลางยื่นกระดาษในมือให้ปานระพี เขาไล่สายตาอ่านตัวอักษรบนกระดาษ คล้ายใบประวัติสมัครเข้าทำงาน มีประวัติการเกิด การศึกษา การทำงาน แต่มันแตกต่างตรงที่มีรายละเอียดลึกกว่ามาก ทั้งรายชื่อครอบครัว วีรกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่เด็กจนโต แม้กระทั่งบันทึกการตายก็มีปรากฏ

            “เอ่อ นี่มันอะไรครับเนี่ย”

            “ประวัติถูกต้องนะคะ”

            “ครับ ถูกเผงเลย” พยักหน้าหัวสั่นหัวคลอนเพื่อยืนยันว่าถูกต้องจริงดังที่กล่าว

            “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณปานระพีเดินตามคุณทศไปเลยนะคะ” หญิงสาวว่าพลางผายมือไปทางชายที่ยืนอยู่ด้านขวาของสะพาน

            ชายหนุ่มหรือที่หญิงสาวเรียกว่าคุณทศส่งยิ้มให้ปานระพี

            “ตามมาได้เลยครับ”

            ปานระพีเดินตามคุณทศไปก็แอบมองอีกฝ่ายไปพลาง อีกฝ่ายยิ้มราวกับมีความสุขนัก เมื่ออีกฝ่ายหันมาเห็นปานระพีมองอยู่ก็ชวนคุย

            “คุณปานระพีเหนื่อยมั้ยครับ”

            “ไม่ครับ เรียกปานเฉย ๆ ก็ได้นะครับ”

            “ครับคุณปาน เดินอีกไม่ไกลนะครับ แต่จริง ๆ ก็ไกลอยู่ ฮ่า ๆ” ปานระพีไม่ตอบอะไรเพียงมองอีกฝ่ายพูด ไม่รู้ว่าเพราะที่นี่แปลกเกินไปหรือชายหนุ่มข้าง ๆ พูดมากเกินไป ปานระพีกลับรู้สึกไม่กล้าเอ่ยอะไรมากนัก

            “เห้อ ผมอุตส่าห์ทำเรื่องขอเบิกรถไว้ใช้ทำงานแล้วนะครับ แต่พวกทางการกลับบอกว่าระยะทางแค่นี้เดินไปเองเถอะ เฮอะ ลองมาเดินเองสิ”

            คุณทศยังคงบ่นสี่บ่นแปดไปเรื่อย ปานระพีได้ฟังก็สงสัย เขาคาดเดาว่าที่ ๆ เขาอยู่อาจเป็นนรก แต่นรกที่เคยได้ยินไม่เห็นว่าจะมีรถใช้ อาจเป็นใบหน้าที่แสดงออกถึงความสงสัยเต็มทนคุณทศจึงเอ่ยบอกกับปานระพี

            “ถ้าสงสัยอะไรถามได้นะครับ”

            “ผมตกนรกหรอครับ”

            ทศได้ยินที่ปานระพีถามพร้อมกับใบหน้ายุ่งคิ้วขมวดแทบติดกันก็หลุดหัวเราะออกมา

            “ฮ่า ๆ ๆ คุณปานครับ ไม่มีหรอกนะครับนรกน่ะ ที่นี่คือโลกหลังความตายครับ”

            “แล้วสวรรค์ล่ะ”

            “มีครับ แต่สวรรค์ไม่ใช่ว่าทุกคนจะไปได้ หากคุณต้องการขึ้นสวรรค์คุณต้องยื่นเรื่องต่อทางการ แล้วทางการจะพิจารณาคุณสมบัติและชั่งน้ำหนักความดีว่าคุณสามารถขึ้นสวรรค์ได้หรือไม่ เพราะสวรรค์เป็นสถานที่บริสุทธิ์สำหรับคนที่ปล่อยวางทุกอย่างแล้วจริง ๆ ”

            “ถ้าไม่ขึ้นสวรรค์ล่ะ ถ้าอยู่ที่นี่จะเป็นยังไง”

            “หากคุณปานต้องการก็เลือกอยู่ที่นี่ได้ครับ แต่การใช้ชีวิตในโลกนี้ก็คล้าย ๆ โลกมนุษย์เลยครับ อ่า ถึงแล้ว เอาเป็นว่าการใช้ชีวิตที่นี่ พนักงานด้านในจะอธิบายให้คุณฟังเอง ผมคงต้องขอตัวก่อน”

            ปานระพีเดินมาหยุดลงตรงหน้าประตูหินบานยักษ์ คุณทศก้มโค้งกล่าวอำลาก่อนร่างจะสลายเป็นควันหายไปต่อหน้าต่อตา เขาอึ้งกิมกี่อยู่ครู่หนึ่ง ได้สติก็หันกลับมาที่ประตู ประตูใหญ่ขนาดนี้เขาจะเปิดเข้าไปได้อย่างไร ยืนละล่ำละลักนึกหาหนทาง ลองเดินเข้าไปผลักประตูดูกลับพบว่าเพียงแค่แตะลงประตูก็เปิดออกเอง

            เดินผ่านประตูเข้ามาก็พบอาคารขนาดเล็กตั้งอยู่ด้านซ้ายมือ ปานระพีเดินเข้าอาคารนั้นไปก็เจอกับเคาน์เตอร์ที่มีพนักงานยืนอยู่คล้ายว่าเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์อย่างไรอย่างนั้น

            “เพิ่งมาใหม่ใช่มั้ยคะ เชิญชั้นสองเลยค่ะ”

            พนักงานคนนั้นเพียงนั่งมองคอมพิวเตอร์ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามองกันสักนิด น้ำเสียงก็ติดจะห้วน ๆ คล้ายว่ารำคาญกันเสียอย่างนั้น ทั้งที่เขาเพิ่งจะเดินเข้ามา ปานระพีคิดในใจว่าหญิงสาวคนนี้เหมือนพี่ปุยฝ้ายแผนก HR ที่บริษัทของเขาไม่มีผิด

            ปานระพีกล่าวขอบคุณแล้วเดินขึ้นมาชั้นสองก็พบเก้าอี้นั่งรอคิว มีคนอื่น ๆ นั่งรอคิวอยู่ประมาณสามสี่คน เขาเดินไปนั่งที่ว่างข้าง ๆ หญิงชราคนหนึ่ง เธอดูมีออร่าคนแก่ใจดีปานระพีจึงเลือกไปนั่งด้วย เธอหันมามองปานระพีแล้วจึงชวนคุย

            “หนูเพิ่งมาใหม่หรอจ๊ะ”

            “ครับคุณยาย”

            “ยายก็เพิ่งมาใหม่เหมือนกันจ๊ะ อยู่มานานจนกร้านโลก พอถึงวันหมดอายุขัยก็แก่ตาย”

            “ยายไม่เสียใจหรอครับ”

            “ยายตัวคนเดียวน่ะหลานเอ้ย อายุก็ปาไปตั้งเก้าสิบแล้ว อยู่ไปก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ปล่อยวางแล้วโลกนู่นแล้วไปอย่างสงบดีกว่า”

            นั่งคุยได้ไม่นานก็มีพนักงานมาเรียกคุณยายไป ปานระพีจึงต้องนั่งรอคนเดียว เขานึกถึงการตายของคุณยายก็นึกอิจฉา คุณยายปล่อยวางแล้วจากโลกนั้นมาอย่างสงบ แต่เขาต้องจากคนรักมากะทันหัน เดิมทีชีวิตก็มีเพียงธีรพัฒน์ ครอบครัวของเขาเคยประสบอุบัติเหตุรถคว่ำขณะไปเที่ยวด้วยกันตอนที่ปานระพีอายุสิบห้าปี ครั้งนั้นทั้งพ่อ แม่ และพี่ชายของเขาเสียชีวิตคาที่ มีเพียงตัวเขารอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ อาจเป็นเพราะครั้งนั้นเขาต้องตายไปแล้ว พอรอดมาได้ก็เหมือนยมทูตสะบัดเคียวพลาดจึงต้องมาตัดหัวพาเขากลับปรโลกอีกครั้งด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เช่นเคย

            คิดสะระตะอยู่คนเดียวสักพักก็มีเสียงเรียกชื่อปานระพีดังแว่วเข้าโสตประสาท เป็นพนักงานคนที่เคยมาเรียกหญิงชราก่อนหน้านี้ พนักงานพาเขาเดินมาหยุดหน้าห้องที่มีป้ายไว้ว่า แผนกจัดสรรที่อยู่อาศัย พร้อมบอกกล่าวให้เขาเดินไปนั่งโต๊ะใดก็ได้ที่ว่าง

            ปานระพีสอดส่องหาโต๊ะที่ไม่มีคนใช้บริการก็พบโต๊ะหมายเลขหก มีพนักงานชายยิ้มใจดีโบกมือเรียกปานระพีอยู่ เมื่อนั่งลงแล้วพนักงานก็ยื่นเอกสารมาตรงหน้า

            “อันนี้เป็นสัญญาห้องพักของคุณปานนะครับ คุณปานสามารถอยู่ที่นี่ได้ฟรีเป็นเวลาสามเดือน แต่ตั้งแต่เดือนที่สี่เป็นต้นไปคุณปานต้องจ่ายค่าเช่ารายเดือนจำนวน 2 กะโหลกเงินนะครับ”

            “ครับ!? คือผมต้องหากะโหลกคนมาจ่ายหรอครับ” ปานระพีหน้าซีดเผือด

            “คุณปานเข้าใจผิดแล้วครับ” ชายหนุ่มว่าพลางหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองออกมา เขาหยิบเหรียญออกมาสามเหรียญ เหรียญหนึ่งเป็นสีทอง อีกหนึ่งเป็นสีเงิน และอีกหนึ่งเป็นทองแดง นิ้วเรียวจับเหรียญทั้งสามชูตรงหน้าปานระพี บนเหรียญเป็นรูปหัวกะโหลกสลักนูนต่ำไว้

            “นี่คือเงินตราของปรโลกครับ เรียกกันว่ากะโหลกเงิน กะโหลกทอง และกะโหลกแดง 1,000 กะโหลกแดงเท่ากับ 1 กะโหลกเงิน 1,000 กะโหลกเงินเท่ากับ 1 กะโหลกทอง ”

            “อะ อ๋อครับ แหะ ๆ” ชายหนุ่มมองปานระพียิ้ม ๆ นึกเอ็นดูความใสซื่อของอีกฝ่าย

            “ส่วนเรื่องเงินคุณปานก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีจ่ายนะครับ ที่นี่มีนโยบายให้ยืมเงินทุนสำหรับตั้งตัวในเดือนแรกครับ แล้วก็ช่วยหางานทำให้ด้วย ส่วนเรื่องที่พักอาศัยหากคุณอยากย้ายไปอยู่ที่อื่นหรือซื้อบ้านหลังใหม่ก็สามารถมาติดต่อทางแผนกเราได้ครับ เราจะช่วยหาที่พักอาศัยที่คุณต้องการและช่วยพิจารณาว่าคุณควรย้ายหรือไม่ หากคุณมีเงินเพียงพอสำหรับที่พักอาศัยใหม่แต่ไม่เหลือเงินสำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็นเช่นค่าอาหารทางเราก็จะแนะนำให้คุณสะสมเงินมากกว่านี้หรือเสนอการกู้ยืมครับ เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาในภายหลัง”

            ปานระพีฟังจบก็ทำหน้ามึนรับคำ ที่นี่เหมือนโลกก่อนความตายจนปานระพีไม่คิดว่าเขาตายแล้ว เหมือนว่าเขาแค่ย้ายประเทศมาอยู่ต่างดินแดน เขานั่งอ่านและทำสัญญาที่พักอาศัยจนเรียบร้อยพนักงานก็บอกกับเขาว่าเมื่อเดินออกจากห้องแล้วให้ตรงไปที่ห้องฝั่งตรงข้ามได้เลย

            ปานระพีกล่าวขอบคุณรับสัญญาส่วนของเขาจากพนักงานแล้วลุกออกมา เมื่อเปิดประตูออกมาก็เห็นป้ายหน้าประตูฝั่งตรงข้ามเด่นหรา แผนกจัดสรรงานและเงินจึงเดินเข้าห้องนั้นไปทันที

 

            “คุณปานนะครับ เชิญนั่งเลยครับ” ชายหนุ่มผายมือไปทางเก้าอี้ว่างตรงหน้า ปานระพีจึงเดินไปนั่งลง

            เหมือนตอนไปคุยกับแผนกจัดสรรที่อยู่อาศัยไม่มีผิดเพี้ยน ปานระพีนั่งรับฟังคำอธิบายจากชายหนุ่ม ซึ่งบอกกล่าวกับเขาว่าทุกคนจะได้รับงานที่คล้ายกับตอนมีชีวิตอยู่ แต่หากต้องการย้ายงานก็ต้องรอให้ครบสัญญาทำงานเสียก่อน หลังจากนั้นสามารถยื่นเอกสารสมัครงานกับองค์กรที่ต้องการได้โดยตรงเลย ไม่ต้องผ่านแผนกเหมือนตอนย้ายที่อยู่อาศัย

            อธิบายจบก็ให้เงินมาจำนวนหนึ่งไว้ใช้จ่ายในเดือนแรก แต่เงินก้อนนี้ไม่ได้ได้รับมาฟรี ๆ หลังจากนี้หนึ่งปีต้องเริ่มทยอยผ่อนจ่ายเงินคืนตามกำหนดเพื่อใช้หมุนเวียนสำหรับผู้เสียชีวิตรายใหม่ แต่โชคดีที่สัญญาไม่ได้เรียกเก็บทีละเยอะ ๆ และไม่มีดอกเบี้ย

            เมื่อทำสัญญากันเรียบร้อยปานระพีก็เตรียมลุกออก แต่ชายหนุ่มเอ่ยรั้งไว้

            “อ๊ะ รอก่อนครับคุณปาน นี่ครับ” ชายหนุ่มว่าพลางยื่นกล่องสีขาวมาให้

            ปานระพีรับมามองดูก็พบว่าเป็นกล่องโทรศัพท์

            “ในโลกนี้ก็จำเป็นต้องติดต่อกันนะครับ” ปานระพีนึกดีใจว่าอีกฝ่ายให้ฟรีก็ต้องหมองลงทันที

            “ผ่อนเดือนละ 1 กะโหลกเงินครับ”

             ค่าใช้จ่ายที่นี้เหมือนจะใจดีช่วยเหลือกัน แต่จริง ๆ ก็ต้องจ่ายเองทั้งนั้น เมื่อนึกสิ่งที่ต้องจ่ายทั้งหมดก็อยากร้องไห้ ชีวิตของมนุษย์เงินเดือนอย่างเขาตายแล้วก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนเดิม