1 ตอน บทที่ 1 ตำหนักเยว่เล่อ
โดย babyfei
สีเหลืองนวลส่องแสงล้อมรอบดวงจันทร์กลมใหญ่ สะท้อนมายังชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวสะอาดตา ผู้ยืนอยู่ใจกลางห้วงนภายามค่ำคืนของแดนสรวง
ชายหนุ่มผู้นั้นกวาดมือรอบหนึ่ง พลันเครื่องดนตรีประจำกายปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ใบหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์สวนทางกับความพริ้วไหวดุจสายน้ำจากนิ้วมือเพรียวบาง จดจ่อไปยังท่วงทำนองอันแสนไพเราะ เสียงกู่ฉินบรรเลงก้องไปทั่วทุกหน
คนผู้นี้นามว่า เฟยอวี้ ค่ำคืนนี้เขาได้ถือกำเนิดครบหนึ่งหมื่นปี หากเป็นเทพเซียนองค์อื่น ที่แห่งนี้อาจกลายเป็นสถานที่สำราญใจของชาวเผ่าพันธุ์สวรรค์ เหล่านักระบำแห่งแดนเทวาลัยร่ายรำไปตามบทเพลง เสียงความสนุกสนาน ครึกครื้นคงดังก้องไปทั่งทุกหนเป็นแน่แท้
ผิดกับเขาที่มีศักดิ์เป็นเพียงเทพชนชั้นธรรมดา ไม่อาจทำสิ่งใดเอิกเกริก ซ้ำยังถูกเหยียดหยามจากชาวสวรรค์ชนชั้นอื่นว่าเป็นเพียงเทพชั้นต่ำ
เขาเป็นผู้ซึ่งปลีกตัวออกจากโลกภายนอก มิได้รู้จักคนมากมายเช่นเทพองค์อื่น ตลอดหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมาเขาเพียงใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักเพียงเท่านั้น
ผู้คนที่เขารู้จักมีเพียงเสี่ยวเย่ เทพแห่งจันทราและคนรักของเขา
ลู่เสียน เทพอัคคีผู้น่าเกรงขาม แม่ทัพอันดับหนึ่งของเผ่าสวรรค์ รูปโฉมราวกับมัจจุราชช่วงชิงจิตใจของเหล่าเทพเซียนทั้งหลาย หากบอกใครต่อใคร คงมิอาจจะเชื่อได้ว่า เทพชั้นต่ำไร้นามให้เอ่ยถึง จะตกลงปลงใจกับเทพอัคคีผู้ที่มีความนิยมชมชอบสูงสุดของเผ่าสวรรค์ได้
เรื่องราวของพวกเขานั้นเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เขาถือกำหนดได้เพียงห้าพันปี เขาก็ได้พบกับลู่เสียนที่ในตอนนั้นยังคงเป็นเพียงทหารของกองทัพสวรรค์ แม้ฝีมือโดดเด่น ทว่านิสัยกลับดื้อรั้นยิ่งนัก
ในปีนั้นเป็นวันที่เขาต้องมาทำหน้าที่ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ของโลกมนุษย์อย่างเช่นที่เคยทำมาตลอด เหตุเพราะอาการประชวรของเทพแห่งจันทราที่นอนซมอยู่ ต้องถ่ายเทพลังปราณบริสุทธิ์ทุกวันมิขาดโดยพี่หญิงเสี่ยวเย่เป็นผู้รับหน้าที่นี้
โคมลอยสีแดงจากโลกมนุษย์ถูกส่งขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย และบนสวรรค์สามารถมองเห็นได้เฉพาะตำหนักเยว่เล่อเท่านั้น ทุกปีเฟยอวี้จะได้มาอยู่ที่นี่มองสีสันอันแปลกตาและอ่านคำขอพรนับล้านของเหล่ามนุษย์
ข้าอยากได้ผืนนาสิบไร่!
อีกไม่นานเจ้าจะมีโชคลาภใหญ่โตเป็นแน่
ข้าขอให้พ่อและแม่ข้ามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง!
เจ้าจักสมปราถนา
ข้าขอให้ชาติหน้าข้าเป็นเซียน ไม่สิ ขอชาตินี้เลย!
เช่นนั้นเจ้าต้องบำเพ็ญเพียรให้ดี
" ข้าขอให้ข้าครองคู่กับคนรักผู้ดีต่อข้าตราบชีวาหาไม่ "
นี่ไม่ใช่เสียงของเขา!
เฟยอวี้สะดุ้งโหยงทันทีเมื่อหันไปทางเสียงผู้มาใหม่ ชายหนุ่มรูปร่างสูงกว่าเขาหลายคืบในชุดสีดำขลับโผล่มาอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน
เชื่อเลยว่าสีหน้าตนในตอนนี้คงดูย่ำแย่และตื่นตระหนกยิ่งกว่ากระต่ายตื่นตูมเมื่อเห็นปีศาจร้ายเสียอีก
" จ เจ้าคือผู้ใด! บังอาจยิ่ง ตำหนักเยว่เล่อไม่อนุญาตให้เทพเซียนผู้ใดย่างกรายเข้ามาหลายพันปีแล้ว ห เหตุใดเจ้าจึง? หรือว่า! เจ้าเป็นปีศาจงั้นรึ! "
ด้านผู้มาใหม่ตกตะลึงหลายเรื่องราวไปชั่วขณะ เมื่อเห็นเทพผู้น้อยองค์นี้เห็นเขาแล้วดูท่าทางรังเกียจเดียจฉันท์ราวกับไม่เคยพบเขามาก่อนเช่นนี้
เรื่องที่สองที่ต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อยามเทพองค์นี้หันมาเผชิญหน้ากับเขา ถือกำเนิดมาได้หนึ่งหมื่นปี บัดนี้ ข้าได้รับรู้แล้วว่าความงามที่แท้จริงเป็นเช่นไร
ใบหน้างดงามราวกับเทพในตำนาน ริมฝีปากบางรับกับจมูก ผมยาวสีดำขลับพลิ้วไหวไปตามสายลม ขับอาภรณ์สีขาวบนร่างชายหนุ่มให้สว่างสไวยิ่งกว่าเดิม
นี่มันตรงกับคุณสมบัติหนังสือจัดอันดับคนงามในโลกมนุษย์ที่ข้าเคยอ่านชัดๆ!
" เจ้าเป็นใบ้ไปแล้วรึ ไอ้ปีศาจ! "
ปีศาจ?
เขาแทบหูตั้งราวกับสุนัขขึ้นมาทันที ร่างกายตอบสนองอัตโนมัติเมื่อได้ยินคำว่า ปีศาจ เขาใช้ชีวิตฝึกฝนอยู่ในสนามประลองอยู่ตลอดเวลา ไล่ต่อยตีกับทหารไปทั่ว ไม่ได้ออกไปรบรากำจัดปีศาจแบบที่คนอื่นทำเสียที
ส่วนเหตุผลคงมีแต่ความขี้เกียจที่ข้าสามารถอธิบายได้กระมัง...
แต่บัดนี้เขาจะแสดงให้คนงามได้เห็น!
" ปีศาจงั้นหรือ? เจ้ามาหลบหลังข้า คนงาม ข้าจะปกป้องเจ้า " กระบี่เล่มเงาสะท้อนจันทราถูกชักออกมาตั้งรับฆ่าศึก พลางดันคนที่ถูกเรียกว่า คนงาม ไว้ด้านหลังอย่างระมัดระวัง สายตาคมปราดดั่งเหยี่ยวสอดส่องระวังภัยเต็มรูปแบบ
" ไหนเจ้าปีศาจชั่ว ออกมาซะ ข้าจะบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่ของข้า! " เขากล่าวลองเชิงอยู่นาน แต่กลับไร้วี่แววของปีศาจที่คนงามกล่าวถึง กระบี่ของตยังไม่รับรู้ถึงเจตนาฆ่าเสียด้วยซ้ำ
โป๊ก!
" โอ๊ย! " ของแข็งบางอย่างถูกฟาดเข้ามากลางศีรษะตนทันที สมองของเขาหยุดแล่นไปชั่วขณะ จนเมื่อตั้งสติได้จึงมองหาผู้ก่อการร้ายทันใด และผู้กระทำไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก คนงามผู้นี้!
" เหตุใดเจ้าต้องกระทำรุนแรงกับข้าด้วย คนงาม! ข้าอุตส่าห์จะปกป้องเจ้าจากปีศาจชั่วที่มาระแคะระคายเจ้าเชียวหนา " ว่าพลางลูบศีรษะตนไปมา ข้าเป็นถึงลูกของเทพอัคคีแม่ทัพใหญ่แห่งภิภพสวรรค์ ฝีมือกระบี่ไม่เป็นรองผู้ใด ร่างกายมิเคยถูกบิดา มารดาทุบตีเสียด้วยซ้ำ ในวันนี้เขากลับโดนกิ่งไม้ตามพื้นทุบหัว?! แถมโดนกระทำด้วยน้ำมือคนงาม!?
" เจ้านั่นแหละปีศาจ! กล้าดีอย่างไรบุกมาถึงที่แห่งนี้ ข้าจะใช้กิ่งไม้นี้ทุบหัวเจ้าให้แหลกเลยคอยดู " ปีศาจในนามได้แต่ทำหน้างุนงง จ้องมองคนที่ส่วนสูงเพียงคางของเขาแต่กลับทำหน้าตาเหมือนถือกระบี่ชี้หน้าทั้งที่ในมือเป็นเพียงกิ่งไม้ท่อนหนึ่ง
เขาเนี่ยนะเป็นปีศาจ? นี่คนงามมองหนุ่มรูปงามอนาคตไกลเช่นเขาเป็นปีศาจงั้นหรือ! โอ้ คนงามแห่งภิภพ เจ้าคงไม่ได้อยู่ตำหนักร้างนี้จนคิดอะไรผิดแผลกไปแล้วกระมัง
" เจ้าใจเย็นก่อนคนงาม ข้า ลู่เสียน สังกัดกองทัพสวรรค์ " ลู่เสียนตีหน้าเคร่งขรึม ดูน่าเชื่อถือขึ้นมาทันใด พร้อมหยิบตรากองทัพออกมาจากข้างในอกเสื้อมาให้คนตรงหน้าได้เห็น
ฝั่งเฟยอวี้ที่ถูกผู้บุกรุกเข้ามาพูดจาไม่รู้ความตั้งแต่เมื่อครู่ได้แต่ยืนสับสน คิดทบทวนการกระทำของทหารผู้นี้ ตรากองทัพสวรรค์ลงมนตร์คาถาเอาไว้ ปีศาจไม่สามารถถือครองได้นานเช่นนี้แน่
เฟยอวี้หลบสายตาไปด้านข้างทันที ในมือยังคงกำกิ่งไม้ในมือแน่นด้วยความไม่ไว้วางใจ สุดท้ายจึงตัดสินใจกล่าวก่อน
" ข้า..ขออภัย..ข้าไม่เคยพบเจอผู้คน จึงขาดมนุษย์สัมพันธ์ไปบ้าง " เมื่อเขารู้สึกประหม่า เขาจะกัดริมฝีปากล่างเสมอ ณ เวลานี้ด้วยเช่นกัน
" เจ้าเลิกทำหน้าหูลู่หางตกเฉกเช่นสัตว์เลี้ยงยามถูกเจ้าของดุเสียเถอะ ใครมาเห็นเข้าจะหาว่าข้ารังแกเจ้าเอาได้ คนงาม "
เฟยอวี้ถลึงตาใส่ปีศาจในคราบเทพเซียนผู้นี้ทันที " ท่านเลิกเรียกข้าว่า คนงาม ได้หรือไม่ หากผู้ใดมาได้ยินเข้า ข้าคงกลายเป็นตัวตลกของสามภิภพ "
" เจ้าจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนงามงั้นรึ? "
เฟยอวี้พยักหน้าหงึกหงัก ใบหน้าฉายแววกังวล " ข้าอัปลักษณ์ยิ่งนัก หากเทียบกับพี่หญิงเสี่ยวเย่ กับ เทพแห่งจันทรา เจ้าของตำหนักนี้แล้ว ข้า.. "
ดั่งสายฟ้าฟาดตกลงมายังกบาลของลู่เสียน เขาไม่เคยพบเคยเจอใครที่งามเท่ากับผู้นี้มาก่อน ซ้ำยังบอกว่าตนมิงามอีก ข้าเข้าใจรู้ซึ้งแล้วว่าตำหนักร้างนี่กักขังความงามเจ้าไว้จริง ๆ
" เช่นนั้นข้าจะไม่เรียกเจ้าว่าคนงามอีกต่อไปแล้ว "
หากแต่เขาจะลอบเรียกในใจเสมอต่างหาก
ลู่เสียนกล่าวต่อ " ข้าขอทราบนามเจ้าได้หรือไม่? "
" ข ข้าชื่อ..เฟยอวี้ "
หลังจากทำความเข้าใจกับผู้มาใหม่อยู่นาน ท้ายสุดเขาทั้งสองก็ได้มานั่งมองโคมลอยโลกมนุษย์ที่ลอยขึ้นมาข้างกันอย่างมิขาดสาย
ในใจเฟยอวี้ยังคิดงุนงงว่า เขาและปีศาจแปลกหน้านี้กลับกลายมาเป็นมิตรสหายท่ามกลางโคมไฟนับล้านได้อย่างไร แต่เบื้องลึกของจิตใจกลับไม่ปฏิเสธความรู้สึกที่อยากจะพบผู้คนใหม่ ๆ ข้ารอมันมาห้าพันปี..
ลู่เสียนมิพลาดที่จะรู้จักคนงามผู้นี้ให้มากกว่าขึ้นกว่าเดิม คุยกันมาสักพักเขาก็ได้รับรู้ว่า หนุ่มรูปงามผู้นี้มีศักดิ์เป็นเทพชั้นธรรมดา ถือกำเนิดมาได้ห้าพันปี แต่ไม่เคยได้ออกไปเผชิญโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย ทำให้ไม่รู้จักแม้กระทั่งเขาที่มีประเด็นมากมายให้หนุ่มสาวเทพเซียนต่างถกประเด็นร้อนขึ้นมาได้ทุกวัน
เฟยอวี้เมื่อถูกเค้นจนหมดเปลือกได้แต่ถามกลับอย่างจนใจ " ท่านถามข้ามากมายเสียเพียงนี้ ข้าก็อยากถามเจ้าบ้าง ว่าเจ้าทำลายม่านคุ้มกันของตำหนักข้าและบุกเข้ามาอย่างพลการได้อย่างไร " คำว่า พลการ เฟยอวี้จงใจเน้นเสียงหนักให้ลู่เสียนรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
ลู่เสียนเลือกเมินเฉยกับน้ำเสียงนั้น ตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ " คงเป็นเพราะกระบี่หลิงเหอของข้ากระมัง กระบี่นี้มีอานุภาพยิ่งนัก ซ้ำยังจัดเป็นเทพศัสตราวุธหนึ่งในสามของสามภิภพเชียวหนา ข้าแค่แทงมันเข้าไปที่ม่านก็สามารถเข้ามายังที่แห่งนี้ได้โดยที่พวกเจ้าไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ "
แววตาเฟยอวี้วาวโรจน์ เมื่อได้ฟังถึงอานุภาพศัตราวุธนี้ " เช่นนั้นหรือ เจ้าบอกข้าว่าเจ้าอายุหนึ่งหมื่นปีแล้ว หนึ่งหมื่นปีก็สามารถถือครองเทพศัตราวุธได้แล้วงั้นรึ? มิใช่ว่าเจ้าอายุห้าพันปีเท่าข้าแล้วมาหลอกข้านะ! แล้วท่านได้มาจากที่ใด? ป่าสวรรค์ชั้นฟ้า? หรือแดนปีศาจ? หรือแดนมาร? หรือว่าจะเป็นโลกมนุษย์! "
" เจ้าใจเย็นก่อน ข้าขอตอบคำถามเจ้าทีละคำถามแล้วกัน ปีนี้ข้าอายุหมื่นปีแล้วจริงๆ คาดเดาจากส่วนสูงของข้าและเจ้าก็น่าจะแยกได้ว่าข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า
" กระบี่หลิงเหอนี้ข้าพบมันจากถ้ำที่ภูเขาต๋าเฉิงบนโลกมนุษย์ ตามตำนานกล่าวว่า หลายหมื่นปีก่อนสามภิภพถือกำเนิด เทพบรรพกาล [1] ผู้อยู่เหนือเทพทั้งปวงได้รวบรวมศิลาวิญญานอันเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ หลอมรวมกันจนกลายเป็นศัตราวุธที่ร้ายกาจที่สุดในสามภิภพ
" ชิ้นแรก กระบี่หลงเชียน ด้ามกระบี่ทำมาจากเกล็ดมังกรที่บำเพ็ญตบะได้แสนปี ข้าเคยได้ยินมาเหมือนกันว่ากระบี่นี้ถูกซ่อนไว้ในป่าลึกลับของภิภพมาร ทว่ามีสัตว์ประหลาดคอยปกปักษ์รักษาเอาไว้ ผู้ที่รอดกลับมาจากป่าแห่งนั้นล้วนถูกดูดวิญญานไปครึ่งหนึ่ง ไม่กี่เพลาต่อมาก็สิ้นใจ ก่อนตายจะพูดประโยคเดียวกันเสมอว่า เมื่อความมืดมิดคลืบคลาน ผู้สืบทอดตัวจริงจะปรากฏ..
ลู่เสียนกังวลเล็กน้อยว่าคนงามจะเกิดอาการผวาขึ้นมา จึงลอบมองใบหน้าคนตรงหน้า กลับปรากฏเพียงแววตาอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น เขาประหลาดใจเล็กน้อย แต่ยังคงเล่าต่อไป
" ชิ้นที่สองก็คือกระบี่หลิงเหอของข้า ข้าได้ยินจากพวกทหารในกองทัพต่างเล่าปากต่อปากกันว่า กระบี่เล่มนี้ทรงอานุภาพมากนักและเป็นชิ้นเดียวที่สามารถหาพบได้ง่าย ทว่า กระบี่นี้นั้นเลือกนาย.. "
" ท่านจะพูดว่ามันเลือกท่านอย่างงั้นหรือ? " เฟยอวี้รู้สึกเหมือนเจ้าปีศาจลิงนี่ดูจะพูดเกินจริงไปมากโข
" เจ้าทำสีหน้าแบบนั้น ข้ารู้สึกใจเสียเล็กน้อยนะคนงา...เฟยอวี้
" มันเลือกข้าเพราะฆ่าเกือบใช้พลังอัคคีโลกันตร์เผามันกระมัง ตอนนั้นข้ารู้สึกเบื่อจากการประลองจึงลงไปเยี่ยมเยียนโลกมนุษย์เสียหน่อย ถือโอกาสไปตามข่าวลือก็พบเจอมันเข้าจริง ๆ ถึงมันออกจะ..ทุลักทุเลไปหน่อย แต่ก็ถือว่าข้าเข้าไปได้แล้วกัน
" เจ้าเข้าไปแล้วใช้ไฟขู่เผาหลิงเหอเลยรึ ช่างหยาบคายเสียจริง น่าสงสารกระบี่น้อยเป็นที่สุด
" ฮ่าฮ่า เจ้าช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง แต่ได้โปรดอย่าเรียกกระบี่เฒ่านี้ว่า กระบี่น้อย เลย เห็นมันสะอาดเอี่ยมแบบนี้ แต่จิตวิญญานอยู่มานานกว่าเทพบรรพกาลอีกกระมัง "
" แล้วชิ้นสุดท้ายเล่า "
" อืม..ชิ้นสุดท้ายนี้ หากได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเทพศัตราวุธ กระบี่เล่มนี้คงเป็นกระบี่ร้ายกาจที่สุดแห่งสามภิภพ แต่การครอบครองนั้นว่ากันว่า ผู้ที่จะถือครองกระบี่นี้ได้ต้องเป็นผู้ที่มีจิตวิญญานและพลังที่แข็งแกร่งที่สุด มิเช่นนั้น กระบี่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันแก่กล้านี้จะฉีกร่างกายผู้ถือครองเป็นชิ้น ๆ เพราะเมื่อกระบี่นี้ยอมรับในนายแล้ว กระบี่และคนผู้นั้นจะต้องหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวตราบจนหมดสิ้นอายุขัย "
" เช่นนั้นกระบี่เล่มนี้เคยมีผู้ใดถือครองแล้วหรือ? "
" ผู้ถือครองกระบี่เล่มนี้มีเพียงผู้เดียว คือ เทียนตี้องค์แรกของภิภพสวรรค์ หลังจากท่านสิ้นพระชนม์ไป กระบี่นั้นก็สูญหายไปหลายหมื่นปีจนบัดนี้ก็ยังมิมีผู้ใดได้ข่าวคราว..
" ทว่าข้าได้ยินข่าวลือมาหนาหูเช่นกันว่า กระบี่นี้ผู้ถือครอง คือ เทียนตี้องค์ปัจจุบัน! "
เฟยอวี้รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที ตนก็อยากที่จะเห็นเทพศัตราวุธอันร้ายกาจนี้เป็นบุญตาสักครั้งในชีวิตเทพเช่นกัน จึงกล่าวถาม " เจ้าว่า..เทพเซียนธรรมดาจะมีโอกาสได้เห็นกระบี่เล่มนี้หรือไม่ "
" จวบจนข้ามีอายุครบแสนปีเรื่องนี้คงมิมีทางเกิดขึ้น กระบี่นี้นอกจากไท่จื่อ [2] คงไม่มีผู้ใดจะได้ยล "
" แล้ว..กระบี่นี้มีชื่อว่าอะไรหรือ "
" ...กระบี่นั้นนามว่า เยี่ยนเซี่ย "
ประกายความรู้สึกบางอย่างแล่นผ่านจิตใจของเฟยอวี้ ทว่าไม่กี่วินาทีถัดมากลับกลายเป็นเช่นเดิมทำให้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ลู่เสียน " เป็นอย่างไรบ้าง ข้าเล่าให้เจ้าฟังสนุกหรือไม่ เจ้าอยากถามอะไรข้าเกี่ยวกับโลกข้างนอกตำหนักนี้ เจ้าสามารถถามข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะเป็นพี่ใหญ่คอยชี้แนะเจ้า "
" ท่าน..กำลังสงสารข้าหรือ " เฟยอวี้หลุบตาต่ำ เขาพูดเช่นนี้มิได้โกรธเคืองแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกน้อยอกน้อยใจโชคชะตาเพียงเท่านั้น
เขาเกิดมาไร้บิดา มารดา เป็นเพียงเทพธรรมดาผู้ที่สามารถก้มหัวให้คนดูแคลนได้เสมอ ซ้ำพลังวิญญานยังอ่อนด้อยใช้ได้เพียงพลังขั้นพื้นฐานเพียงเท่านั้น หลังจากจำความได้ทั้งชีวิตห้าพันปีของข้าก็อยู่เพียงแต่ในตำหนักเยว่เล่อที่ถูกปิดร้างจากผู้คน คอยช่วยเหลือเทพแห่งจันทรา
ลู่เสียนตระหนักได้ว่าคำถามนี้ออกจะกระทบจิตใจคนน้องมากเกินไป ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาถึงลำคอทันใด " ข้าขอโทษเฟยอวี้ ข้าเพียงอยากให้เจ้าได้รู้จักโลกภายนอกมากขึ้นเท่านั้น "
" ข้าไม่ได้โกรธเคืองท่านเสียหน่อย เมื่อครู่ยังกล่าวว่าข้าทำหน้าหูลู่หางตก เหตุใดตอนนี้กลับเป็นท่านที่กลืนน้ำลายตัวเองเล่า "
แม้เฟยอวี้พูดเช่นนั้น ลู่เสียนยังคงรู้สึกย่ำแย่ จึงคิดทบทวนสิ่งที่ตนต้องการทำให้คนตรงหน้าไปมาเพื่อชดใช้ความผิดในใจ พลางกัดริมฝีปากแน่น ท้ายสุดจึงจำใจกล่าวออกไป
" เฟยอวี้..เจ้าอยากลงไปเที่ยวชมเทศกาลโคมลอยที่โลกมนุษย์กับข้าไหม? "
เทพบรรพกาล [1] ผู้อยู่เหนือสุดของเทพทั้งปวงในจักรวาลนี้จะกล่าวถึงเพียงเล็กน้อย
ไท่จื่อ [2] องค์รัชทายาท