คืนนั้นพระจันทร์มีสีประหลาด...

เป็นคืนวันเพ็ญแต่แทนที่จะเหลืองนวลกลับมีสีออกแดงฉานเหมือนถูกย้อมด้วยเลือด ในภาษาต่างประเทศหรือแม้แต่ภาษาไทยเองจึงมีคำเรียกว่า จันทร์สีเลือด แทนสีแดงที่ถูกทาทับบนดาวบริวารหนึ่งเดียวของโลก ถึงจะฟังดูน่าสยดสยอง แต่เมื่อผ่านพ้นไปหลายยุคหลายสมัย พระจันทร์สีเลือดก็ถูกมองเห็นเป็นสีชมพูในบางภูมิประเทศ สีแห่งความรักนั้นลดทอนความน่ากลัวลงไปได้บ้าง แต่อย่างไรก็ตามหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมาเรื่องราวประหลาดมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งนั้นก็ต่างได้ถือกำเนิดขึ้นมาในวันที่จันทราสีประหลาดเช่นวันนี้

หญิงสาวครุ่นคิดเกี่ยวกับพระจันทร์ดวงโตงามเด่นที่แขวนลอยอยู่เหนือขอบฟ้ายังไม่ทันจะถึงสี่สิบห้าองศาทำมุมกับจุดที่ยืนอยู่ มันสวยและสวยขึ้นทุกนาทีที่ไต่ระดับขึ้นไป จนในที่สุดเธอก็ไม่อาจห้ามใจต่อไปได้อีก

'วันนี้พระจันทร์สวยดีนะคะ ออกมาดูกันเถอะ'

นิ้วงามรัวแป้นโทรศัพท์เป็นข้อความส่งหาด้วยโปรแกรมแชตยอดนิยม รู้ทั้งรู้ว่าอีกคนยังนั่งทำงานอยู่ในห้องที่ห่างกันแค่กำแพงกั้นเท่านั้น แต่เธอก็ยังอยากทำแบบนี้มากกว่าเดินไปชวนออกมาดี ๆ

เธอต้องเห็นข้อความนั้นแน่ ๆ ยายคนบ้างาน

หญิงสาวคิดและยิ้มผ่านกำแพงห้องเข้าไปซึ่งไม่เป็นผล แววตาหม่นลงเมื่อมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ข้อความไม่ได้ถูกเปิดอ่านอีกเช่นเคย เรื่องของเธอนั้นสำคัญเป็นอันดับล่างสุด มันเป็นแบบนี้เรื่อยมา เธอจึงปล่อยให้คนในห้องมีความสุขกับงานต่อไปอย่างนั้น ส่วนตัวเธอขอเลือกที่จะดื่มด่ำกับพระจันทร์ดวงโตอีกสักหน่อย

เพ่งมองไปที่ดวงจันทร์สีเลือดนั้น เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับดาวบริวารหนึ่งเดียวดวงนี้แจ่มชัดขึ้นมาทีละเรื่อง ตำนาน นิทาน นิยาย เรื่องเล่าปรัมปรา ที่เธอเคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เล็กจนโต ผู้คนผูกพันกับดาวดวงนี้และพยายามเชื่อมโยงร้อยเรียงตัวเองและรวมทั้งเผ่าพันธุ์กับดวงจันทร์มาหลายต่อหลายชั่วอายุคน มนุษย์นั้นหลงรักดวงจันทร์มาเนิ่นนาน ซึ่งหากดวงจันทร์มีความคิดหรือจิตวิญญาณ หากเขามองเห็นมนุษย์ตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ เขาหรือเธอจะรักมนุษย์บ้างไหมนะ

เป็นไปไม่ได้หรอก แค่ดาว แค่หินบนอวกาศ จะไปมีอำนาจเหนือคนไปได้อย่างไร หน้าที่ของดวงจันทร์ก็เป็นเพียงสิ่งสวยงามบนท้องฟ้าเท่านั้นแหละ...เธอคิดในใจทั้งที่ยังจ้องไปที่ดวงจันทร์ ดาวใหญ่สีเหลืองเคลือบแดงกะพริบตอบเหมือนตาดวงใหญ่ยักษ์กะพริบลง

หญิงสาวสะดุ้งและออกจากภวังค์ เธอสะบัดหน้าไล่ความคิด มองไปที่ดาวดวงโตอีกครั้งและยืนยันกับตัวเองว่าเมื่อครู่นี้เธอตาฝาดไป

“หืม...ทำไมอยู่ดี ๆ ก็ห้าทุ่มแล้วล่ะ? " หญิงสาวพูดออกมาเมื่อเปิดดูเวลาในโทรศัพท์ "ไวแฮะ เหมือนเพิ่งอยู่ตรงนี้ได้แค่ชั่วโมงเดียว" เธอพูดกับตัวเองอีกครั้ง จากนั้นทำท่ายักไหล่เหมือนจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ ก่อนจะหันกลับเข้าไปหาคนบ้างานในห้อง

...ว่างเปล่า…

ไม่มีคนอยู่ ไฟปิด แอร์ไม่ได้เปิด และไม่มีไอเย็นทิ้งตัวอยู่ในอากาศสักนิด ซึ่งข้อหลังนั้นนับว่าน่าแปลก เพราะถ้าแค่ออกไปข้างนอกก็ไม่น่าจะปิดแอร์ หรือถ้าเพิ่งปิดแอร์ในห้องก็ควรต้องมีความเย็นค้างอยู่บ้าง

ลิสต์รายชื่อโทรออกถูกนิ้วเรียวเลื่อนไปมาอยู่เพียงครู่ ชื่อที่ต้องการก็ปรากฏในลำดับต้นของรายการ

'หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิ...'

ไม่ผิดหรอกนี่เบอร์เธอ หญิงสาวก้มมองเมื่อได้ยินปลายสายเป็นระบบอัตโนมัติ

เบอร์จะยังไม่เปิดได้ยังไง ก็เมื่อเย็นยังโทรคุยกันอยู่

หลังจากพยายามโทรไปอีกสองสามครั้งจนแน่ใจว่าระบบเครือข่ายอาจมีปัญหา เธอจึงลองส่งข้อความไปอีกหน ซึ่งดูแล้วค่อนข้างสิ้นหวังอีกเช่นกัน เพราะข้อความก่อนหน้านั้นไม่แม้แต่จะถูกเปิดอ่าน

เธอเริ่มเป็นห่วง จนในที่สุดเธอก็ขับรถมาจอดอยู่หน้าบ้านคนบ้างานคนนั้น

หนีกลับบ้านไม่บอกกันซักคำ เป็นแบบนี้ทุกที ดีเหมือนกันถือโอกาสค้างคืนด้วยซะเลย

เธอคิดเมื่อเห็นแสงไฟที่เปิดอยู่ตรงหน้าต่างห้องนอน ขณะเดียวกันก็ไขกุญแจที่เธอมีอยู่แล้วและพกติดตัวตลอดเวลาเพื่อการนี้เข้าไปตามปรกติ แต่ระหว่างที่กำลังดึงประตูปิดนั้นที่ท้ายทอยก็ปวดแปลบชาดิกขึ้นมาเหมือนถูกของแข็งปะทะ เสียงผัวะ ตามด้วยเสียงวิ้งดังสะท้อนไปมาในหู ถัดมาไม่ถึงเสี้ยวนาทีเธอก็รู้สึกโคลงเคลงเหมือนเมาเรือ สติที่น้อยลงบอกกับเธอว่ากำลังถูกลอบทำร้าย หากนี่เป็นโจรที่กำลังงัดบ้านคนสำคัญของเธออยู่แล้วตอนนี้เธอคนนั้นอยู่ที่ไหนกัน?

สมองที่เริ่มเบลอยังคิดเป็นห่วง เธอหันหลังกลับไปหาต้นเหตุแห่งความเจ็บปวดจนเกือบสิ้นสตินั้นตามสัญชาตญาณ และระหว่างที่กำลังจะทิ้งตัวลงนั้น ภาพเลือนรางของร่างที่คุ้นตาที่กำลังถือไม้เบสบอลอะลูมิเนียมก็ปรากฏตรงหน้า

ชันดา...

“ไอ้โจร!"

นั่นเสียงเธอไม่ผิดแน่ แต่ฉันไม่ใช่โจรสิ เธอรู้จักฉันดี ฉันไม่...ใช่...โจ..ร

ก่อนที่ชันดาจะเงื้อมือและเตรียมจะฟาดลงมาอีกครั้ง สติของหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าโจรก็ดับไปพร้อมความงุนงง